ชีวิตอันน่าเศร้า... รัชทายาท "องค์สุดท้าย" แห่งราชวงศ์เวียดนาม เจ้าชายรูปงามผู้เปี่ยมปัญญา

ชีวิตที่แสนเศร้า ขององค์รัชทายาทองค์สุดท้ายแห่งเวียดนาม "บาวหลง" จากเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ สู่ชายผู้โดดเดี่ยวในต่างแดน
เหงียนฟุกบาวหลง (Nguyễn Phúc Bảo Long) องค์รัชทายาทองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหงียน และพระโอรสองค์โตของ จักรพรรดิบ่าวได (Bảo Đại) กับ สมเด็จพระราชินีนาถนามเฟือง (Nam Phương) คือบุคคลผู้แบกรับความหวังในการสืบทอดราชบัลลังก์เวียดนาม แต่กลับต้องใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเหงา โดดเดี่ยว และไร้แผ่นดินเกิดในบั้นปลาย
จุดเริ่มต้นของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
บาวหลง ประสูติเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) ณ กรุงเว้ เมืองหลวงเก่าแห่งเวียดนาม เมื่อพระองค์ประสูติ ราชสำนักเวียดนามเฉลิมฉลองด้วยการยิงปืนใหญ่ 7 นัด และมอบของขวัญให้แก่เด็กที่เกิดวันเดียวกันทั่วประเทศ เป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับ "องค์รัชทายาทแห่งชาติ" และถึงกับได้รับการยกย่องว่าเป็น “ชายงามอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินอันนัม”
ในปี พ.ศ. 2482 ขณะมีพระชนมายุ 3 พรรษา พระบิดาทรงประกาศสถาปนาเป็น “องค์รัชทายาท” อย่างเป็นทางการ ณ พระที่นั่งไทยเฮ่า (Điện Thái Hòa) พร้อมรับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์
บาวหลงได้รับการยกย่องว่าเป็นชายรูปงามที่สุดในดินแดนอันนัม ด้วยรูปลักษณ์สูงสง่า หน้าตาคมเข้ม สืบทอดความงามจากพระมารดา และความภูมิฐานจากพระบิดา อีกทั้งยังเป็นผู้มีสติปัญญาโดดเด่น เรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสและภาษากรีกโบราณได้ตั้งแต่ยังเยาว์
แม้จะเกิดในราชวงศ์เวียดนาม แต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 1945 พระองค์กลับต้องเริ่มเรียนรู้ภาษาเวียดนามอย่างจริงจัง และพูดได้คล่องเมื่ออายุประมาณ 10 ปี
จากเจ้าชายสู่ทหารเลอเจียง: ชีวิตโดดเดี่ยวในต่างแดน และความรักที่ไม่สมหวัง
หลังจักรพรรดิบ่าวไดสละราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2488 องค์รัชทายาทและครอบครัวใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในพระราชวังอันดินห์ ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2491 บาวหลงจะถูกส่งไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศส และเข้าศึกษาในโรงเรียนการทหาร Saint-Cyr ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำของประเทศ
หลังสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2499 พระองค์เข้าร่วมกองทัพ Légion Étrangère (เลอเจียงแอร็องเจ) และออกรบในแอฟริกาเหนือช่วงสงครามอัลจีเรีย แม้จะได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิด แต่ยังคงรับราชการต่อเนื่องถึง 10 ปี ได้รับยศ “นายพัน” และเหรียญเกียรติยศหลายรายการ
หลังปลดประจำการ พระองค์กลับไปใช้ชีวิตที่ปารีส ศึกษากฎหมายและรัฐศาสตร์ ทำงานในธนาคารของครอบครัวฝ่ายมารดา และยังคงสนับสนุนกิจกรรมเพื่อชาวเวียดนามพลัดถิ่น ร่วมมือกับเจ้าชายบ่าวหวัง (พระโอรสของจักรพรรดิยาดุตัน)
บาวหลงเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ อิซาเบล เฮบีย์ (Isabelle Hebey) นักออกแบบภายในระดับแถวหน้าของฝรั่งเศส และเคยวางแผนแต่งงานในปี พ.ศ. 2512 แต่สุดท้ายก็แยกทางกัน และเขาใช้ชีวิตโสดตลอดชีพ
สิ่งที่สร้างบาดแผลในใจเขาที่สุด คือการไม่ได้ไปเคียงข้าง พระราชินีนาถนามเฟือง ขณะสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2506 ที่ฝรั่งเศส ยิ่งเจ็บปวดยิ่งขึ้นเมื่อทราบว่า จักรพรรดิบ่าวได ไม่แม้แต่จะมาร่วมงานศพหรือไปเยี่ยมหลุมศพ ส่งผลให้ความสัมพันธ์พ่อลูกแย่ลงจนถึงขั้นมีคดีความเกี่ยวกับมรดกทางราชวงศ์
วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 บาวหลงจบชีวิตในความเงียบงัน ไม่มีผู้สืบสกุล โดยสิ้นชีวิตลงอย่างเงียบสงบที่ฝรั่งเศส ด้วยวัย 71 ปี พิธีศพจัดอย่างเรียบง่ายในครอบครัว โดยพระองค์ไม่มีภรรยา ไม่มีทายาท และได้ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่พระอนุชา “เจ้าชายบาวถัง”
- เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ "เด็กที่รวยสุดในโลก" สื่อเปิดมูลค่าทรัพย์สิน และมรดกที่คาดว่าจะได้รับ!
-
วิถีชนเผ่าอายุยืน ไร้โรคมะเร็งมา 900 ปี เปิดชื่อ 2 อาหารที่แทบ "ไม่กิน" เว้นแต่โอกาสสำคัญ
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