ครม.สั่งคุมเข้มพื้นที่เสี่ยง 467 จุดรอบ กทม.

ครม.สั่งคุมเข้มพื้นที่เสี่ยง 467 จุดรอบ กทม.

ครม.สั่งคุมเข้มพื้นที่เสี่ยง 467 จุดรอบ กทม.
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ครม.สั่งคุมเข้มพื้นที่เสี่ยง 467 จุด รอบกรุงเทพฯ พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มบนทางด่วน

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (28 ก.ย.) ว่า คณะรัฐมนตรีได้รับทราบรายงานสถานการณ์ และมาตรการรักษาความปลอดภัย 3 มาตรการหลักที่จะใช้ดูแลพื้นที่รอบกรุงเทพมหานคร 467 จุด ประกอบด้วย มาตรการเชิงป้องกัน การวางระบบและจุดเสี่ยง การจัดทำแผนภูมิทัศน์ การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มาตรการสกัดยับยั้ง กดดัน และเกาะติด โดยการสอบสวนสืบสวน การวางระบบสืบสวนหาข่าว โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฉวยโอกาสก่อการ และมาตรการทำงานกับภาคประชาสังคม โดยการทำประกาศแจ้งเตือน การร่วมกับอาสาสมัคร พลเรือน โดยคณะรัฐมนตรีรับทราบในพื้นที่เฝ้าระวัง สถานที่ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง รวมถึงพื้นที่เฝ้าระวังพิเศษล่อแหลม สถานที่ราชการ พื้นที่เฝ้าระวังพิเศษอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ นายปณิธาน กล่าวว่า คณะรัฐมนตรียังได้รับทราบภาพรวมการประเมินสถานการณ์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการก่อเหตุทั้งสิ้น 125 เหตุการณ์ โดย 108 เหตุการณ์ เกิดในกรุงเทพฯ มี 72 เหตุการณ์ เกิดระหว่างการชุมนุมทางการเมือง และ 36 เหตุการณ์ เกิดหลังการชุมนุม ส่วนใหญ่เป็นคดีระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 20 เหตุการณ์

"คณะรัฐมนตรีได้กำชับเรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม จากที่สำรวจพบว่ามีกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งแล้ว 8,846 จุด จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบดูแล โดยให้ประสานกับกรุงเทพมหานคร ให้ปรับมาตรฐานการบันทึกภาพให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และวางเครือข่ายให้ครอบคลุม ให้ สตช.ทำงานร่วมกับเอกชนให้มากขึ้น และติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มในตึกสูง โดยเฉพาะทางยกระดับ ที่ให้ติดตั้งกล้องระหว่างทาง เพื่อให้สามารถสังเกตพฤติกรรมคนร้ายด้วย" นายปณิธาน กล่าว

นายปณิธาน กล่าวอีกว่า คณะรัฐมนตรียังสั่งการให้ใช้มาตรการกดดันกลุ่มเป้าหมายและมาตรการเชิงรุก และได้พูดคุยเรื่องอาวุธสงคราม ซึ่ง สตช.รายงานว่า อยู่ระหว่างขยายผลคดีที่มีการจับกุม เบื้องต้นมีการให้การที่เป็นประโยชน์ นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี จึงกำชับให้เจ้าหน้าที่วางระบบป้องกัน ให้ทำงานกับประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอาสาสมัครภาคพลเรือน ให้ สตช.ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และได้กำชับให้มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าของคดี เนื่องจากกรณีระเบิดหลายกรณีมีลักษณะระเบิดเฉพาะที่ สามารถเชื่อมโยงเหตุกันได้

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook