กางกฎหมายไทย หากหญิงฝรั่งไม่ทำพินัยกรรม 1 ใน 3 แบบนี้ "ป้าติ๋ม" ไม่ได้มรดก

กางกฎหมายไทย หากหญิงฝรั่งไม่ทำพินัยกรรม 1 ใน 3 แบบนี้ "ป้าติ๋ม" ไม่ได้มรดก

กางกฎหมายไทย หากหญิงฝรั่งไม่ทำพินัยกรรม 1 ใน 3 แบบนี้ "ป้าติ๋ม" ไม่ได้มรดก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณี แคทเธอรีน นักธุรกิจหญิงฝรั่งเศส อายุ 59 ปี เจ้าของวิลลาให้เช่าบนเกาะสมุย จบชีวิตพร้อมยกมรดก 100 ล้าน ให้ ป้าติ๋ม แม่บ้านคนสนิท เป็นข่าวดังตลอดเมื่อวานนี้ โดยได้คุณเชิดชาย นักข่าวภูมิภาค ที่ไปทำข่าวนี้ตั้งแต่วันแรก มาให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า แท้จริงแล้ว นอกจากป้าติ๋ม ยังมีอีก 2 คน ที่คุณแคทเธอรีน ส่งข้อความสั่งเสียไว้ก่อนเสียชีวิต ว่าให้ไปพบทนาย หลังจากที่เธอจบชีวิตแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นผู้ได้รับมรดก ทั้ง 3 คน

คุณเชิดชาย นักข่าวภูมิภาคของช่อง 3 ประจำที่เกาะสมุย เล่าว่า เกิดเหตุผู้เสียชีวิตที่วิลลาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนเนินเขา เมื่อวันที่ 29 เม.ย. พบศพที่เตียงนอนริมสระ ลักษณะเหมือนนอนชมวิวครั้งสุดท้าย ก่อนลั่นไก แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาล เข้าใจว่าคุณแคทเธอรีนยังไม่เสียชีวิต ก็เลยอุ้มศพลงมาที่พื้นเพื่อปฐมพยาบาล โดยหันหัวไปคนละด้านกับตอนนอนบนเตียง

สภาพผู้เสียชีวิตว่า น่าจะใช้มือซ้ายถือปืน ยิงเข้าขมับซ้าย ทะลุออกขวา เข้าใจว่าพอยิงแล้วปืนจะอยู่บนร่าง ตอนที่เจ้าหน้าที่ยกร่างลงมา CPR น่าจะทำให้ปืนตกลงมาที่พื้น อยู่ฝั่งขวาของศพแทน ส่วนประเด็นของกล้องวงจรปิด ผู้เสียชีวิตเป็นคนใช้ไม้ถูพื้นดึงหัวกล้อง กดลงมาด้วยตัวเอง

ด้าน หมอหมู รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บอกว่า พยานแวดล้อมต่างๆ ไม่ได้มีเบาะแสน่าสงสัยอะไร ตอนเกิดเหตุจะเห็นว่า แหม่มอยู่ตามลำพัง มีการตระเตรียมอะไรไว้หมด กระสุนที่เข้าที่ขมับซ้าย เชื่อมโยงกับผู้ตายถนัดซ้าย ส่วนกล้องวงจรปิดที่หักลง ก็เห็นภาพว่าแหม่มดันลงเอง ส่วนวิถีกระสุนที่ทะลุไปโดนกระจก มันสามารถพิจารณาไปถึงเรื่องวิถีกระสุน ที่เชื่อมโยงกับลักษณะท่านั่ง ท่านอน ก็สามารถพิสูจน์ได้หมด ซึ่งการพิสูจน์ที่ละเอียดกว่านี้ พฐ. และ นิติวิทยาศาสตร์ ก็สามารถพิสูจน์ได้

คุณเชิดชาย เผยอีกว่า สำหรับบริษัทของคุณแคทเธอรีน มีทรัพย์สินเป็นวิลลา 5 หลัง จำหน่ายไปแล้ว 3 หลัง เหลืออีก 2 หลัง ซึ่งทราบว่าจะคืนให้กับแฟนเก่าของเขา ส่วนวิลลาที่เกิดเหตุ สร้างไว้อยู่อาศัยเองอีก 1 หลัง

ป้าติ๋ม ให้สัมภาษณ์ว่า ตนดูแลคุณแคทเธอรีน มากว่า 17 ปีแล้ว โดยตนไปสมัครทำงานเป็นแม่บ้านที่ห้องเช่าของผู้เสียชีวิตก่อน จากนั้นผู้เสียชีวิตก็ได้ขยายธุรกิจจากห้องพักให้เช่า มาสร้างรีสอร์ต สร้างวิลลา ธุรกิจเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตนก็ได้เป็นแม่บ้านคอยช่วยคุณแคทเธอรีนเรื่อยมา

ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ไม่มีเรื่องไหนเลยที่คุณแคทเธอรีนจะไม่บอก ไม่ปรึกษา เรื่องที่รู้ก็คือ คุณแคทเธอรีนป่วยมะเร็ง ก่อนหน้านี้เคยมีโจรมายกเค้าที่วิลลา แล้วแจ้งตำรวจไปกลับทำอะไรไม่ได้ ทำให้คุณแคทเธอรีนมีปืนพกไว้ที่หัวเตียง แต่นานมากแล้ว และไม่เคยหยิบออกมาใช้

สำหรับเนื้อหาในอีเมลที่คุณแคทเธอรีนเขียนเอาไว้เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลความได้ว่า

"เส้นทางของฉันสิ้นสุดแล้วตรงนี้ ฉันเชื่อสนิทใจเลยว่า คุณเป็นคนซื่อสัตย์ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเลือกคุณให้เป็นผู้รับมรดก ไม่มีอะไรซับซ้อน สำเนาพินัยกรรมของฉันจะอยู่ในตู้เซฟ ฉันอยากจะเผาศพและเอาเถ้าอัฐิไปไว้บนเกาะ ส่วนบริษัท วิลลาทั้งหมด เหลืออีก 2 หลัง ขอคืนให้แฟนเก่าและบัญชีธนาคารอีกบางส่วน

แมวทั้ง 3 ตัวที่ฉันรัก ฝากดูแลมันให้ดี ให้พาแมวไปรักษาที่คลินิกประจำ ที่คลินิกมีประวัติของแมวไว้หมดแล้ว

ขอมอบโทรศัพท์เครื่องนี้ ซึ่งไม่ได้ตั้งรหัสผ่านใดๆ เอาไว้ ขอยกให้คุณด้วย ฉันชำระค่าสมัครสมาชิกไว้แล้ว เป็นเวลาหลายเดือน และโปรดแจ้งบุคคลต่อไปนี้ในฝรั่งเศส ว่าฉันตายแล้ว ได้แก่ เพื่อนของฉันในฝรั่งเศส เพื่อนของแม่บุญธรรมของฉัน อดีตสามีของฉัน ลูกพี่ลูกน้องของแม่ และลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ฝั่งแม่

อย่าลืม เฟซบุ๊กของฉัน ปิดมันซะ การเห็นโปรไฟล์ของคนที่จากไป เป็นเรื่องน่าสยดสยอง รหัสทั้งหมดทิ้งไว้ให้แล้ว โพสต์ข้อความเพื่อแจ้งให้คนอื่นทราบเกี่ยวกับการตายของฉันและปิดมันไป

ฉันโอนค่าทำศพของตัวเองไว้แล้ว ติ๋มคุณไปจัดการต่อ รหัสตู้เซฟของฉันคือ...ฝากติ๋มและเพื่อนสนิทของฉัน (มนู) ช่วยเปิดตู้เซฟของฉันพร้อมกันด้วย

ทำไมฉันถึงทำแบบนี้ ด้วยเหตุผลหลายประการ…….เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่ฉันร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ร้องไห้มามากเกินไปแล้วในชีวิตนี้ ฉันคิดว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ฉันหมดสิ้นทุกอย่าง ทั้งสุขภาพ ความตาย ครอบครัว การลักขโมย ฉันได้ปืนนี้มาหลังจากที่ขโมยขึ้นวิลลา ขออภัยสำหรับความกังวลและความยุ่งยากในอนาคตในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ขอบคุณจริงๆ ที่คุณอยู่จัดการเรื่องเหล่านั้นแทนฉัน"

คุณเชิดชาย เผยว่า จากการสัมภาษณ์เก็บข้อมูลมา มรดกที่คุณแคทเธอรีนยกให้ป้าติ๋มทั้งหมด จะมี รถยนต์ 1 คัน เครื่องประดับ เครื่องเพชร ในตู้เซฟ เงินสดไม่ทราบจำนวน วิลลาหลังที่เกิดเหตุประมาณ 25-30 ล้าน เนื้อที่ข้างเคียงประมาณ 2 ไร่ ไม่ติดทะเล ห่างทะเลเยอะ ประมาณ 7-8 ล้านบาท ซึ่งวิลลาที่จำหน่ายไปแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย

มี 3 คนที่คุณแคทเธอรีนสั่งไว้ ให้ไปพบทนาย ได้แก่ ป้าติ๋ม , พนักงานบริษัทที่ดูแลสระน้ำ และ ชาวต่างชาติที่เป็นที่ปรึกษา ให้ 3 คนนี้ไปพบทนายหลังคุณแคทเธอรีนเสียชีวิต คาดว่า 3 คนนี้จะเป็น 3 คนที่ได้รับมรดก ไม่ใช่แค่ป้าติ๋มคนเดียว

ขณะที่ หมอหมู บอกว่า ในเรื่องการทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง เขาต้องการใบรับรองแพทย์ ยืนยันสติสัมปชัญญะ แล้วเจ้าหน้าที่ ที่อำเภอ เขาก็ประเมินสติผู้มาทำด้วย เป็นการประเมิน 2 ชั้น เวลาที่มีการโต้แย้งในศาล เขามักจะต่อสู้กันว่า มีสติหรือไม่มีสติในขณะที่ทำพินัยกรรม ต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มาร่วมขึ้นศาลเพื่อยืนยัน โรคส่วนใหญ่ที่เป็นประเด็นกันก็คือโรคสมองเสื่อม เพราะผู้ทำพินัยกรรมส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ

เคสในบ้านเรา ส่วนใหญ่รายละเอียดจะเหมือนกับในทั่วโลก แต่ที่แตกต่างกันเล็กน้อย จะเป็นเรื่องพินัยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ลายเซ็นอิเล็กทรอนอกส์ เป็นสิ่งที่บ้านเรายังไม่มีกฎหมายรองรับในส่วนของพินัยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ต่างประเทศมีแล้ว ทำให้คุณแคทเธอรีนอาจจะเข้าใจว่าในบ้านเราทำได้ ซึ่งในเคสนี้ ถ้าไม่ได้มีใครมาแย้ง ก็อาจจะไม่มีประเด็นอะไร แต่ถ้ามีคนมาแย้ง ก็ต้องไปพิสูจน์กันในศาล

เผยรูปแบบ พินัยกรรม 3 แบบ ที่กฎหมายไทยรองรับ

ขณะที่ทนายแก้ว บอกว่า การทำพินัยกรรมมี 3 แบบ

1.พินัยกรรมฝ่ายเมือง คือไปที่อำเภอ มีเจ้าหน้าที่ทำให้

2. แบบธรรมดา ผู้ทำ ทำกับทนายความ ให้ถ้อยคำแล้วทนายจะเป็นผู้เขียนให้ ต้องทำต่อหน้าพยาน 2 คน

3. แบบเขียนเองทั้งหมด ต้องเขียนด้วยลายมือ ทั้งฉบับ เพื่อพิสูจน์สติสัมปชัญญะของผู้เขียน จากลายมือคนเขียน ลายมือสั่นไหม มีความผิดปกติไหม ห้ามประทับตรานิ้วโป้ง ให้ใช้ลายเซ็นเท่านั้น

ถ้าไม่ใช่อันหนึ่งอันใดใน 3 แบบนี้ จะเป็นโมฆะทั้งหมด

แต่เท่าที่ฟังจากข่าว มีการทำแล้วเก็บไว้ในตู้เซฟ มีความเป็นไปได้มากว่าเป็นการทำแบบที่ 2 ทำโดยทนายความ ซึ่งผู้ทำเก็บไว้ 1 ฉบับ ทนายเก็บไว้อีกฉบับ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องรอดูว่าใช่หรือไม่ แต่ถ้าไม่มีเลย มีเพียงอีเมลฉบับเดียวที่ถูกเปิดเผยออกมาในสื่อ กฎหมายไทยไม่รองรับ ถือว่าเป็นโมฆะ ใช้ไม่ได้ ป้าติ๋มจะไม่ได้มรดกตามที่ผู้ตายเขียนเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ทนายแก้วพิจารณาว่า จากอีเมลของคุณแคทเธอรีนเขียนไว้ว่า ให้จัดการศพอย่างไร ต้องติดต่อญาติพี่น้องคนไหนบ้าง ลักษณะนี้เชื่อได้ว่าเป็นภาษาที่คุยกับทนาย ไปสอดคล้องกับคำที่บอกว่า มีสำเนาพินัยกรรมในตู้เซฟ ซึ่งฟ้าติ๋มรู้รหัสตู้เซฟ จึงอนุมานได้ว่า น่าจะมีการทำพินัยกรรมกับทนาย ซึ่งกฎหมายไทยรองรับ แบบนี้ถือว่าป้าติ๋มได้สิทธิ์ในมรดก กฎหมายคุ้มครอง

นายเชิดชายยังบอกอีกว่า หลังกลายเป็นกระแสข่าวขึ้นมา ป้ากดดันมาก ไม่กล้าให้สัมภาษณ์ ไม่กล้าให้ข่าวอะไรกับใครแล้ว เพราะทนายความโทรมาตำหนิป้าอย่างรุนแรง ไม่ให้ไปให้ข่าวอีก นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวที่พยายามไปสัมภาษณ์ป้าติ๋ม ยังได้พบชายต่างชาติที่เป็นที่ปรึกษาของคุณแคทเธอรีน ก็ดูไม่พอใจที่มีสื่อมาตามที่บ้าน และบอกว่าขอความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยให้คนในบ้านด้วย ซึ่งป้าติ๋มทิ้งท้ายไว้เพียงว่า ตอนนี้ขอแค่ตั้งใจจะจัดงานศพคุณแคทเธอรีนให้ดีที่สุดเท่านั้น เรื่องอื่นจะไม่พูดแล้ว

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ กางกฎหมายไทย หากหญิงฝรั่งไม่ทำพินัยกรรม 1 ใน 3 แบบนี้ "ป้าติ๋ม" ไม่ได้มรดก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook