เพื่อไทย ยอมรับสู้ไม่ได้ไร้ เงิน-ผู้นำ-เอกภาพ จี้นายกฯสั่งขรก.ให้เป็นกลาง โพลตร.ชี้พรรครบ.ชนะ

เพื่อไทย ยอมรับสู้ไม่ได้ไร้ เงิน-ผู้นำ-เอกภาพ จี้นายกฯสั่งขรก.ให้เป็นกลาง โพลตร.ชี้พรรครบ.ชนะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ตร.ประเมินพรรค รบ.ชนะศึกเลือกตั้งซ่อม กวาด ส.ส.รวม 19 ที่นั่ง ฝ่ายค้านขาดทุน 3 เก้าอี้ พท.ยอมรับสู้ไม่ได้ เหตุขาดกระสุน ไม่มีผู้นำ และปัญหาเอกภาพ ชวน หวังเสียงปริ่มน้ำกระเตื้องขึ้นบ้าง ย้ำหลักการ รบ.ต้องรับผิดชอบองค์ประชุม โฆษกเพื่อไทยโวย ขรก.ไม่เป็นกลาง จี้มาร์คกำชับ ผู้สมัครบุรีรัมย์แจ้งความเอาผิดเสื้อแดงป่วนเวทีปราศรัย ซัดฝีมือกลุ่มเนวิน ตร.ประเมินพรรคร่วมชนะ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติประเมินผลการเลือกตั้งซ่อม 22 จังหวัด 26 เขตเลือกตั้งรวม 29 คนในวันอาทิตย์ที่ 11 มกราคมนี้ ผลการประเมินที่นำออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 8 มกราคม พบว่าจากจำนวนผู้สมัครทั้งหมด 83 คน ผู้สมัครจากพรรคชาติไทยพัฒนาจะได้จำนวนที่นั่งสูงสุด 12 ที่นั่ง รองลงมาคือพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย(พท.)ได้ 6 ที่นั่งเท่ากัน ที่เหลือเป็นของพรรคประชาราช 2 ที่นั่ง เพื่อแผ่นดิน 2 ที่นั่ง และพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 1 ที่นั่ง

ทั้งนี้หากผลเลือกตั้งออกมาตามการประเมินดังกล่าว เท่ากับว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะได้ที่นั่งรวมกัน 19 ที่นั่ง(ประชาธิปัตย์ 6 ที่นั่ง ชาติไทยพัฒนา 12 ที่นั่ง และรวมใจไทยฯ1ที่นั่ง) ขณะที่ฝ่ายค้านได้ 10 ที่นั่ง(นับรวมพรรคเพื่อแผ่นดินด้วย) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนส.ส.ที่หายไปจากการถูกยุบพรรค ที่พรรคชาติไทยฯสิ้นสมาชิกภาพไป 16 คน และพท.13คนแล้ว พรรคชาติไทยฯได้ส.ส.น้อยลง 4 ที่นั่ง และพท.7 ที่นั่ง แต่หากนับภาพรวมแล้วถือได้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลได้เพิ่มขึ้น 3 คน ขณะที่ฝ่ายค้านลดลง 3 คน

ผลการเลือกตั้งที่ประเมินนี้ สอดคล้องกับการยอมรับของแกนนำพท.ที่ระบุว่า พรรคพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ เหตุผลหลักเนื่องมาจาก การขาดปัจจัยสนับสนุน การขาดผู้นำพรรคที่จะขับเคลื่อนในเรื่องต่างๆ รวมถึงความไม่เป็นเอกภาพภายในพรรค

สุเทพโอ่พรรคร่วมกวาด20เก้าอี้

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า เชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะได้เสียงกลับมา 20 เสียง โดยในส่วนผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งลงเลือกตั้งจำนวน 9 คน น่าจะได้เป็นส.ส.ประมาณ 6-7 คน

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคส่งผู้สมัครทั้งหมด 9 คนก็คงจะได้มาบ้าง อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้เสียงจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังคงความเป็นเสียงข้างมาก ไม่ได้เปลี่ยนถึงขนาดจะเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ถ้ารัฐบาลได้เสียงเพิ่มมากขึ้นมาหน่อย สัดส่วนความแตกต่างที่กลัวว่าเสียงจะปริ่มน้ำก็จะสดลงมาบ้าง

ผมไม่กังวลเรื่องเสียงปริ่มน้ำหรือไม่ปริ่มน้ำ เพราะสมัยที่ผมเป็นนายกฯเมื่อปี 2540 ถึงขนาดรัฐมนตรีต้องผลัดเวรกันคอยดูว่าส.ส.มาประชุมหรือไม่เพราะเราถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องคุมเสียงข้างมาก จะไปโทษฝ่ายค้านว่าไม่มาประชุมสภาคงไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์ในขณะนี้จึงไม่มีเรื่องน่าห่วงใยเพราะคนสมัยนี้รู้ดีกว่าเรา แต่ทั้งหมดอยู่ที่สำนึกของคนทำงานร่วมกันว่าเป็นส.ส.แล้วต้องมาทำงานให้กับบ้านเมือง นายชวน กล่าว

