ส.ว.เรืองไกรยื่น อสส.ส่งศาล รธน.สั่งยุบ ปชป.เจรจาเนวิน-เติ้งหนุนตั้งรบ.-ฮั้วเลือกตั้งซ่อมขัด รธน.
หนังสือของนายเรืองไกรระบุว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมด้วยพรรคประชาธิปัตย์ แสดงต่อสาธารณะทำให้เข้าใจว่า นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ได้กระทำการร่วมกับพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาลซึ่งเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง โดยการติดต่อกับส.ส.และกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่ ส.ส.ซึ่งบางคนเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเพื่อกระทำการดังกล่าว
ทั้งนี้ ปรากฏข่าวที่ชัดเจนว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ร่วมทำการที่สำคัญ โดยการแถลงข่าวให้สัมภาษณ์ว่า ได้ดำเนินการติดต่อกับพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคพลังประชาชนมา เช่น นายบรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายเนวิน ชิดชอบ เป็นต้น
โดยเฉพาะการที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ที่ได้เดินทางไปพบกับนายเนวิน ชิดชอบที่โรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อแสดงให้สาธารณชนเข้าใจว่า นายเนวิน เป็นผู้ทีมีผลต่อการตัดสินใจของ ส.ส.ที่ทราบทั่วไปว่าเป็นกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งเคยเป็น ส.ส.ในพรรคพลังประชาชนเดิมซึ่งมีจำนวนหลายสิบคนเพียงพอที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาลและจะเป็นผลให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คือนายอภิสิทธิ์ ได้รับความเห็นชอบให้เป็นนายกรั />
หนังสือนายเรืองไกรระบุด้วยว่า การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและบทความให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพ ทำให้ทราบว่า การกระทำดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ย่อมทราบถึงวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศอันอาจมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเข้าใจได้ว่ ามีการติดต่อระหว่างพรรค กรรมการบริหารพรรค กลุ่มบุคคลที่มิใช่ส.ส.เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศ ก่อนที่รัฐบาลชุดนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะสิ้นสุดลง อันไม่เป็นไปตามวิถีทางที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
หนังสือระบุด้วยว่า นอกจากนั้นในการส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส. แทนตำแหน่งที่ว่างจำนวน 29 ตำแหน่งใน 22 จังหวัด 26 เขตเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ส่งผู้สมัครเพียง 9 คน ซึ่งต่างจากการส่งผู้สมัครในคราวการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่พรรคประชาธิปัตย์มีการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เกือบครบทั้ง 26 เขตเลือกตั้งที่จะต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ในวันที่11 มกราคม 2552
การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ในการส่งผู้สมัครเพียง 9 คน จึงน่าจะเป็นการกระทำที่ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า จะมีผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม อันเนื่องมาจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ตกลงกับพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองให้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยการให้ส.ส.ที่รวบรวมรายชื่อได้ออกเสียงเห็นชอบให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป จึงอาจถือได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
พรรคการเมืองถือเป็นสถาบันหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ย่อมต้องมีภาระหน้าที่ในการผดุงไว้ซึ่งหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือการที่ประชาชนจะต้องเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศที่แสดงออกในการเลือกตั้ง แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับจะทำให้การเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 11 มกราคม 2552 เป็นเพียงแบบพิธีที่จะนำไปสู่การได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศเท่านั้น ทั้งที่การเลือกตั้งนั้น เป็นช่วงจังหวะเวลาและเป็นกระบวนการทางการเมืองที่มีความสำคัญยิ่งในระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสอย่างกว้างขวางแก่ประชาชนในเขตเลือกตั้งที่จะได้ร่วมกันใช้สิทธิแสดงเจตจำนงและตกลงใจที่จะกำหนดทิศทางทางการเมือง และคัดสรรผู้แทนเข้ามาทำหน้าที่ทั้งในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร การไม่ส่งผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ในเขตเลือกตั้งที่มีการตกลงกันไว้กับพรรคการเมืองอื่นหรือกลุ่มการเมืองอื่น แสดงให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์มิได้ใรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหนังสือนายเรืองไกรระบุ
หนังสือนายเรืองไกรระบุว่า การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์โดยการหลีกเลี่ยงไม่ส่งผู้สมัครในเขตเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อหลีกทางให้ผู้สมัครของพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่มาสนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลได้ ส.ส.นั้น ทำให้การเลือกตั้งดังกล่าวไม่เป็นไปตามครรลองของกฎหมายตามปกติ โดยสมคบร่วมกันกระทำเป็นขบวนการกับพรรคการเมืองอื่นหรือกลุ่มการเมืองอื่น เพียงเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลโดยเร็วยิ่งขึ้น พฤติการณ์และการกระทำดังกล่าวอาจเพียงพอให้เชื่อได้ว่าถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงขอเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว และมีคำสั่งยุบพรรคดังกล่าว โดยมีประเด็นที่ขอให้ดำเนินการ ดังนี้
1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ อันขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่
2.มีเหตุสมควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่
3.หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำร้องของนายเรืองไกร ได้แนบเอกสารหลักฐาน ดังต่อไปนี้ 1. คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2551 ที่มีคำพิพากษาให้ยุบพรรคพลังประชาชน 2. บทสัมภาษณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2551 หน้า A6 และฉบับวันที่ 12 ธันวาคม 2551 หน้า A6 3. ข่าวหนังสือพิมพ์ ข่าววิทยุ ข่าวโทรทัศน์ ข่าวทางอินเตอร์เน็ท ที่เกี่ยวข้อง