ข่าว ข่าววันนี้ ตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาล พรีเมียร์ลีก ตรวจหวย ข่าวบันเทิง ฟังเพลงออนไลน์ วิเคราะห์บอล ทีวีออนไลน์

อ่านข่าวย้อนหลัง

เมนูข่าว

การเงิน และการลงทุนทั้งหมด

แสดง 5101 - 5,125 จาก 32,893 ข่าว

สเตรทส์ไทม์ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดบวก 9.55 จุด

            ดัชนีสเตรทส์ไทม์ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดขยับขึ้นเล็กน้อย  9.55 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 3,092.68 จุด ปริมาณการซื้อขายรวมอยู่ที่ 2.37 พันล้านหุ้น มูลค่า 1.71 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

7 0

เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 30.68/72 ดอลลาร์

         นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 30.68/72 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากเปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 30.69/71 บาท/ดอลลาร์ แต่ระหว่างวันปรับตัวเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยหลังเปิดตลาดเงินบาทก็ปรับตัวอ่อนค่าตามเงินเยนที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) เข้าแทรกแซง ก่อนจะกลับมาปรับตัวแข็งค่าในช่วงบ่ายตามเงินเยนและเงินยูโร         ปัจจัยที่ตลาดจับตาดูเป็นการประกาศตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐ แต่เชื่อว่าหากไม่แตกต่างจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็คงมีผลต่อตลาดตามภาวะปกติไม่มากนัก ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงถึง 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์           สำหรับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักต่างประเทศ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 84.20 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับ 84.55 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3400 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวแข็งค่าจากระดับ 1.3331 ดอลลาร์/ยูโร           ส่วนสัปดาห์หน้าเงินบาทคาดว่า จะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 30.55-30.85 บาท/ดอลลาร์

6472 0

ดัชนีหุ้นไทยปิดเพิ่มขึ้น4.80จุด ซุ่มเก็บสื่อสาร

         บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันนี้ (24 ก.ย.) ดัชนีปรับตัวในแดนบวกต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้า ขณะที่นักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาเก็งกำไรหุ้นกลุ่มสื่อสารอีกครั้ง หลังราคาทรุดตัว จากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งตามศาลปกครองกลาง ให้ชะลอการประมูลใบอนุญาต 3G ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำสุดที่ 946.35 จุด และสูงสุดที่ 953.25 จุด ก่อนปิดตลาดที่ 951.90 จุด บวก 4.80 จุด หรือ 0.51% มูลค่าการซื้อขาย 28,033.19   ล้านบาท  หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย           TRUE ปิดที่ 4.46 บาท บวก 0.36 บาท           SCB ปิดที่ 99.00 บาท ลดลง 0.25 บาท              BANPU ปิดที่ 702.00 บาท บวก 6.00 บาท              PTT ปิดที่ 290.00 บาท ลดลง 1.00 บาท              KTB ปิดที่ 15.80 บาท บวก 0.10 บาท

6 0

ดัชนีหั่งเส็ง ปิดตลาด บวก 71.72 จุด

           ดัชนีหั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดซื้อขายวันศุกร์ (24 ก.ย. 53) อยู่ที่ระดับ 22,119.43 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 71.72 จุด เปลี่ยนแปลง 0.33% มูลค่าการซื้อขาย 70.04 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (หรือ 9.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

10 0

กองทุนฟื้นฟูฯ เตรียมขอคำแนะนำอัยการสูงสุดอุทธรณ์ที่ดินรัชดาฯ

           นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะดำเนินการคัดค้านคำสั่งศาลแพ่ง กรณีมีคำสั่งให้จ่ายเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 คืนให้คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร กรณีที่ดินรัชดาฯ หรือไม่ โดยจะทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด เพื่อขอคำแนะนำว่าควรยื่นอุทธรณ์หรือไม่ จากนั้นจึงจะนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งหากบอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ มีมติออกมาอย่างไร ก็พร้อมดำเนินการ            อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า แม้ที่สุดมีมติให้คืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย รวมประมาณ 57 ล้านบาท ก็ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง และไม่หนักใจในการทำหน้าที่

17 0

เอสเอ็มอีแบงก์ตรึงดอกเบี้ยถึงสิ้นปีอุ้มส่งออก

           นายโสฬส  สาครวิศว  กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์)  กล่าวว่า เอสเอ็มอีแบงก์จัดอบรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  เพื่อให้รู้จักจัดทำบัญชีต้นทุน รายรับรายจ่าย  เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีธุรกิจหลายรายไม่มีการจัดทำบัญชี  มีเพียงการลงสมุดการใช้จ่ายเท่านั้น  จึงต้องการอบรมให้ความรู้  เพราะการจัดทำบัญชีจะทำให้ธนาคารพิจารณาปล่อยสินเชื่อสะดวกขึ้น  และยังสามารถควบคุมต้นทุนของผู้ประกอบการด้วยตัวเองได้               สำหรับการปล่อยสินเชื่อให้รายย่อยราชประสงค์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมวงเงินรวมทั้งหมด  10,000  ล้านบาท คาดว่าเดือนตุลาคมนี้จะทยอยเบิกจ่ายได้ครบจำนวน  เพราะขณะนี้มีผู้ประกอบการยื่นขอสินเชื่อ  10,400  ราย               ส่วนกรณีแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องนั้น   เพื่อเป็นการลดผลกระทบให้กับเอสเอ็มอีและผู้ส่งออกรายย่อย  เพราะถ้าหากกำหนดราคาซื้อขายไว้ที่ 33 บาท แต่เงินบาทแข็งค่าที่ประมาณ  30.75 บาท จะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นถึงร้อยละ 7 ดังนั้น  เอสเอ็มอีแบงก์ขอตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการจนถึงสิ้นปีนี้  โดยปัจจุบันดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์อยู่ที่ร้อยละ 7 โดยปีแรกคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 จึงเห็นว่าขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้ประกอบการมากนัก อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการ              สำหรับการปล่อยสินเชื่อ  7  เดือนแรกปีนี้ มียอดสินเชื่อใหม่  20,000  ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน นับว่าเกินเป้าหมายปล่อยสินเชื่อทั้งปีที่ตั้งไว้  12,000 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ  20  เพราะการขอสินเชื่อของธุรกิจย่านราชประสงค์และผู้ประกอบการท่องเที่ยวรวมถึงช่วงมีปัญหาเศรษฐกิจ  ธนาคารพาณิชย์ชะลอการปล่อยสินเชื่อทำให้ผู้ประกอบการหันมาขอสินเชื่อเอสเอ็มอีแบงก์ โดยขณะนี้ยอดสินเชื่อยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

18 0

ตลาดหุ้นไตรมาส4มีหุ้นใหม่เข้าเทรด6-8 บริษัท

          นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.).และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai)กล่าวว่า ภายในไตรมาส 4/53 จะมีหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั้งใน ตลาดหลักทรัพย์ (SET) และ mai จำนวนประมาณ 6-8 บริษัท รวมทั้งจะมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มอีก 3 กอง ทั้งหมดมีมูลค่า 8-9 พันล้านบาท           ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมูลค่าหุ้น IPO มี 8-9 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้ารวมแล้วทั้งปีจะอยู่ที 9 หมื่นล้านเศษ ก็อาจไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ 1 แสนล้าน แต่ก็มองว่ายังถืออยู่ในรอบสูงมากในรอบ 3-4 ปีนี้           สำหรับภาวะการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ในช่วงนี้ นายชนิตร กล่าวว่า สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อขายเพิ่มขึ้น 60-70% โดยจะเน้นเล่นหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่มองว่าช่วงนี้หุ้น big cap กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง ทั้งกลุ่มแบงก์ พลังงาน และ อสังหาริมทรัพย์  

7 0

อสมท จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.80 บาท

          บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) แจ้งมติคณะกรรมการวันที่ 23 กันยายน 2553จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 01 ม.ค. 2553 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2553มีรายละเอียดดังนี้           เรื่อง  : จ่ายปันผลเป็นเงินสดวันที่คณะกรรมการมีมติ  : 23 ก.ย. 2553ชนิดการปันผล  : จ่ายปันผลเป็นเงินสดวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อสิทธิรับปันผล  : 11 ต.ค. 2553วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD)  : 06 ต.ค. 2553อัตราการจ่ายเงินปันผล อัตราการจ่ายเงินปันผลหุ้นสามัญ (บาท/หุ้น)  : 0.80ราคาพาร์ (บาท)  : 5.00วันที่จ่ายปันผล  : 20 ต.ค. 2553งวดดำเนินงาน  :  วันที่ 01 ม.ค. 2553 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2553

32 0

ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปิดลดลง 73.41 จุด

        ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(23ก.ย.) ปิดลบค่อนข้างแรง หลังกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าจำนวนผู้เข้ารับสิทธิประโยชน์คนว่างงานสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 กันยายน เพิ่มขึ้นเป็น 465,000 คน        โดยดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ลดลง 73.41 จุด (0.68 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 10,665.90 จุด แนสแดก ลดลง 7.47 จุด (0.32 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,327.08 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 9.45 จุด (0.83 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,124.83 จุด

9 0

นายกรัฐมนตรีส่งสัญญานคุมซื้อบาทปริมาณมากเก็งค่าเงิน

              นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 65 การประชุม ASEAN-US Summit และพบปะกับนักลงทุนสหรัฐฯ ถึงปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าว่า การดูแลสถานการณ์ค่าเงินบาทในขณะนี้จะเน้นป้องกันไม่ให้มีการเก็งกำไร หรือการเข้าซื้อเงินบาทในปริมาณมาก ๆ ในแต่ละครั้ง               ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีมาตรการผ่อนคลายเงินทุนไหลออก และผ่อนคลายการถือครองเงินตราต่างประเทศ เพื่อลดแรงกดดันค่าเงินบาท พร้อมกันนี้ ก็ได้มอบหมายให้ทางกระทรวงการคลังดูแลเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินบาทแข็งค่าด้วย  

27 0

ดัชนีนิกเกอิหุ้นโตเกียวปิดตลาดภาคเช้าบวก3.01จุด

            ดัชนีนิกเกอิ 225 ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดทำการซื้อขายภาคเช้าวันพุธ (22 ก.ย.2553) ที่ระดับ 9,605.12 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.01 จุด เปลี่ยนแปลง 0.03%

20 0

ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น7.41 จุด

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แสดงความพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่คณะกรรมการเฟดไม่ได้ประกาศใช้มาตรการใดๆที่ชัดเจนในการประชุมเมื่อวานนี้ แม้อัตราการฟื้นตัวของผลผลิตและการจ้างงานชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็ตาม           ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์  ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.)ขยับขึ้น 7.41 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 10,761.03 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับลง 2.93 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 1,139.78 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 6.48 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 2,349.35 จุด ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กและ Nasdaq  8.03 พันล้านหุ้น           โดยตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากการที่คณะกรรมการเฟดได้แสดงความพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่ระดับเป้าหมายของเฟด นอกจากนี้ คณะกรรมการเฟดยังมีมติด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0-0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอีกทางหนึ่ง           นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนส.ค.ของสหรัฐพุ่งขึ้น 10.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 4 เดือน สู่ระดับ 598,000 ยูนิต และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 550,000 ยูนิต หลังจากขยายตัวเพียง 0.4% ในเดือนก.ค. ส่วนตัวเลขการอนุญาตก่อสร้างบ้านใหม่เดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ 569,000 ยูนิต หลังจากร่วงลง 4.1% ในเดือนก.ค.  

24 0
แรง! กรณ์ ชี้หลายฉากในวนิดา ผิดพ.ร.บ.ทวงหนี้

แรง! กรณ์ ชี้หลายฉากในวนิดา ผิดพ.ร.บ.ทวงหนี้

กระแสละครเรื่องวนิดามาแรง เมื่อ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขียนใน Facebook ของตนเองว่า บางฉากของละครมีการทำผิดพ.ร.บ.ทวงหนี้

3438 24

เงินบาทปิดตลาด 30.73/75/ดอลลาร์

           นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 30.73/75 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากเปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 30.75/79 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทกลับมาปรับตัวแข็งค่าในช่วงท้ายตลาดหลังจากปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่องจากเปิดตลาดช่วงเช้า เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อตลาด           โดยนักลงทุนจับตาดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คืนนี้ถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยที่ตลาดคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม แต่สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมากกว่า คือ เฟดจะมีมาตรการใดๆ ออกมาหรือไม่ เช่น มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(Quantitative Easing) หรือ QE ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงินผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ(MBS) ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง หากเป็นเช่นนั้นจะทำให้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าต่อได้อีก            สำหรับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักต่างประเทศ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 85.49/53 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากระดับ 85.63/66 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ 1.3126/3128 ดอลลาร์/ยูโร ปรับลตัวแข็งค่าจากระดับ 1.3092/3096 ดอลลาร์/ยูโร            ทั้งนี้ นักบริหารเงิน คาดว่า วันพรุ่งนี้เงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวแคบๆ โดยมองกรอบไว้ที่ 30.70-30.80 บาท/ดอลลาร์

21 0

ดัชนีฮั่งเส็งฮ่องกงปิดบวก 25.25 จุด

             ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดในวันนี้ (21 ก.ย.)เพิ่มขึ้น 25.25 จุด หรือ 0.12% ปิดที่ 22,002.59 จุด หลังจากที่เคลื่อนไหวระหว่าง 21,950.69-22,118.58 จุด มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นแตะ 7.038 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง (9.07 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนในวันนี้ (21 ก.ย.) โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

17 0

โบรกฯ เตือนธปท.สั่งยาแรงสกัดบาทแข็ง

       นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด กล่าวถึงการส่งสัญญาณใช้มาตรการดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยระบุว่า หากมีการออกมาตรการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้น ธปท.ควรพิจารณาอย่างเหมาะสม ไม่ควรควบคุมเฉพาะตลาดตราสารหนี้ เพราะการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น มาจากเงินทุนไหลเข้ามาหลายช่องทาง ดังนั้น ต้องดูแลว่าเงินที่ไหลเข้ามาว่าจะผ่านช่องทางอื่นหรือไม่ การแบ่งแยกควบคุมบางตลาดจึงไม่ถูกต้อง        อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้ใช้มาตรการควบคุมเงินทุน แต่ควรทำให้การไหลเข้าของเงินทุนให้ฝืดลง เพราะแนวโน้มของเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง เพราะเงินทุนจากสหรัฐฯ และยุโรป ยังทะลักเข้าเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย เพื่อเข้าหาผลตอบแทนจากส่วนต่างดอกเบี้ย เนื่องจากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยสูงถึงร้อยละ 2.4 ขณะที่พันธบัตรสหรัฐฯ ให้ดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.5 จึงมีส่วนต่างถึงร้อยละ 2 ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุน        สำหรับ  การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น เป็นจังหวะที่ดีที่ผู้นำเข้าจะนำเข้าสินค้าทุน เครื่องจักร และวัตถุดิบ ในราคาที่ต่ำลง ซึ่งจะเป็นผลบวกทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าลดลงไปด้วย และจะช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นในปี 2554 ส่งผลให้นโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยผ่อนคลายลง ดังนั้น ธปท.ต้องหาความสมดุล ว่า จะใช้การขึ้นดอกเบี้ย หรือการให้เงินบาทแข็งค่า มาเป็นเครื่องมือดูแลเงินเฟ้อ

7916 0

ครม.เห็นชอบงบลงทุนรัฐวิสาหกิจปี54กว่า5.5แสนล้านบาท

              นายวัชระ กรรณิกา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบ กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2554 วงเงินดำเนินการ จำนวน 554,994 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 322,612 ล้านบาท ประกอบด้วย การลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน 517,235 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 289,007 ล้านบาท                การลงทุนที่ต้องรอขออนุมัติตามขั้นตอน (โครงการลงทุนที่รออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปี) วงเงินดำเนินการ จำนวน 37,759 ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน 33,604 ล้านบาท  โดยมอบให้ สศช. เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีดังกล่าว           สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 เห็นควรให้ดำเนินการได้ เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว  ทั้งนี้ ให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนตามเป้าหมายร้อยละ 90 ของวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวง และระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนในปีงบประมาณ 2554 ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ 5 ของเดือนอย่างเคร่งครัด  และให้รายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะข้างต้นและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส  ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง และเห็นชอบในหลักการให้ สศช. ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2554 ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และการอนุมัติโครงการของคณะรัฐมนตรี                นอกจากนี้ ครม.รับทราบงบประมาณทำการประจำปีงบประมาณ 2554 ในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ ประมาณ 72,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ร้อยละ 5  โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ 223,391 ล้านบาท  และรับทราบแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี 2555 — 2557 ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม 274,782 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 91,594 ล้านบาท  และการเบิกจ่ายลงทุนรวม 928,209 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ 309,403 ล้านบาท                ส่วน แนวโน้มการดำเนินงานปี 2555 — 2557  ครม.รับทราบแนวโน้มการดำเนินงานในช่วง 3 ปีข้างหน้าของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม จำนวน 274,782 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 91,594 ล้านบาท โดยเป็นการประมาณบนสมมติฐานผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2553 และปีงบประมาณ 2554 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจและภาวะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง              โดยการลงทุนคาดว่าจะเบิกจ่ายลงทุนรวม จำนวน 928,209 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 309,403 ล้านบาท เป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและการให้บริการ ลดต้นทุนโลจิสติกส์และการใช้พลังงานของประเทศ  กระจายบริการขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กร  รวมทั้งขยายงานตามภาวะเศรษฐกิจและทิศทางการพัฒนาประเทศ

20 0

ดัชนีหุ้นไทยเช้าปิดบวก6.11จุด

         บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (21 ก.ย.) ภาคเช้าปิดบวก 6.11 จุด ที่ 929.17 จุด โดยตลาดปรับตัวในแดนบวกตลอดชั่วโมงการซื้อขาย โดยมีแรงซื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่หนุน ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำสุดที่ 925.76 จุด และสูงสุดที่ 930.78 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,217.45 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากผู้ว่าการธปท.ออกมาระบุว่าจะไม่มีมาตรการควบคุมเงินไหลเข้า ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดสามารถยืนในแดนบวกได้ ในช่วงบ่ายคาดดัชนีคงแกว่งตัว พร้อมให้แนวรับ 920 จุด และแนวต้านที่ 930 จุด แนะระยะสั้นชะลอลงทุน หรือเลือกเป็นรายตัว          หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย                 BANPU ปิดที่ 666.00 บาท บวก 18.00 บาท                CPF ปิดที่ 25.50 บาท บวก 0.50 บาท                 SCC ปิดที่ 320.00 บาท บวก 7.00 บาท                 PTT ปิดที่ 283.00 บาท ลดลง 1.00 บาท                 TMB ปิดที่ 2.58 บาท ลดลง 0.04 บาท

