ธ.ก.ส. เดินหน้าจ่ายชดเชยส่วนต่างโครงการประกันรายได้
โดยมีเกษตรกรที่ไม่มาทำสัญญาจำนวน 147,222 ราย อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินงานตามเงื่อนไขโครงการมีเกษตรกรที่ได้รับประโยชน์จากการใช้สิทธิ จำนวน 3,610,653 ราย จำนวนเงินชดเชยส่วนต่างที่เกษตรกรได้รับ 34,094 ล้านบาท แยกเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าว จำนวน 3,003,643 ราย จำนวนเงินชดเชยส่วนต่าง 26,970 ล้านบาท เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 369,130 ราย จำนวนเงินชดเชย 5,493 ล้านบาท เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง จำนวน 237,880 ราย จำนวนเงินชดเชย 1,631 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการประกันรายได้เป็นเรื่องใหม่ การดำเนินงานในช่วงแรกจึงอาจมีปัญหาในขั้นตอนการดำเนินงานอยู่บ้าง เช่น เมื่อมีการขึ้นทะเบียนมีการทำประชาคมแล้ว จึงได้ส่งรายชื่อเกษตรกรมาให้ ธ.ก.ส. จัดทำสัญญา พอทำไปแล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องรายชื่อและพื้นที่ทำกิน จึงต้องมาปรับสัญญากันใหม่ทำให้เกษตรกรบางรายได้รับเงินชดเชยส่วนต่างล่าช้า รวมทั้งอาจจะมีความไม่เข้าใจในเรื่องการใช้สิทธิอยู่บ้าง
สำหรับการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรปีการผลิต 2552/53 ในรอบที่ 2 ซึ่งประกันเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าว มีเกษตรกรขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการกว่า 600,000 ราย สูงกว่าเป้าหมายที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้กำหนดไว้ที่ 480,000 ราย จากจำนวนตัวเลขเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนดังกล่าวได้มีเกษตรกรที่ผ่านการทำ ประชาคมแล้วจำนวน 339,074 ราย ซึ่งหลักเกณฑ์ก่อนทำสัญญากับ ธ.ก.ส. เกษตรกรผู้ผ่านการทำประชาคมจะต้องได้รับใบรับรองจากกรมส่งเสริมการเกษตรว่า เป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจริง จำนวนทั้งหมดกี่ไร่ แล้วจึงนำใบรับรองนั้นมาจัดทำสัญญาเพื่อใช้สิทธิในโครงการประกันรายได้กับ ธ.ก.ส. ต่อไป ทั้งนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวทำให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้รับใบรับรองไม่สามารถมา ติดต่อทำสัญญากับ ธ.ก.ส.ได้ จึงเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าในขั้นตอนของการทำสัญญาอาจทำให้เกษตรกรเสีย โอกาสได้
ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว ธ.ก.ส.ได้จัดทำหนังสือชี้แจงสาขาทั่วประเทศ ให้สามารถดำเนินการจัดทำสัญญาให้กับเกษตรกรที่ผ่านการทำประชาคมไปก่อน เมื่อเกษตรกรได้ใบรับรองแล้วจึงนำมาแนบภายหลัง ซึ่งจะทำให้การจัดทำสัญญาทำได้รวดเร็วทันต่อความต้องการของเกษตรกรยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของการใช้สิทธิ ซึ่งกำหนดให้เกษตรกรเป็นผู้เลือกช่วงเวลาเอง ทางรัฐบาลได้ยืดหยุ่นแนวทางการใช้สิทธิถึง 3 ทางเลือก คือ 1. ทำสัญญาประกันรายได้แล้วเกษตรกรสามารถเลือกกำหนดวันใช้สิทธิได้ทันที 2. ทำสัญญาประกันรายได้แล้วเกษตรกรมากำหนดขอใช้สิทธิในภายหลัง 3. เกษตรกรกำหนดวันใช้สิทธิแล้วแต่ประสงค์จะเปลี่ยนใหม่ให้มาแจ้งเปลี่ยนได้ ก่อนถึงกำหนดวันที่ใช้สิทธิเดิม 3 วัน และจากการที่ราคาข้าวเปลือกในตลาดมีความผันผวนขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อให้เกณฑ์กลางอ้างอิงสอดคล้องกับภาวะตลาด รัฐบาลจึงกำหนดให้มีการประกาศเกณฑ์กลางอ้างอิงทุกวันจันทร์ของเดือนรวมเดือน ละ 4 ครั้ง จากเดิมทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน รวมเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้เกษตรกรสามารถเลือกใช้สิทธิช่วงเวลาที่ต้องการได้มากยิ่งขึ้น
นายลักษณ์ กล่าวอีกว่า จากผลสำรวจและความคิดเห็นของเกษตรกรต่อโครงการประกันรายได้เทียบกับโครงการ รับจำนำผลผลิตเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวพบว่า เกษตรกรมีความพึงพอใจและเห็นว่าโครงการประกันราคาดีกว่าร้อยละ 72.3 และบางส่วนเห็นว่าโครงการรับจำนำดีกว่า ร้อยละ 17.2 ที่เหลือ ร้อยละ 10.5 ไม่มีความเห็นเนื่องจากไม่เคยเข้าร่วมโครงการรับจำนำจึงไม่สามารถเปรียบ เทียบได้ อย่างไรก็ตามในส่วนของโครงการประกันรายได้เกษตรกร มีเกษตรกรได้รับประโยชน์ถึง 4,099,021 ราย โดยรัฐบาลใช้งบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยและการดำเนินงานเพียง 33,449 ล้านบาท เทียบกับโครงการรับจำนำที่มีเกษตรกรได้รับประโยชน์เพียง 882,530 ราย แต่รัฐบาลใช้งบในการดำเนินงานทั้งการรับจำนำ การเก็บรักษา การสีแปร การขนส่ง เป็นต้น เป็นจำนวนเงินถึง 108,706 ล้านบาท