พท.จี้มาร์คสั่งขรก.ให้เป็นกลาง

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พปท.) แถลงที่พรรคเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะฝ่ายปกครอง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจ และทหาร ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งซ่อม ในวันที่ 11 มกราคม ทั้ง 22 จังหวัด ให้วางตัวเป็นกลาง โดยอ้างว่าพท.ได้รับการร้องเรียนจากผู้สมัครหลายเขตเลือกตั้งทางภาคเหนือและอีสานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเริ่มวางตัวไม่เป็นกลาง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 57 ที่ข้าราชการต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองไม่เข้าข้างพรรคใดพรรคหนึ่ง

นายกฯและรัฐบาล ไม่ควรทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้จำนวนส.ส.มากขึ้นเพื่อรักษาเั้น เพราะจะไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ประกาศสร้างความเป็นนิติรัฐ นิติธรรม และอยากเรียกร้องไปยังกกต.(คณะกรรมการการเลือกตั้ง) จัดการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรมอย่างแท้จริง พร้อมกับขอเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งออกมาใช้สิทธิ์ให้มากๆ เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย โฆษกพท.กล่าว

ซัดเพื่อนเนวินชักใยป่วนเวทีพท.

นายโสภณ เพชรสว่าง อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ พท. หนึ่งในคณะปราศรัยหาเสียงในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกลุ่มคนเสื้อแดงขว้างขวดน้ำ ก้อนหิน และไข่เน่า ใส่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพท.และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ระหว่างปราศรัย ช่วยนายจำรัส เวียงสงค์ ผู้สมัคร ส.ส.พท.หมายเลข 3 เขต 2 จ.บุรีรัมย์หาเสียง เมื่อค่ำวันที่ 7 มกราคม ที่สนามโรงเรียนเมืองตลุงพิทยาสรรพ์ อ.ประโคนชัยว่า ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มคนที่กลุ่มเพื่อนเนวินจัดตั้งมาจาก อ.ชำนิ อ.กระสัง และ อ.ประโคนชัยเพราะได้มีการรณรงค์โปรแกรมหาเสียงว่าจะมีนายณัฐวุฒิ นายจตุพร พรหมพันธุ์และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพท.มาปราศรัย เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ทำให้หาเสียงลำบาก เพราะไม่ต้องการให้แกนนำปราศรัยได้ ทั้งนี้ หลังจากการเมืองเปลี่ยนขั้ว ทำให้อำนาจการบริหารใน จ.บุรีรัมย์ ตกอยู่ภายใต้อำนาจของนักการเมืองบางกลุ่ม ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ทราบมาว่าไม่ว่าข้าราชการระดับผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายปกครองและตำรวจ ต่างช่วยหาเสียงและขอร้องให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านช่วยสนับสนุนผู้สมัครบางพรรคการเมือง

พท.บุรีรัมย์แจ้งเอาผิดเสื้อแดง

ขณะที่นายจำรัส นำหลักฐานภาพถ่ายเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.ทองดี วิชชุเมธาลักษณ์ พนักงานสอบสวน สภ.ประโคนชัย อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ เมื่อเวลา 10.30น.เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มชายฉกรรจ์เสื้อแดง 200 คน ก่อความวุ่นวายในการปราศรัยด้วยการขว้างปาก้อนหิน ขวดน้ำ และไข่เน่า เข้าใส่เวทีปราศรัยหาเสียงที่สนามโรงเรียนเมืองตลุงพิทยาสรรพ์ ขณะที่นายจตุพร เริ่มปราศรัยบนเวทีได้เพียง 2 นาที ส่งผลให้แกนนำพรรคทั้งนายณัฐวุฒิและนายจตุพร ต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด ส่งผลให้การเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงต้องยุติลงทันทีแต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมกลุ่มเสื้อแดงที่ก่อเหตุได้ 1 ราย ทราบชื่อคือ นายโทน ภาสดา ชาวอ.กระสัง ขณะนี้ตำรวจได้สอบปากคำพร้อมแจ้งข้อหาเมาสุรา ประพฤติตนวุ่นวาย ก่อนเปรียบเทียบปรับ 200 บาทและปล่อยตัวไป โดยเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวน่าจะมีกลุ่มการเมืองหนุนหลัง

ขณะที่ พล.ต.ต.สมบัติ คงพิบูลย์ ผบ.ภ.จว.บุรีรัมย์ ได้สั่งให้ตำรวจ สภ.ประโคนชัย ดำเนินคดีกับเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐาน พร้อมจัดกำลังตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยเวทีปราศรัยของผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.ทุกพรรคการเมืองทั้ง 2 เขตเลือกตั้ง