23 0

บลจ.กรุงไทย ออกกองทุนเปิดตราสารหนี้รัสเซีย อายุ 2 ปี 7 เดือน

          นายสมชัย  บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย รัสเซีย ฟิกซ์อินคัม 1  KTRF1)ระหว่างวันที่ 22-28 ก.ย.53 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุ 2 ปี 7 เดือน จ่ายผลตอบแทนคืนอัตโนมัติทุก 3 เดือน  มูลค่าเงินลงทุนขึ้นต่ำ 10,000 บาท            กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก ตรารสารทางการเงินที่รัฐบาล องค์การ หน่วยงานของรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชนของประเทศรัสเซีย เป็นผู้ออก หรือผู้ค้ำประกัน โดยกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมุลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ทั่วไป ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด           จุดเด่นของกองทุนนี้ คือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศรัสเซีย ที่มีฐานะการคลัง และการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ผู้กู้เป็นสถาบันการเงินหรือกิจการ ซึ่งภาครัฐของประเทศรัสเซียเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่(Government related firms) โดยกองทุนจะลงทุนผ่านตราสารประเภท Loan Participation Note สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมของกิจการในรัสเซียเพื่อใช้ระดมเงินทุนจากต่างประเทศ และตราสารที่ลงทุนได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับผู้กู้เหล่านี้ และระดับเดียวกับประเทศรัสเซียที่ BBB โดย S&P             ตราสารที่กองทุนจะลงทุนในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประกอบไปด้วย 1)SBERRU   โดยมี SB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ SBERBANK เป็นผู้กู้ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์เก่าแก่แห่งแรกในรัสเซีย และเป็นสถาบันการเงินใหญ่อันดับหนึ่งของรัสเซีย  โดยธนาคารกลางแห่งรัสเซียถือหุ้น 60.30 %        2)ลงทุนใน GAZPRU โดยมี Gaz Capital  SA เป็นผู้ออกตราสาร และ GAZPROM เป็นผู้กู้ ซึ่งก่อตั้งในปี 1993 ภายใต้กฎหมายพิเศษแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อโอนธุรกิจพลังงานให้ดำเนินการในรูปแบบเอกชน ปัจจุบันภาครัฐยังคงถือหุ้น 50.002% เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจรโลก ครอบครองทรัพยากรก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 17% ของแหล่งสำรองในโลกนี้  และคิดเป็น 70% ของแหล่งสำรองในประเทศรัสเซีย             3)ลงทุนใน  RSHB โดยมี RSHB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ Aussian Agricultural Bank เป็นผู้กู้  ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเชิงนโยบาย( Policy  Bank )  ถือหุ้น 100 % โดยธนาคารกลางรัสเซีย  เป็นธนาคารที่ให้การสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการอำนวยสินเชื่อแก่ภาคเกษตรกรรมของประเทศรัสเซีย และเป็นสถาบันการเงินที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ                 4)ลงทุนใน BKMOSC โดยมี KUZNETSI Capital เป็นผู้ออกตราสารและ Bank of Moscow เป็นผู้กู้ ซึ่งในปัจจุบัน City of Moscow ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม 62.2% ได้รับการสนับสนุนจาก City of Moscow ทั้งในด้านการเงิน และการรักษาสถานะการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศ             และ  5)ลงทุนใน VTB  โดยมี VTB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ VTB  Bank เป็นผู้กู้ ซึ่งก่อตั้งโดยภาครัฐ เพื่อให้การสนับสนุนกิจการสัญชาติรัสเซียในการให้บริการธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ ปัจจุบันภาครัฐถือหุ้น 85.5% ถือเป็นธนาคารรัฐวิสาหกิจ และเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ครบวงจร ส่งผลให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 3.50%ต่อปี และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน การลงทุนในกองทุนนี้นับว่า เป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า การฝากเงินหรือลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศไทย           โดยจุดแข็งของประเทศรัสเซียคือเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรสูง และยังมีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกมาก จากที่รัสเซียมีทรัพยากรธรรมชาติมาก ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ดี นอกจากนั้น รัสเซียยังมีความเข้มแข็งทางการคลัง และการเงินระหว่างประเทศสูงอีกด้วย หนี้สาธารณะของรัสเซียอยู่ในระดับต่ำเพียง 8%ของ GDP เท่านั้น ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลกและยังมี Sovereign wealth fund ที่มีขนาดใหญ่เป็นแหล่งทุนสำรองที่สามารถนำมาใช้ได้ในยามจำเป็น ทำให้ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของรัสเซียต่ำ   

27 0

6.บลจ.กรุงไทย ออกกองทุนเปิดตราสารหนี้รัสเซีย อายุ 2 ปี 7 เดือน

          นายสมชัย  บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย รัสเซีย ฟิกซ์อินคัม 1  KTRF1)ระหว่างวันที่ 22-28 ก.ย.53 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อายุ 2 ปี 7 เดือน จ่ายผลตอบแทนคืนอัตโนมัติทุก 3 เดือน  มูลค่าเงินลงทุนขึ้นต่ำ 10,000 บาท            กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก ตรารสารทางการเงินที่รัฐบาล องค์การ หน่วยงานของรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชนของประเทศรัสเซีย เป็นผู้ออก หรือผู้ค้ำประกัน โดยกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมุลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลืออาจพิจารณาลงทุนในเงินฝาก ตราสารแห่งหนี้ทั่วไป ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด           จุดเด่นของกองทุนนี้ คือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศรัสเซีย ที่มีฐานะการคลัง และการเงินระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ผู้กู้เป็นสถาบันการเงินหรือกิจการ ซึ่งภาครัฐของประเทศรัสเซียเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่(Government related firms) โดยกองทุนจะลงทุนผ่านตราสารประเภท Loan Participation Note สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ได้รับความนิยมของกิจการในรัสเซียเพื่อใช้ระดมเงินทุนจากต่างประเทศ และตราสารที่ลงทุนได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกับผู้กู้เหล่านี้ และระดับเดียวกับประเทศรัสเซียที่ BBB โดย S&P             ตราสารที่กองทุนจะลงทุนในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประกอบไปด้วย 1)SBERRU   โดยมี SB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ SBERBANK เป็นผู้กู้ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์เก่าแก่แห่งแรกในรัสเซีย และเป็นสถาบันการเงินใหญ่อันดับหนึ่งของรัสเซีย  โดยธนาคารกลางแห่งรัสเซียถือหุ้น 60.30 %        2)ลงทุนใน GAZPRU โดยมี Gaz Capital  SA เป็นผู้ออกตราสาร และ GAZPROM เป็นผู้กู้ ซึ่งก่อตั้งในปี 1993 ภายใต้กฎหมายพิเศษแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย เพื่อโอนธุรกิจพลังงานให้ดำเนินการในรูปแบบเอกชน ปัจจุบันภาครัฐยังคงถือหุ้น 50.002% เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจรโลก ครอบครองทรัพยากรก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 17% ของแหล่งสำรองในโลกนี้  และคิดเป็น 70% ของแหล่งสำรองในประเทศรัสเซีย             3)ลงทุนใน  RSHB โดยมี RSHB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ Aussian Agricultural Bank เป็นผู้กู้  ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเชิงนโยบาย( Policy  Bank )  ถือหุ้น 100 % โดยธนาคารกลางรัสเซีย  เป็นธนาคารที่ให้การสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการอำนวยสินเชื่อแก่ภาคเกษตรกรรมของประเทศรัสเซีย และเป็นสถาบันการเงินที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ                 4)ลงทุนใน BKMOSC โดยมี KUZNETSI Capital เป็นผู้ออกตราสารและ Bank of Moscow เป็นผู้กู้ ซึ่งในปัจจุบัน City of Moscow ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม 62.2% ได้รับการสนับสนุนจาก City of Moscow ทั้งในด้านการเงิน และการรักษาสถานะการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศ             และ  5)ลงทุนใน VTB  โดยมี VTB Capital SA เป็นผู้ออกตราสาร และ VTB  Bank เป็นผู้กู้ ซึ่งก่อตั้งโดยภาครัฐ เพื่อให้การสนับสนุนกิจการสัญชาติรัสเซียในการให้บริการธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ ปัจจุบันภาครัฐถือหุ้น 85.5% ถือเป็นธนาคารรัฐวิสาหกิจ และเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ครบวงจร ส่งผลให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 3.50%ต่อปี และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน การลงทุนในกองทุนนี้นับว่า เป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า การฝากเงินหรือลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศไทย           โดยจุดแข็งของประเทศรัสเซียคือเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนประชากรสูง และยังมีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกมาก จากที่รัสเซียมีทรัพยากรธรรมชาติมาก ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ดี นอกจากนั้น รัสเซียยังมีความเข้มแข็งทางการคลัง และการเงินระหว่างประเทศสูงอีกด้วย หนี้สาธารณะของรัสเซียอยู่ในระดับต่ำเพียง 8%ของ GDP เท่านั้น ขณะที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลกและยังมี Sovereign wealth fund ที่มีขนาดใหญ่เป็นแหล่งทุนสำรองที่สามารถนำมาใช้ได้ในยามจำเป็น ทำให้ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของรัสเซียต่ำ   

48 0

ดัชนีนิกเกอิ ปิดตลาดภาคเช้าที่ 9,664.52 บวก 38.43 จุด

            ดัชนีนิกเกอิ 225 ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดทำการซื้อขายภาคเช้าวันอังคาร (21 ก.ย.2553) ที่ระดับ 9,664.52 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 38.43 จุด เปลี่ยนแปลง 0.40%

19 0
อ่านข่าวถัดไป
Sanook.commenu