การเงิน และการลงทุนทั้งหมด
แสดง 5001 - 5,025 จาก 32,893 ข่าว
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ (11 ต.ค.) ดัชนีทะยานขึ้นทันทีที่เปิดตลาด และแกว่งตัวยืนในแดนบวกได้อย่างสดใส ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีแรงช้อนซื้อหุ้นกระจายในกลุ่มต่าง ๆ ทั้งพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ผลักดันให้ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดภาคเช้าที่ 973.85 จุด ขยับขึ้น 10.66 จุด หรือ 1.11% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 12,187.10 ล้านบาท
ดัชนีหั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดซื้อขายวันศุกร์ (8 ต.ค.2553) อยู่ที่ระดับ 22,944.18 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 59.86 จุด เปลี่ยนแปลง 0.26% มูลค่าการซื้อขาย 86.58 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (หรือ 11.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีสเตรทไทม์ปิดตลาดวันศุกร์ (8 ต.ค. 53) ที่ระดับ 3,153.34 จุด ปรับลดลง -13.31 จุด เปลี่ยนแปลง -0.43%
นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (8 ต.ค.) ว่า ปิดตลาดที่ระดับ 30.04/06 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 29.92/98 บาท/ดอลลาร์
"วันนี้เงินบาทอ่อนค่าลงมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการอ่อนค่าตามทิศทางสกุลเงินในภูมิภาค และอีกส่วนมาจากที่ล่าสุดนายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่ากระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการ เพื่อสกัดการแข็งค่าของเงินบาทต่อที่ประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า ทำให้นักลงทุนกังวลต่อมาตรการที่รัฐบาลจะออกมา"
ส่วนความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักต่างประเทศช่วงปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 82.55 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3875 ดอลลาร์/ยูโร
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทสัปดาห์หน้าคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 30.00-30.20 บาท/ดอลลาร์
การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดตลาดวันนี้(8ต.ค.) ดัชนีปิดที่ 963.19 ลดลง7.71 จุด หรือ -0.79% ปริมาณการซื้อขาย 4,121,589,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 28,605.13 ล้านบาท ขณะที่ ดัชนี mai ปิดที่ 248.89 จุด ลดลง 1.54 จุด มูลค่าการซื้อขาย 204.25ล้านบาท โดยบรรยากาศการลงทุน ดัชนีแกว่งตัวในแดนลบ จากความกังวลธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อป้องกันการแข็งค่าของเงินบาท หลังหลุด 30 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้า จะมีความชัดเจน ส่งผลให้มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารออกมาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 976.12 จุด และต่ำสุดที่ 962.30 จุด
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
PTT ปิดที่ 301.00บาท บวก 1.00 บาท
PTTEP ปิดที่ 164.00บาท ลดลง 2.50 บาท
BANPU ปิดที่ 728.00 บาท ลดลง 12.00 บาท
CPF ปิดที่ 23.40บาท ลดลง 0.30 บาท
STA ปิดที่ 22.70บาท บวก 0.70 บาท
ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดปรับตัวลในวันนี้ (8 ต.ค.) หดตัวลง 3.78 จุด หรือ 0.2% ปิดที่ระดับ 1,897.07 จุด เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันเทขายทำกำไร หลังจากที่ตลาดเคลื่อนไหวในแดนบวกช่วงที่ผ่านมา มีปริมาณการซื้อขายที่ 360.3 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 6.2 ล้านล้านวอน (5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดในวันนี้ (8 ต.ค.) ร่วงลง 95.93 จุด หรือ 0.99% ปิดที่ 9,588.88 จุด หลังจากเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายซบเซาลงก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรในคืนนี้
โดยหุ้นกลุ่มอาหารร่วงลงหนักสุด ตามด้วยหุ้นกลุ่มประกันและกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ กลุ่มหลักทรัพย์ และกลุ่มคลังสินค้า ดีดตัวขึ้นในวันนี้
มาซูมิ ยามาโมโตะ นักวิเคราะห์จากบริษัทไดวา ซิเคียวริตีส์ แคปิตอล มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า นักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไร และมีนักลงทุนชะลอการซื้อขายหลังจากเข้ามาทุ่มซื้ออย่างคึกคักในวันก่อน ขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออกร่วงลงเนื่องจากเงินเยนแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยช่วงเช้าวันนี้(8ต.ค.) ดัชนีปิดที่ 972.63 จุด เพิ่มขึ้น 1.73 หรือ +0.18% ปริมาณการซื้อขาย 2,110,340,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 12,007.43 ล้านบาท ขณะที่ ดัชนี mai ปิดที่ 250.77 จุด เพิ่มขึ้น 0.34 จุด มูลค่าการซื้อขาย 95.42 ล้านบาท
โดยตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าแกว่งตัวผันผวนตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยตลาดฯเปิดตัวมาลดลงเล็กน้อยแต่ก็รีบาวน์ ขึ้นมาได้ ทั้งนี้ตลาดฯกำลังรอความชัดเจนมาตรการดูแลค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยทำให้ยังไม่ค่อยกล้าลงทุน ด้านปัจจัยต่างประเทศติดตามการประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯและลุ้นเฟดประกาศมาตรการ QE ในวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ คาดช่วงบ่ายตลาดฯแกว่ง sideway ต่อ พร้อมให้แนวรับ 960 จุด แนวต้าน 983 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย
PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,391.32 ล้านบาท ปิดที่ 304.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 910.04 ล้านบาท ปิดที่ 166.00 บาท ลดลง 0.50 บาท
CPF มูลค่าการซื้อขาย 531.47 ล้านบาท ปิดที่ 23.50 บาท ลดลง 0.20 บาท
BTS มูลค่าการซื้อขาย 485.01 ล้านบาท ปิดที่ 0.84 บาท เพิ่มขึ้น 0.03 บาท
TMB มูลค่าการซื้อขาย 404.50 ล้านบาท ปิดที่ 2.28 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (8 ต.ค.) ว่า เปิดตลาดที่ระดับ 29.92/98 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 29.87/89 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้อาจปรับตัวอ่อนค่าลงได้อีกจากแรงขายเก็งกำไร รวมถึงจากปัจจัยที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาล่าสุด คือ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และถือเป็นยอดที่ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน คือมียอด 445,000 ราย น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 455,000 ราย
ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงเปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 82.35 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3900 ดอลลาร์/ยูโร
สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันนี้ คาดอยู่ในกรอบ 29.85-30.00 บาท/ดอลลาร์
การซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ประจำวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า ดัชนีปรับลดลงเป็นส่วนใหญ่และแกว่งตัวในกรอบแคบก่อนจะ ปิดที่ 10,948.58 จุด ลดลง 19.07 จุด แนสแดค ปิดที่ 2,383.67 จุด เพิ่มขึ้น 3.01 จุด และเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,158.06 จุด ลดลง 1.91 จุด ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 1.56 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ 81.67 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
แม้ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐ ระบุว่า จำนวนคนตกงานที่ยื่นเอกสารขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง เช่นเดียวกับยอดจำหน่ายของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ ทั้ง เมซีส์ และ อะเบอร์ครอมบี แอนด์ ฟิทช์ ในเดือนที่ผ่านมาน่าพอใจ แต่นักลงทุนก็ยังไม่เข้าซื้อหุ้นมากนัก
นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในวันนี้ (7 ต.ค.) ว่า ปิดตลาดที่ระดับ 29.87/89 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากช่วงเช้าที่ระดับ 29.90 บาท/ดอลลาร์ ก่อนปิดตลาดเงินบาทปรับตัวลงไปทำนิวโลว์ที่ระดับ 29.86 บาท/ดอลลาร์
"เงินบาทยังคงมีแนวโน้มปรับตัวแข็งค่าในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนต่างประเทศไหลเข้า และเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) เข้ามาดูแลเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ปรับตัวแข็งค่าเร็วเกินไป"
สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 82.49/52 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับ 82.96 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3975/3980 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าจากระดับ 1.3911 ดอลลาร์/ยูโร
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้ (8 ต.ค.) คาดแกว่งตัวในกรอบ 29.75-29.95 บาท/ดอลลาร์
ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวันปิดตลาดวันพฤหัสบดี (7 ต.ค.2553) ที่ระดับ 8,283.92 จุด ปรับลดลง -0.11 จุด เปลี่ยนแปลง -0.001%
ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีสเตรทไทม์ปิดตลาดวันพฤหัสบดี (7 ต.ค. 53) ที่ระดับ 3,166.65 จุด ปรับลดลง -23.42 จุด เปลี่ยนแปลง -0.73%
บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับตัวในแดนลบจากแรงขายทำกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ โดยระหว่างการซื้อขายดัชนีสูงสุดที่ 983.37 จุด และปิดตลาดในระดับต่ำสุดที่ 970.90 จุด ลดลง 8.10 จุด หรือ 0.83%
โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
PTT ปิดที่ 300.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
PTTEPปิดที่ 166.50บาท ลดลง 3.50 บาท
BANPU ปิดที่ 740.00บาท ลดลง 2.00 บาท
ITD ปิดที่ 4.82บาท บวก 0.20 บาท
CPF ปิดที่ 23.70บาท ลดลง 0.40 บาท
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวในวันนี้ (7 ต.ค.) ปิดติดลบ 6.62 จุด หรือ 0.07% แตะที่ 9,684.81 จุด หลังจากเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดยังคงได้แรงหนุนจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ)
โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในวันนี้ ตามด้วยหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหุ้นกลุ่มสายการบิน กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง กลุ่มประมงและป่าไม้ ปรับตัวลดลง
ทสึโยชิ เซกาว่า นักวิเคราะห์จากบริษัทมิซูโฮ ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหุ้นที่ต้องพึ่งพาดีมานด์ภายในประเทศ ได้รับประโยชน์อย่างมากจากมาตรการผ่อนคลายด้านการเงินของบีโอเจ
ดัชนีหั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดซื้อขายวันพฤหัสบดี (7 ต.ค. 53) อยู่ที่ระดับ 22,884.32 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.91 จุด เปลี่ยนแปลง 0.01% มูลค่าการซื้อขาย 80.26 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (หรือ 10.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดภาคเช้าในวันนี้ (7 ต.ค.) ขยับขึ้น 11.33 จุด หรือ 0.12% แตะที่ 9,702.76 จุด เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน แม้สกุลเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐก็ตาม
โดยหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุด ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคและกลุ่มเดินเรือ ส่วนหุ้นกลุ่มสายการบิน กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง และกลุ่มเบ็ดเตล็ด ร่วงลงในช่วงเช้าวันนี้
ฮิโรอิชิ นิชิ นักวิเคราะห์จากบริษัทนิกโก คอร์เดียล ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหุ้นที่ต้องพึ่งพาดีมานด์ภายในประเทศนั้น ได้ประโยชน์อย่างมากจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของบีโอเจ
อย่างไรก็ตาม เงินเยนยังแข็งค่าขึ้นแม้บีโอเจใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน โดยหุ้นบริษัทส่งออกได้รับผลกระทบหนักสุด เพราะเงินเยนที่แข็งค่าจะส่งผลให้กำไรในตลาดต่างประเทศของบริษัทญี่ปุ่นหดตัวลงด้วย
นายเกียรติก้อง เดโช นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า ตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ และอาจจะสามารถไปทดสอบแนวต้านเดิมที่ 985-986 จุด โดยปัจจัยหนุนหลักยังเป็นเรื่องของเม็ดเงินต่างประเทศที่ยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมาลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน ทั้ง PTT PTTEP เป็นต้น หลังจากราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น นกจากนี้ ยังมีแรงเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3 หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทขณะนี้ถือว่าเป็นไปตามแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ขยายตัวได้ดีมาก และก็เป็นการแข็งค่าขึ้นตามภูมิภาคจึงไม่น่ากังวลมากนัก และคาดว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม กนง.ที่จะถึงนี้ ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวก-ลบสลับกันไปเล็กน้อย
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีวันนี้ คาดแนวรับอยู่ที่ระดับ 977 จุด แนวต้าน 986 จุด
บรรยากาศการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ เมื่อวานนี้(6ต.ค.) ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ หลังข้อมูลล่าสุดชี้ว่า บริษัทเอกชนมีการปรับลดตำแหน่งของพนักงานและลูกจ้างเป็นครั้งแรกในเดือนที่ ผ่านมา สะท้อนว่าเศรษฐกิจอาจยังไม่ขยายตัวอย่างเต็มที่มากนัก ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดที่ 10,967.65 จุด เพิ่มขึ้น 22.93 จุด แนสแดค ปิดที่ 2,380.66 จุด ลดลง 19.17 จุด และเอสแอนด์พี ปิดที่ 1,159.97 จุด ลดลง 0.78 จุด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 41 เซนต์ ไปปิดที่ 83.23 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีสเตรทไทม์ปิดตลาดวันพุธ (6 ต.ค. 53) ที่ระดับ 3,190.07 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 27.71 จุด เปลี่ยนแปลง 0.88%
บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ (6 ต.ค.) ดัชนีปิดที่ 979.00 บวก 9.72 จุด จุด หรือ +1.00 % ปริมาณการซื้อขาย 4,262,536,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 37,855.23 ล้านบาท โดยสถาบัน ซื้อสุทธิ 6.26 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 432.55 ล้านบาท ต่างประเทศ ซื้อสุทธิ2,738 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศ ขายสุทธิ 3,176.82 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
PTTEP ปิดที่ 170.00บาท บวก 10.00 บาท
PTT ปิดที่ 302.00 บาท บวก 5.00 บาท
BANPU ปิดที่ 742.00บาท บวก 20.00 บาท
KTB ปิดที่ 17.20 บาท บวก 0.10 บาท
KBANK ปิดที่ 118.50บาท บวก 2.50 บาท
ดัชนีหั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดซื้อขายวันพุธ (6 ต.ค. 53) อยู่ที่ระดับ 22,880.41 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 241.27 จุด เปลี่ยนแปลง 1.07% มูลค่าการซื้อขาย 104.80 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (หรือ 13.50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดวันนี้(6ต.ค)ที่ 9,691.43 จุด บวก 172.67 จุด หรือ 1.81% โดยบรรยากาศการซื้อขายได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน โดยหุ้นของบริษัทเกือบทั้ง 33 ภาคธุรกิจพร้อมใจกันเคลื่อนไหวในแดนบวกเกือบทั่วทั้งกระดาน นำโดยหุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่ทะยานขึ้นกว่า 5% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แต่มีเพียงหุ้นกลุ่มสายการบิน, ธุรกิจไฟฟ้าและก๊าซ และหุ้นกลุ่มอุปกรณ์การขนส่งที่ร่วงลงอยู่ในแดนลบ
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการเงินเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงินของบีโอเจ ซึ่งได้มีมติให้ปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0 - 0.1% พร้อมกับจัดตั้งกองทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ยูมิ นิชิมูระ นักวิเคราะห์จากบริษัท Daiwa Securities Capital Markets Co. กล่าวว่า ตลาดหุ้นขานรับมาตรการของบีโอเจ ขณะที่รัฐบาลตั้งเป้าที่จะต่อสู้กับปัญหาเงินฝืดและสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นักลงทุนแห่ลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงในวันนี้ และเตรียมจับตารายงานตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ด้วย"
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบีโอเจจะดำเนินมาตรการผ่อนคลายด้านการเงินแล้ว แต่เงินเยนของญี่ปุ่นยังคงแข็งค่าซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มผู้ส่งออกที่ซื้อขายในตลาดหุ้น ทั้งนี้ เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวอยู่ต่ำกว่าระดับ 83 เยน และเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับระดับของเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี
ดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันปิดดีดตัวขึ้นแข็งแกร่งในวันนี้ (6 ต.ค.) 83.60 จุด หรือ 1% ปิดที่ 8,284.03 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 เดือน ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่เดินหน้าขึ้นเมื่อคืนนี้ ขณะที่การแข็งค่าของดอลลาร์ไต้หวันที่เคยเป็นปัจจัยลบในการซื้อขายสองวันที่ผ่านมา ก็กลับมาเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มก่อสร้างให้ทะยานขึ้นในวันนี้
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดช่วงเช้าวันนี้(6ต.ค.)ที่ระดับ 973.81 จุด บวก 4.53 จุด (+0.47%) ปริมาณการซื้อขาย 1,959,814,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 16,873.08 ล้านบาท โดยนักวิเคราะห์มองว่า ได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลบวกหุ้นในกลุ่มพลังงาน แต่ถูกประเด็นค่าเงินบาทแข็งค่ามากกดดันดัชนีไปไม่ไกล แนะติดตามต่อเนื่อง ส่วนแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ มองดัชนีแกว่งตัวผันผวนจากประเด็นแรงกดดันค่าเงินบาทมากขึ้นหลังจากที่เห็นการหลุดระดับ 30 บาท/ดอลลาร์แล้ว พร้อมให้แนวรับ 960 จุด แนวต้าน 975-978 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ประกอบด้วย
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,970.63 ล้านบาท ปิดที่ 165.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 956.40 ล้านบาท ปิดที่ 299.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 770.24 ล้านบาท ปิดที่ 118.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 765.10 ล้านบาท ปิดที่ 105.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
KTB มูลค่าการซื้อขาย 631.44 ล้านบาท ปิดที่ 17.00 บาท ลดลง 0.10 บาท