เฉลิม-โอ๊คโชว์ตัวช่วยพท.อุบลฯ

สำหรับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆยังคงดำเนินไปอย่างต่อเน่อง โดยที่จ.อุบลราชธานี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.อ.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเวทีปราศรัยที่สนามด้านหน้า สภ.น้ำยืน อ.น้ำยืน ช่วยนายกิตติพงษ์ เทียมสุวรรณ ผู้สมัครส.ส.เขต3 หาเสียงโดยมีประชาชนกว่า 1 พันคนเข้าร่วมฟังการอภิปรายที่มีเนื้อหากล่าวโจมตี พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กรณีชุมนุมปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และแกนนำพธม.ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีโดยไม่มีความผิด ร.ต.อ.เฉลิมให้สัมภาษณ์ด้วยว่า คาดว่าพท.จะได้รับเลือกในพื้นที่อีสาน 5-7 คน

ที่ฝ่ายรัฐบาลบอกว่าจะได้ ส.ส. 20 ที่นั่ง ผมคิดว่า อาจจะได้แต่ต้องนับหลายรอบ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

จิ๋วชูอีสานเขียวช่ว/>

ส่วนพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคความหวังใหม่ นายชิงชัย มงคลธรรม หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ และคณะกรรมการบริหารพรรค ร่วมหารือเพื่อหาแนวทางสนับสนุนและหาเสียงให้กับนายไชยยงค์ รัตนวัน ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 1 พรรคความหวังใหม่ ที่โรงแรมพรหมพิมานแกรนด์โฮเต็ล อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ

นายชิงชัย กล่าวว่ามั่นใจว่าหากการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้เป็นไปตามกรอบกฎหมายของการเลือกตั้ง ผู้สมัครของพรรคทุกคนมีสิทธิได้เป็น ส.ส.แน่นอน อย่างไรก็ตามอยากฝากถึง กกต.ให้ช่วยตรวจสอบอย่างเข้มงวด เพราะอาจมีผู้สมัคร ส.ส.หลายพรรคเข้าสังกัดพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ครบ 90 วันก็ได้

จากนั้น 11.30 น. คณะของพล.อ.ชวลิต ได้ไปช่วยหาเสียงให้นายไชยยงค์ ที่ตลาดสดเทศบาลตำบลบึงบูรพ์ อ.บึงบูรพ์ โดยขึ้นกล่าวปราศรัยว่าพรรคความหวังใหม่พร้อมสานต่อโครงการต่าง ๆ เช่นอีสานเขียว เพื่อพัฒนาพื้นที่ภาคอีสานให้มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด รวมถึงการขจัดปัญหาความยากจน และปัญหาผลผลิตทางการเกษตรกรที่ตกต่ำขณะนี้ ดังนั้น จึงขอฝากนายไชยยงค์ ไว้ให้เข้าไปทำหน้าที่ในสภาฯ ด้วย

เสนาะเรียกร้องขั้วเดิมกลับถิ่นพท.

ส่วนนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช พร้อมอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยอาทินายมานพ จรัสดำรงนิตย์ และนายพิทยา บุญเฉลียว ปราศรัยหาเสียงที่ศาลาวัดบ้านระหาร ต.สมอ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อเวลา 16.00น. ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งที่ 2 เพื่อช่วย น.ส.จิรวดี จึงวรานนท์ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค

นายเสนาะ กล่าวปราศรัยเป็นภาษาอีสานว่า ขณะนี้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย เนื่องจากมีรัฐบาลฉวยโอกาสเหมือนโจรจัดตั้งรัฐบาล เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ เพราะมี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเดิมไปร่วมจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่ไม่ใช่พรรคเสียงข้างมากในสภาฯ จึงขอเรียกร้องให้ ส.ส.ที่เคยอยู่กับขั้วรัฐบาลเดิมกลับมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย ร่วมตั้งรัฐบาลบริหารประเทศให้เกิดความสงบเรียบร้อยต่อไป

กกต.ชี้เหนือ-อีสานแข่งรุนแรง

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต.กล่าวว่า พื้นที่เลือกตั้งภาคเหนือและอีสาน ตำรวจได้ประเมินว่าจะมีเป็นการแข่งขันที่รุนแรง กกต.จึงส่งชุดหาข่าว ชุดป้องปรามลงพื้นที่ทำงานร่วมกับตำรวจอย่างใกล้ชิด และตั้งศูนย์อำนวยการในการดูแลการเลือกตั้งแต่ละเขตและกำชับให้ผอ.กต.จว.ประสานกับ ผอ.กต.เขต ด้วย ทั้งนี้ จากการรายงานเข้ามายังไม่พบว่าจะมีการก่อเหตุรุนแรงถึงต้องย้ายหน่วยหรือต้องยุติการเลือกตั้ง เพราะเท่าที่ประเมินการเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่อยู่ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งมากกว่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook