การเงิน และการลงทุนทั้งหมด
แสดง 4976 - 5,000 จาก 32,893 ข่าว
นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันนี้ (13 ต.ค.) ว่า เปิดตลาดที่ระดับ 29.86/88 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 29.97/99 บาท/ดอลลาร์ สอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น
ส่วนมาตรการแก้ปัญหาผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าที่ออกมาวานนี้ยังไม่ส่งผลอะไรมากนัก
สำหรับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักต่างประเทศ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 81.94/96 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับ 82.05/10 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3955/3958 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าเช่นกันจากระดับ 1.3800/3808 ดอลลาร์/ยูโร
ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันนี้ คาดอยู่ที่ 29.80-29.95 บาท/ดอลลาร์
ดัชนีสเตรทส์ไทม์ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดปรับตัวลดลงในวันนี้ (12 ต.ค.) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ปิดลบเป็นส่วนมาก โดยลดลง 14.05 จุด หรือ 0.44% ปิดที่ 3,149.36 จุด มีปริมาณการซื้อขาย 1.90 พันล้านหุ้น มูลค่า 1.75 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หลังจากเมื่อวานนี้(11ต.ค.)ดัชนีสเตรทส์ไทม์บวก 10.07 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 3,163.41 จุด
นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 29.97/99 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากช่วงเช้าที่ระดับ 30.08/10 บาท/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินในภูมิภาคเนื่องจากเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น
"ปรับตัวแข็งค่าตาม trend เนื่องจากเงินดอลลาร์อ่อน...มาตรการ(แก้ปัญหาผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า)ออกมาสกัดกั้นเป็นบางอย่าง แต่ trend ยังแข็งค่าในตัวมันเองอยู่" นักบริหารเงิน กล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักต่างประเทศ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 82.05/10 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับ 82.15/16 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3800/3808 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับ 1.3860/3865 ดอลลาร์/ยูโร
นักบริหารเงิน คาดว่า กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้น่าจะอยู่ระหว่าง 29.90-30.05 บาท/ดอลลาร์
บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ (12 ต.ค.) ดัชนีแกว่งตัวในช่วงแคบในแดนบวกสลับแดนลบ ท่ามกลางแรงขายทำกำไรระยะสั้น ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำสุดที่ 971.99 จุด และสูงสุดที่ 980.42 จุด หลังครม.อนุมัติมาตรการสกัดค่าเงินบาทตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้มีการเก็บภาษี 15% ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร ก่อนปิดตลาดที่ 977.08 จุด ลบ 0.77 จุด หรือลดลง 0.08% ปริมาณการซื้อขาย 5,018,110, 000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย34,370.52 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
TMB ปิดที่ 2.36 บาท บวก 0.08 บาท
PTTEP ปิดที่ 169.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
PTT ปิดที่ 304.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
IVL ปิดที่ 31.50 บาท บวก 2.00 บาท
BBL ปิดที่ 158.00 บาท บวก 1.50 บาท
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดตลาดวันนี้ (12 ต.ค.) ปรับตัวลดลง85.61 จุด หรือ 0.37% ปิดที่ 23,121.70 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8.31 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หุ้นกลุ่มธนาคาร ถูกนักลงทุนขายทำกำไร หลังจากที่หุ้นดีดตัวขึ้นอย่างมากในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ในวันนี้ (12 ต.ค.) ปิดร่วงลง 21.87 จุด หรือ 1.16% ปิดที่ระดับ 1,868.04 จุด มีปริมาณการซื้อขายที่ 309 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 5.75 ล้านล้านวอน (5.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยมีหุ้นกลุ่มโลหะและผู้ผลิตเครื่องจักรเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ ท่ามกลางความวิตกกังวลของนักลงทุนต่างชาติเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของสหรัฐ
ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวในวันนี้ (12 ต.ค.) ปิดตลาดร่วงลง 200.24 จุด หรือ 2.09% แตะที่ 9,388.64 จุด นื่องจากสกุลเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ได้ฉุดหุ้นบริษัทส่งออกดิ่งลงอย่างหนัก
โดยหุ้นกลุ่มประมงและป่าไม้ดิ่งลงหนักสุด ตามด้วยหุ้นกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย และกลุ่มกระดาษและเยื่อกระดาษ ส่วนหุ้นกลุ่มประกันเป็นหุ้นกลุ่มเดียวที่ดีดตัวขึ้นในวันนี้
ดัชนีนิกเกอิปรับตัวขึ้นในช่วงเช้า ขานรับการปิดบวกของตลาดหุ้นนิวยอร์ก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดัชนีนิกเกอิก็ถอยร่นลงมาเคลื่อนไหวในแดนลบหลังจากเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์
ยูมิ นิชิมุระ นักวิเคราะห์จากไดวา ซิเคียวริตีส์ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 82 เยนส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายซบเซาลง นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างหนักของหุ้นฟาสท์ รีเทลลิ่ง ยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดอ่อนตัวลงด้วย
นายโยชิฮิโกะ โนดะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นเตรียมใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน ซึ่งมาตรการดังกล่าวรวมถึงการแทรกแซงตลาด หลังจากที่เงินเยนพุ่งแตะระดับสูงสุดระดับใหม่ในรอบ 15 ปีเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราออสเตรเลีย
ดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันปิดร่วงลงในวันนี้ (12 ต.ค.) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค หลังจากมีรายงานข่าวว่า ธนาคารกลางจีนได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 6 แห่งในประเทศเพิ่มสัดส่วนสำรองเงินฝาก
ดัชนีเวทเต็ดปรับตัวลง 86.54 จุด หรือ 1.06% ปิดที่ 8,090.22 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบหนึ่งเดือน
บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (12 ต.ค.) ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 979.22 จุด และต่ำสุดที่ 971.99 จุด ก่อนปิดตลาดในภาคเช้าที่ 975.29 จุด ลบ 2.56 จุด หรือ 0.26% มูลค่าการซื้อขาย 18,549.31 ล้านบาท โดยดัชนีแกว่งตัวในช่วงแคบ ท่ามกลางแรงขายทำกำไรระยะสั้น โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงจับตา มาตรการสกัดค่าเงินบาทแข็งค่าที่กระทรวงการคลังเสนอเข้าครม.ในวันนี้
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
TMB ปิดที่ 2.38 บาท บวก 0.10 บาท
PTTEP ปิดที่ 169.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
PTT ปิดที่ 303.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
IVL ปิดที่ 31.00 บาท บวก 1.50 บาท
BBL ปิดที่ 156.00 บาท ลดลง 0.50 บาท
ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดช่วงเช้าที่ระดับ 975.29 จุด ลดลง 2.56 จุด เปลียนแปลง -0.26%
นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (12 ต.ค.) ว่า เปิดตลาดที่ระดับ 30.08/10 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 30.04/06 บาท/ดอลลาร์ ตามสกุลเงินในภูมิภาคเอเซีย
"แม้ตลาดจะจับตาดูการพิจารณามาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าของคณะรัฐมนตรีว่าจะออกมาในทิศทางใด แต่เชื่อว่าปัจจัยจากต่างประเทศที่มาจากเงินดอลลาร์กลับมาปรับตัวแข็งค่าน่าจะส่งผลกระทบมากกว่า และหลังจาก ครม.มีมาตรการออกมาแล้วน่าจะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่ากว่าเดิม ไม่เช่นนั้นอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามาตรการที่ออกมาไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรมากนัก"
สำหรับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักต่างประเทศ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 82.15/16 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับ 82.02/03 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3860/3865 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัสวอ่อนค่าจากระดับ 1.3939/3945 ดอลลาร์/ยูโร
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทวันนี้ คาดแกว่งตัในกรอบ 30.05-30.15 บาท/ดอลลาร์
ดัชนีนิกเกอิ 225 ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดทำการซื้อขายภาคเช้าวันอังคาร (12 ต.ค.2553) ที่ระดับ 9,504.39 จุด ปรับลดลง 84.49 จุด เปลี่ยนแปลง -0.88%
นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (12 ต.ค.) ว่า เปิดตลาดที่ระดับ 30.08/10 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 30.04/06 บาท/ดอลลาร์ ตามสกุลเงินในภูมิภาคเอเซีย
"แม้ตลาดจะจับตาดูการพิจารณามาตรการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าของคณะรัฐมนตรีว่าจะออกมาในทิศทางใด แต่เชื่อว่าปัจจัยจากต่างประเทศที่มาจากเงินดอลลาร์กลับมาปรับตัวแข็งค่าน่าจะส่งผลกระทบมากกว่า และหลังจาก ครม.มีมาตรการออกมาแล้วน่าจะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่ากว่าเดิม ไม่เช่นนั้นอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามาตรการที่ออกมาไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรมากนัก"
สำหรับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักต่างประเทศ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 82.15/16 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับ 82.02/03 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3860/3865 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัสวอ่อนค่าจากระดับ 1.3939/3945 ดอลลาร์/ยูโร
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทวันนี้ คาดแกว่งตัในกรอบ 30.05-30.15 บาท/ดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดเมื่อวานนี้ (11 ต.ค.) ขยับขึ้น 3.86 จุดหรือ 0.04% ปิด 11,010.34, ดัชนี S&P 500 ปิดขยับขึ้น 0.17 จุดหรือ 0.01% ปิด 1,165.32 และดัชนี Nasdaq ปิดเพิ่มขึ้น 0.42 จุด หรือ 0.02% ปิด 2,402.33 ปริมาณการซื้อขายเบาบาง 5.54 พันล้านหุ้นในตลาดนิวยอร์ก
โดยนักลงทุนกล้าเข้าซื้อขายหุ้นก่อนการประกาศผลประกอบการของบริษัทสำคัญๆในสัปดาห์นี้ หนุนหุ้นดาวโจนส์ปิดบวก
ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ส่งมอบเดือนพ.ย. ปรับลดลง 45 เซนต์ ปิดตลาดที่ระดับ 82.21 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับลดลง 31 เซนต์ ปิดตลาดที่ระดับ 83.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาทองคำ ตลาดค้าทองฮ่องกงเปิดตลาดวันอังคาร (12 ต.ค.2553) ที่ระดับ 1,351.00-1,352.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ราคาปรับขึ้น เมื่อเทียบกับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (11 ต.ค.2553) ที่ระดับ 1,348.00-1,349.00 ดอลลาร์/ออนซ์
ขณะที่สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 9.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,354.40 ดอลลาร์/ออนซ์
โดยสัญญาทองคำยังคงปิดในแดนบวกแม้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตราเมื่อคืนนี้ โดยนักลงทุนยังคงเข้ามาซื้อเก็งกำไรเพราะเชื่อมั่นว่าเฟดจะใช้มาตรการ QE ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ ซึ่งสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นในระบบการเงินจะฉุดสกุลเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่าลง แต่การอ่อนค่าของดอลลาร์ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะหนุนสัญญาทองคำทะยานขึ้น
นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ คาดการณ์ว่า สกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงอันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเรื่องการใช้มาตรการ QE ของเฟดนั้น จะหนุนสัญญาทองคำให้เคลื่อนไหวที่ระดับ 1,315 ดอลลาร์/ออนซ์ในปีหน้า และมีความเป็นไปได้ที่ราคาทองจะพุ่งขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,512 ดอลลาร์/ออนซ์
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงดัชนีการจ้างงานเดือนก.ย. ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดค้าปลีกเดือนก.ย.
ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดในวันนี้ (11 ต.ค.) ลดลง 7.16 จุด หรือ 0.38% แตะที่ระดับ 1,889.91 จุด มีปริมาณการซื้อขายที่ 334.8 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 5.93 ล้านล้านวอน (5.31 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีแรงเทขายของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งบดบังกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจตัดสินใจใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) หรือ QE เพิ่มเติม
นายวีระชัย นพสุวรรณวงศ์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการร่วมความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (เอเจเซ็ป) ครั้งที่ 4 ว่า ญี่ปุ่นได้จัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อการรวมกลุ่มญี่ปุ่นและอาเซียนมูลค่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 360 ล้านบาท มาใช้สนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น ตามความต้องการของคณะอนุกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายใต้ความตกลงเอเจเซ็ป โดยโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะได้รับการอนุมัติจะต้องเป็นโครงการที่ช่วยลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งไทยได้เสนอ คือ การลดโลกร้อน และการพัฒนาป่าไม้ ซึ่งจะได้รับการพิจารณาหลังจากมีความชัดเจนเรื่องหลักเกณฑ์การดำเนินการของกองทุนฯ
นอกจากนี้ที่ประชุมชาติอาเซียนและญี่ปุ่นสามารถตกลงการปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดรายสินค้าของความตกลง เอเจเซ็ปให้สอดคล้องกับการปรับพิกัดศุลกากรรอบปี 2002 เป็นรอบปี 2007 ได้แล้ว ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการผลิต สามารถนำเข้าวัตถุดิบจากชาติอาเซียนมาสะสมเป็นถิ่นกำเนิด เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีศุลกากรในการส่งออกไปญี่ปุ่นและอาเซียน อีกทั้งยังช่วยป้องกันการนำวัตถุดิบนอกภาคีมาเป็นส่วนประกอบของสินค้าที่จะขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีศุลกากรอีกด้วย
ส่วนการเปิดเสรีด้านการค้าสินค้าและการลงทุน อาเซียน-ญี่ปุ่น ตอนนี้อยู่ระหว่างแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และกำหนดรายละเอียดของความตกลง ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างพอใจที่การเจรจามีทิศทางสอดคล้องกับความต้องการของประเทศภาคีและมีผลเป็นรูปธรรมชัดเจนมาก และมั่นใจว่าจะสามารถเร่งรัดให้มีการเจรจาได้ในสิ้นปี 54 ตามมติที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 16 โดยแนวทางการเจรจาจะเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการและการลงทุนระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นให้มากยิ่งขึ้น
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ได้ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ของบริษัทสูงขึ้น ซึ่งบริษัทจะขอความร่วมมือผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ป้อนให้กับมิตซูบิชิปรับลดราคาขายลงประมาณ 5-10%
"การปรับลดราคาขายชิ้นส่วน เพื่อให้รถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยของมิซูบิชิ ยังรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้"
อย่างไรก็ตาม การขอปรับลดราคาชิ้นยังไม่ได้สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไม่สามารถแข่งขันได้ โดยนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า การขอลดราคาชิ้นส่วนเป็นเรื่องของกลยุทธ์แต่ละค่ายรถยนต์และเป็นเรื่องภายใน จึงไม่อาจสรุปในภาพรวมได้ว่า ค่ายรถยนต์ทั้งอุตสาหกรรมขอปรับลดราคาชิ้นส่วนยานยนต์ลงทั้งหมด
ในปีนี้ส.อ.ท.ปรับเป้าการผลิตรถยนต์เพิ่มอีก 160,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 11.43% มาเป็น 1.56 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ผลิตได้ 999,000 คัน คิดเป็นยอดผลิตเพิ่มขึ้น 56.16% รวมทั้งปรับยอดการผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศเพิ่มอีก 70,000 คัน มาเป็น 670,000 คัน หรือคิดเป็น 42.95% ของยอดผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้น 223,000 คัน จากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 447,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 49.89% และปรับยอดการผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มอีก 90,000 คัน มาเป็น 890,000 คัน คิดเป็น 57.05% ของยอดผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้น 338,000 คัน
ธนาคารกรุงไทยจัดสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ตอบแทนลูกค้าช่วงไตรมาสสุดท้าย เสนออัตราดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน แก่ลูกค้าที่ใช้บริการอื่นๆของธนาคารด้วย พร้อมให้วงเงินกู้สูงสุด 100% สำหรับลูกค้าของโครงการกว่า 170 แห่ง มั่นใจปล่อยสินเชื่อใหม่ได้อีก 7,000 ล้านบาท หลัง 9 เดือนแรก ปล่อยได้กว่า 27,000 ล้านบาท
นายประสิทธิ์ อำภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจรายย่อยและเครือข่าย บมจ.ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยถึง สถานการณ์การปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารในช่วง 3 ไตรมาสแรกว่า ธนาคารมียอดการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 27,000 ล้านบาท เกินเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดรวมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอยู่ที่ 172,017 ล้านบาท
สำหรับในไตรมาสสุดท้ายนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนและลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้า ธนาคารได้จัดสินเชื่อบ้านแคมเปญพิเศษ KTB Double Best โดยให้วงเงินกู้สูงสุด 100% สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในโครงการที่ธนาคารสนับสนุนทางการเงินและโครงการอสังหาริมทรัพย์พันธมิตรกว่า 170 แห่ง และคิดดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการอื่นๆของธนาคารด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเงินฝากหรือตั๋ว B/E ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ลูกค้าสินเชื่อ หรือลูกค้ากองทุน RMF-LTF ส่วนเดือนที่ 7-12 คิดอัตรา MLR-3.50% ต่อปี หลังจากนั้นคิด MLR-0.75% ต่อปี และหากซื้อประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองหนี้ที่อยู่อาศัย (MRTA) ลดดอกเบี้ยในเดือนที่ 7-12 ลงอีก 0.50% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้สินเชื่อบ้านเท่านั้น ธนาคารให้โปรโมชั่นฉลองเดือน 10 ปี 2010 คิดดอกเบี้ย 0.10% นาน 10 เดือน หลังจากนั้นคิดอัตรา MLR-0.25% ต่อปี
นอกจากนี้ ลูกค้าที่กู้ซื้อบ้านในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่เป็นพันธมิตร 14 โครงการ อาทิ พร๊อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค แสนสิริ มั่งคงเคหะการ อนันดาดีเวลลอปเม้นท์ โนเบิล ศุภาลัย ปริญสิริ ฯลฯ ยังจะได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ จากโครงการ อาทิ ส่วนลด 10,000 -1,000,000 บาท อยู่ฟรี 1 ปี รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านครบชุด ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
นายประสิทธิ์ อำภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในอันดับ 2 ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารได้จัดโปรโมชั่นให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์และบริการที่ครบวงจร โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม จึงคาดว่าในไตรมาสสุดท้ายนี้ ธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 1551 หรือที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขากว่า 900 แห่งทั่วประเทศ
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า การปรับขึ้นมาของดัชนีตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาทำจุดสูงสุดไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในเฉพาะหุ้นตัวใหญ่ แต่กระจายตัวไปทุกกลุ่ม โดยมีผลประกอบการและอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดีเป็นปัจจัยพื้นฐานรองรับ
ส่วนในระยะต่อไปจะยังคงปรับตัวขึ้นไปได้อีกหรือไม่ ขึ้นกับผลประกอบการไตรมาส 3 ในปีนี้ ของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแนวโน้มการลงทุนของบริษัทจดทะเบีย หากมีการเพิ่มทุนในช่วงไตรมาส 3-4 เพื่อขยายกิจการก็จะเป็นสัญญาณบอก หลังจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาไม่ทำมานาน
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีหุ้นทั้งใน SET และ mai ราคาปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุด 86 ตัว คิดเป็นมาร์เก็ตแคป 1.9 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นที่อยู่ใน SET50 จำนวน 14 ตัว, หุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET 51 จนถึงอันดับที่ 100 จำนวน 9 ตัว และ หุ้นที่อยู่นอกกลุ่ม SET100 จำนวน 40 ส่วนหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ mai มีจำนวน 23 ตัว
กลุ่มธุรกิจที่มีหุ้นทำราคานิวไฮ เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มี 7 บริษัท เช่น LPN PS MBK PREB SENA เป็นต้น , กลุ่มอาหาร 7 บริษัท ได้แก่ CPF OISHI PB SAUCE TF TUF TWFT , กลุ่มพาณิชย์ 6 บริษัท เช่น BIGC CPALL HMPRO MAKRO SPC เป็นต้น, กลุ่ม ICT จำนวน 5 บริษัท และ กลุ่มพลังงาน จำนวน 5 บริษัท
"การขึ้นของตลาดในรอบนี้ไม่ได้กระจุกตัวเฉพาะหุ้นใหญ่ อย่างหุ้นใน SET50 ทำนิวไฮแค่ 14 ตัว นอกนั้นก็กระจายในกลุ่มอื่น ๆ รวมทั้งมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ จากการจ่ายเงินปันผลที่ดี แต่ก็ต้องดูต่อไปว่าผลงานไตรมาส 3 ของปีนี้ จะยังดีอยู่หรือไม่ ถ้าออกมาดีก็เป็นสัญญาณที่ดี เพราะพื้นฐานแน่น เป็นการปรับฐานรอบใหม่ของตลาดหุ้นไทย"นายชนิตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดัชนี SET ปรับขึ้นมาถึง 970 จุด และกำลังจะไปถึง 1 พันจุด เป็นการปรับขึ้นมาจากเมื่อปี 41 ที่ลงไปต่ำสุด 207 จุด ทำให้ขณะนี้ดัชนีปรับตัวขึ้นมา 380% ใช้เวลา 12 ปีนับจากรอบที่แล้ว
"ไตรมาส 3 คาดว่าผลประกอบการ บจ.น่าจะดีขึ้น น่าจะมีการลงทุนมกขึ้น หากขยายการลงทุนก็เป็นสัญญาณดี ปีหน้าก็จะเห็นการออกหุ้นกู้มากขึ้น เช่นการบินไทยมีการเพิ่มทุน ในอนาคตก็มีหลายบริษัทระดมทุนในลักษณะนี้เพื่อขยายกิจการ ตลท.พร้อมสนับสนุน แต่ปีก่อนมองไม่เห็น เพราะทุกคนเรี่องกีฬาสี แต่ขณะนี้คงไม่กังวลแล้ว เพราะแยกออกว่าการเมืองคือการเมือง แต่ธุรกิจก็ต้องเดินหน้าไป"นายชนิตร กล่าว
ดัชนีสเตรทไทม์ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดวันจันทร์ (11 ต.ค. 53) ที่ระดับ 3,163.41 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 10.07 จุด เปลี่ยนแปลง 0.32%
นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 30.04/06 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 30.05/07 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวทำ High ที่ 30.08 บาท/ดอลลาร์ และทำ Low 30.02 บาท/ดอลลาร์
ส่วนเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น กลับมาปิดตลาด 82.02/03 เยน/ดอลลาร์ ส่วนค่าเงินยูโร อยู่ที่ 1.3939/3945 ดอลลาร์/ยูโร
ทั้งนี้ การประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทขึ้นอยู่กับมาตรการเก็บภาษีกำไรต่างชาติที่ลงทุนตลาดตราสารหนี้ อัตรา 15% ว่าจะสรุปอย่างไร ถ้าไม่มีอะไรบาทแข็งต่อแน่นอน แต่ถ้ามีก็ต้องรอดูอีกว่าคืออะไร ส่งผลแรงหรือไม่ จะทำให้ Flow ที่เข้ามาในตลาดพันธบัตรลดลงหรือไม่
ขณะที่ คืนนี้ไม่มีรายงานตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจ เนื่องจากหน่วยงานราชการของสหรัฐปิดทำการ เนื่องในวันโคลัมบัส เดย์
ดัชนีหั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดซื้อขายวันจันทร์ (11 ต.ค.2553) อยู่ที่ระดับ 23,207.31 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 263.13 จุด เปลี่ยนแปลง 1.15% มูลค่าการซื้อขาย 95.21 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (หรือ 12.30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดตลาดวันนี้ (11 ต.ค.) ดัชนีปิดที่ 977.85 เพิ่มขึ้น 14.66 จุด ปริมาณการซื้อขาย 4,028,798,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 27,335.00 ล้านบาทโดยมีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนาแน่นในหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูง ประกอบกับการเข้าเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย
PTTEP ปิดที่ 169.50 บาท บวก 5.00 บาท
BANPU ปิดที่ 740.00 บาท บวก 10.00 บาท
PTT ปิดที่ 305.00 บาท บวก 3.00 บาท
STA ปิดที่ 25.00 บาท บวก 2.30 บาท
CPF ปิดที่ 24.20 บาท บวก 0.70 บาท
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดในวันนี้ (8 ต.ค.)ร่วงลง 95.93 จุด หรือ 0.99% ปิดที่ 9,588.88 จุด หลังจากเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายซบเซาลงก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรในคืนนี้
โดยหุ้นกลุ่มอาหารร่วงลงหนักสุด ตามด้วยหุ้นกลุ่มประกันและกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ กลุ่มหลักทรัพย์ และกลุ่มคลังสินค้า ดีดตัวขึ้นในวันนี้
มาซูมิ ยามาโมโตะ นักวิเคราะห์จากบริษัทไดวา ซิเคียวริตีส์ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า นักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไร และมีนักลงทุนชะลอการซื้อขายหลังจากเข้ามาทุ่มซื้ออย่างคึกคักในวันก่อน ขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออกร่วงลงเนื่องจากเงินเยนแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง