แสดง 5151 - 5,175 จาก 32,893 ข่าว
ธนาคารกลางอินเดีย (Reserve Bank of India)ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในวันนี้(16ก.ย.)อีก 0.25 เปอร์เซ็นต์ จากระดับ 5.75 เปอร์เซ็นต์ เป็น 6 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมระหว่างธนาคาร ปรับเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ จาก 4.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 5 ในรอบปี เนื่องจาก อินเดียเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อเป็นเลขสองหลัก แม้ว่าจะลดลงมาที่ระดับ 8.5 เปอร์เซ็นต์แล้วในเดือนส.ค. จากที่เคยขึ้นไปถึงระดับ 9.8 เปอร์เซ็นต์
นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.กำลังติดตามการเก็งกำไรค่าเงินบาทในตลาดพันธบัตรและตลาดตราสารหนี้อย่างใกล้ชิด หลังจากมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่ ธปท.ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายการดูแลค่าเงินบาทแต่อย่างใด ขณะนี้ก็ยังคงติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดตามปกติเท่านั้น สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท มาจากหลายปัจจัย ทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจและเงินทุนไหลเข้า ซึ่งไม่สามารถแยกแยะได้ ซึ่งค่าเงินบาทที่แข็งค่าเร็วก็เป็นไปตามกลไกตลาด และไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางใดในระยะต่อไป แต่เงินบาทก็สามารถอ่อนค่าลงได้ตามกลไกตลาด และปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ ส่วน การนำประเด็นค่าเงินบาทเข้าไปพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ครั้งต่อไปจะต้องมีการประเมินปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง ตามที่กรมสรรพสามิตได้ขอความเห็นชอบในการยกเว้นภาษีสรรพสามิต โดยยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตแบตเตอรี่ ที่ใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบผลิตสิ่งของอื่นเพื่อการส่งออกนอกราชอาณาจักร เพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าอื่นๆ รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ของเด็กเล่น และเครื่องมือแพทย์ ให้สามารถยกเว้นภาษีสรรพสามิตแบตเตอรี่ที่แฝงอยู่ได้ ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศได้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้กฎหมายส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ที่นำเข้าแบตเตอรี่สำหรับใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก จากเดิมที่ได้สิทธิเพียงการยกเว้นอากรของกรมศุลกากรเท่านั้น โดยไม่ได้รับสิทธิขอยกเว้นภาษีในส่วนของภาษีสรรพสามิต แต่จากมาตรการนี้จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถขอยกเว้นภาษีสรรพสามิตได้ ส่งผลให้สินค้าที่ส่งออกมีราคาต้นทุนต่ำลง แม้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 333 ล้านบาทก็ตาม ในรอบ 11 เดือน ของปีงบประมาณ 2553 (ตุลาคม 2552-สิงหาคม 2553) กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีจากแบตเตอรี่ได้รวม 1,223.22 ล้านบาท แยกเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ จำนวน 987.57 ล้านบาท แบตเตอรี่ที่ใช้ในรถจักรยานยนต์ จำนวน 84.39 ล้านบาท แบตเตอรี่ที่ใช้ในถ่านไฟฉาย จำนวน 143.92 ล้านบาท แบตเตอรี่ที่ใช้ในโทรศัพท์ จำนวน 2.79 ล้านบาท และแบตเตอรี่ประเภทอื่นๆ จำนวน 4.56 ล้านบาท
นายอาคิโอะ มิทสึโอกะ ประธาน บริษัท มิทสึโอกะ มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์คลาสสิคหรูและซูเปอร์คาร์อันดับ 10 ของประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า บริษัท ได้ร่วมลงทุนกับบริษัท ยนตรกิจ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อประกอบรถยนต์มิตสึโอกะในประเทศไทย หลังจากที่มีการแต่งตั้งบริษัท ยนตรกิจฯ เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มิทสึโอกะแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เมื่อเดือนมีนาคม 2551 ที่ผ่านมา สำหรับ การร่วมทุนครั้งนี้ได้มีการตั้งบริษัทใหม่ในนาม บริษัท มิทสึโอกะ มอเตอร์(ประเทศไทย) จำกัด โดยมิทสึโอกะถือหุ้น 45% และยนตรกิจคอร์ปอเรชั่น 40% ส่วนที่เหลือ 15% โดยมีเงินทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และลงทุนในส่วนของไลน์การผลิตประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพื่อทำการผลิตรถมิทสึโอกะรถยนต์ทำมือ (Hand Made) รองรับตลาดในประเทศและต่างประเทศ แต่หลักจะเน้นผลิตเพื่อส่งออกเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของการผลิตทั้งหมด ทั้งนี้บริษัทร่วมทุนใหม่นี้ จะเป็นผู้ดำเนินการประกอบรถยนต์ จัดหาชิ้นส่วน และจัดจำหน่ายรถยนต์มิทสึโอกะทั้งในประเทศและส่งออก โดยมีโรงงานของบริษัท ยนตรกิจอุตสาหกรรม จำกัด (YKI) ของบริษัทยนตรกิจฯ ตั้งอยู่ถนนร่มเกล้า เขตลาดกระบัง เป็นโรงงานประกอบรถยนต์มิทสึโอกะ ซึ่งจะเริ่มเปิดไลน์การประกอบอย่างเป็นทางการในปี 2554 และเบื้องต้นจะผลิตรถยนต์ 2 รุ่น ได้แก่ มิทสึโอกะ กาลู โฟว์ และมิทสึโอกะ ฮิมิโกะ ประมาณ 200 คัน และในปี 2555 จะเพิ่มเป็น 300 คัน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้เริ่มการเจรจากับพันธมิตรที่สนใจเข้าร่วมประมูลซื้อกิจการห้างคาร์ฟูร์แล้ว และยังเปิดกว้างรับข้อเสนอของผู้สนใจรายอื่นเพิ่มเติมอีก แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียด เพราะได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการเข้าซื้อกิจการไว้ อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาไม่บรรลุข้อตกลง ปตท.ก็มีความพร้อมที่จะเข้าประมูลด้วยตัวเอง ทั้งด้านการเงินและความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทเคยทำธุรกิจค้าปลีกและร้านกาแฟภายใต้แบรนด์ที่ ปตท.บริหารเองอยู่แล้ว แต่หากบริษัทชนะประมูลก็เชื่อมั่นว่า คาร์ฟูร์มีศักยภาพที่จะต่อยอดธุรกิจที่ปตท.มีอยู่ได้ โดยจะนำธุรกิจในเครือ ปตท.เช่น คาร์แคร์ และสถานีบริการน้ำมันไปอยู่ในพื้นที่ห้างคาร์ฟูร์ที่มีอยู่ 44 แห่งทั่วประเทศ พร้อมกับเลือกสาขาห้างที่มีพื้นที่กว้างพอ และเบื้องต้นก็จะมีการประสานธุรกิจค้าปลีกไว้ด้วยกัน แต่ยังไม่ได้มองถึงการสาขาห้างคาร์ฟูร์เพิ่มหรือการลงทุนในธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่
จากการรวบรวมสถิติ การขายชอร์ต (ยืมหุ้นล่วงหน้า) ระหว่างวันที่ 13 ก.ย. 2553 - 15 ก.ย.ที่ผ่านมา พบว่า เป็นช่วงที่นักลงทุนในตลาดมีความกังวลกับนโยบายการดูแลค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยหลังค่าบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว รวมถึงกรณีของการประมูล 3 จีและปัญหามาบตาพุด พบว่า ในช่วง 3 วันนี้นักลงทุนได้ยืมหุ้นไปขายล่วงหน้า รวมทั้งสิ้น 34 รายการมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 815.23 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ถูกยืมไปขายมากสุด ประกอบด้วย หุ้นปตท.เคมิคอล(PTTCH)ถูกยืมขาย 130 ล้านบาท ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)ถูกยืมขายมูลค่า 89 ล้านบาท รองลงมาคือ หุ้นธนาคารทหารไทย(TMB)ถูกยืมขาย83.79ล้านบาท หุ้นธนาคารกสิกรไทย(KBANK)ถูกยืมขาย 69.23 ล้านบาท หุ้นธนาคารกรุงเทพ(BBL)ถูกยืมขาย 66.04 ล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) 46.47 ล้านบาท หุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)ถูกขาย 52.10 ล้านบาท ขณะที่หุ้นทรูคอร์ปอเรชั่น(TRUE)ถูกยืมขาย 58.38 ล้านบาท
นายวศิน วัฒนวรกิจกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.บัวหลวง จับมือธนาคารกรุงเทพ อัดโปรโมชั่นในงาน Mutual Fund Fair@เดอะมอลล์บางแค ระหว่างวันที่ 16–19 กันยายนนี้ เพื่อส่งเสริมการลงทุนแก่ผู้สนใจเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน และผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุน เพื่อจุดประสงค์ในการลดหย่อนภาษี ดังนั้น ภายในงาน ท่านนักลงทุน จะได้พบกับทีมงานแนะนำการลงทุน เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุน พร้อมกันนี้ ยังได้จัดทำโปรแกรมส่งเสริมการขาย เพื่อขอบคุณแก่นักลงทุนที่ให้ความสนใจและเข้ามาลงทุนในงาน โปรแกรมส่งเสริมการขายในครั้งนี้ แบ่งตามประเภทของวัตถุประสงค์ของนักลงทุน ประกอบด้วย นักลงทุนที่สนใจในกองทุนเพื่อการลดหย่อนภาษี ได้แก่ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เมื่อลงทุนในงาน ตั้งแต่ 50,000 ถึง 99,999 บาท รับกระเป๋าเดินทาง เมื่อลงทุนตั้งแต่ 100,000 ถึง 299,999 บาท รับเตาแก๊สปิคนิค เมื่อลงทุนตั้งแต่ 300,000 ถึง 499,999 บาท รับหม้อสุกี้เอนกประสงค์ เมื่อลงทุนตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป รับพัดลมทาวเวอร์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจะได้รับโบนัสพิเศษเพิ่มเติม เมื่อลงทุนในกองทุน LTF/RMF ทุกๆ 50,000 บาท จะได้รับบัตรกำนัลเดอะมอลล์ มูลค่า 200 บาท พิเศษเฉพาะในงานนี้เท่านั้น สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศและ สามารถลงทุนระยะยาวได้ กองทุนเปิดบัวหลวงโกลด์ฟันด์ (BGOLD) และกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) เป็นทางเลือกหนึ่ง โดยถ้าลงทุนในงานนี้ นักลงทุนจะได้รับบัตรกำนัล เดอะมอลล์ มูลค่า 100 บาทสำหรับการลงทุนทุกๆ 50,000 บาท รับสูงสุดถึง 2,000 บาท โดย BCARE เป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Wellington’s Global Health Care Equity Class A ที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทั่วโลก โดยเน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมยาและเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรมเฉพาะทาง ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และบริการทางสุขภาพใน 3 ภูมิภาคทั่วโลก คือ ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป และทวีปเอเชีย ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีการฟื้นตัว จะส่งผลให้กำลังซื้อของประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก อย่างเช่น ประเทศจีน ประเทศอินเดีย หรือในกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ เช่น ประเทศบราซิล เพิ่มขึ้น การยกระดับคุณภาพชีวิตน่าจะเพิ่มขึ้นตาม การเลือกรับประทานอาหาร อาหารเสริม การรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ก็จะมีส่วนกระตุ้นให้ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ในที่สุดส่งผลต่อการปรับตัวที่ดีขึ้นของผลตอบแทนจากการลงทุนในกลุ่มเฮลธ์แคร์ ส่วน BGOLD เป็นกองทุนทองคำที่ลงทุนใน SPDR Gold Trust (ETF) ที่จดทะเบียนซื้อขายที่ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสิงคโปร์ จากกระแสความนิยมการลงทุนในทองคำที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งในภาคการเงิน และประชาชนทั่วไป ทำให้กองทุน BGOLD ได้รับความนิยม และถือเป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุน และสร้างผลตอบแทนในระยะยาวแทนการลงทุนในทองคำโดยตรง นักลงทุนควรสะสมไว้ในพอร์ตการลงทุน ทั้งนี้ เพราะทองคำถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาระดับความมั่งคั่ง (Wealth Preservation) อีกทั้งในภาวะเงินเฟ้อราคาทองคำมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดว่าความต้องการลงทุนในทองคำยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนา "ส่งออกอย่างไร ในสภาวะที่เงินบาทแข็งค่า" ว่า กระทรวงพาณิชย์มีความเป็นห่วงสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าที่จะมีผลกระทบมาถึงการส่งออกอย่างเห็นใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งมีหลายฝ่ายมองว่าการส่งออกยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะตัวเลขส่งออกยังอยู่ในระดับที่ดี แต่ข้อเท็จจริงคือ ตัวเลขส่งออกดังกล่าวเป็นผลย้อนหลังในช่วง 3-4 เดือนก่อน อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังคงยืนยันเป้าหมายส่งออกขยายตัว 20% โดยเชื่อว่าช่วงปลายปีการส่งออกได้ 1.4-1.5 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สำหรับวันนี้ภาครัฐ เอกชน รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย จะระดมความคิดเห็นเพื่อหาทางแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากภาคส่งออกยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่ายังเชื่อมโยงในภาคส่วนอื่นๆ ในเบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอหน่วยงานเกี่ยวข้องหาแนวทางช่วยเหลือ ได้แก่ การผ่อนคลายกฎระเบียบการถือครองดอลลาร์ และให้ผู้ส่งออกรายย่อยรวมตัวกันซื้อประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจาก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (Exim Bank) เพื่อให้เข้าถึงการประกันความเสี่ยงได้มากขึ้น ด้านนายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในเดือนสิงหาคมค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 1.8% แต่เมื่อวัดจากต้นปี เงินบาทแข็งค่าขึ้น 3.3% และหากเทียบกับตั้งแต่ปี 51 เงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 8% ซึ่งผู้ประกอบการมีความเป็นห่วง เพราะมองว่าจะเป็นเงินร้อนที่ไหลเข้ามาเก็งกำไร จึงอยากให้ทุกฝ่ายเข้ามาดูแลใกล้ชิด เพราะไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมนำประเด็นผลกระทบค่าเงินบาทเข้าไปหารือในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ซึ่งมีกำหนดมีขึ้นในวันที่ 20 ต.ค.นี้ แม้ว่า ขณะนี้ ผลกระทบค่าเงินบาทต่อภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่พบว่าเป็นปัญหา อย่างไรก็ตาม กนง.คงไม่ได้นำประเด็นค่าเงินบาทมาประเมินด้านเดียว เพราะมีหลายอย่างประกอบ โดยดูผลด้านอื่นทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ประกอบด้วย รวมทั้งจะมีการทบทวนตัวเลขอัตราการเติบโตด้านเศรษฐกิจ( GDP) ด้วย ซึ่งขณะนี้ คงไว้ที่ 6.5-7.5% แต่จะมีการทบทวนดูปัจจัยบวก เช่น การบริโภคที่ตอนนี้ดีขึ้น
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนสิงหาคม 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 65,724 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2553 ร้อยละ 0.08 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว ร้อยละ 52 ถือว่ายังคงมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของประเทศที่มีทิศทางดีขึ้นด้วยโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล สินค้าภาคการเกษตรมีราคาดี ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น การส่งออกเติบโต นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางมาเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กรุ่นใหม่ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และรถกระบะมียอดขายเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 162,516 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2552 ร้อยละ 33.93 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2553 ร้อยละ 3.83 สำหรับยอดขาย 8 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - สิงหาคม มียอดขาย 488,088 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ในระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 53.6 ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 1,252,256 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2552 ร้อยละ 24.14 ขณะที่การผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือนสิงหาคม 2553 มีทั้งสิ้น 141,043 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2552 ร้อยละ 67.57 แต่ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2553 ร้อยละ 3.24 โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออก 82,074 คัน เท่ากับร้อยละ 58.19 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2552 ร้อยละ 71.47 เนื่องจากตลาดส่งออกดีขึ้นในทุกตลาด ด้านการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือนสิงหาคม 2553 ผลิตได้ 58,969 คัน เท่ากับร้อยละ 41.81 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2552 ร้อยละ 62.43 เนื่องจากยอดขายภายในประเทศที่สูงขึ้น สำหรับจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - สิงหาคม 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,055,808 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2552 ร้อยละ 92.58 เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 592,815 คัน เท่ากับร้อยละ 56.15 ของยอดการผลิตทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ระยะเวลาเดียวกัน ร้อยละ 90.23 ขณะที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศได้ 462,993 คัน เท่ากับร้อยละ 43.85 ของยอดการผลิตทั้งหมด และเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม - สิงหาคม 2552 ร้อยละ 95.68 นายสุรพงษ์ คาดการณ์ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2553 คาดว่า จะ มีจำนวน 426,354 คัน เปรียบเทียบกับยอดผลิตจริงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2553 ซึ่งมีจำนวน 435,692 คัน ลดลง 9,338 คัน หรือร้อยละ 2.14 และเมื่อเปรียบเทียบกับยอดผลิตจริงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2552 ซึ่งมีจำนวน 339,418 คันแล้ว เพิ่มขึ้น 86,936 คัน หรือร้อยละ 25.61 ส่วนประมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2553 มีจำนวน 481,146 คัน เปรียบเทียบกับยอดผลิตจริงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2553 ซึ่งมีจำนวน 552,922 คัน ลดลง 71,776 คัน หรือร้อยละ 12.98 และเมื่อเปรียบเทียบกับยอดผลิตจริงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน 2552 ซึ่งมีจำนวน 475,273 คันแล้ว เพิ่มขึ้น 5,873 คัน หรือร้อยละ 1.24
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวถึงแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันในขณะนี้ ว่า ยังคงอยู่ในระดับทรงตัวเพราะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น พร้อมแนะจับตาสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในช่วง 1-2 วันนี้ก่อนว่าจะมีการปรับขึ้นหรือไม่ หากมีการปรับขึ้นก็อาจจะมีการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศ โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินเพราะค่าการตลาดน้ำมันเบนซินอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.30 บาทต่อลิตรเท่านั้น ขณะที่ รายงานข่าวจากกรมธุรกิจพลังงาน แจ้งยอดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเดือน สิงหาคม 2553 ยอดการใช้น้ำมันเบนซินภาพรวมอยู่ที่ 20.041 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงจากเดือนก่อน 2.4% ที่มียอดการใช้อยู่ที่ 20.537 ล้านลิตรต่อวัน
นายบุญชัย ศศิวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการภาครัฐ บมจ.ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารได้ทำหน้าที่บริหารจัดการเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มาตั้งแต่ปี 2539 โดยให้บริการชำระหนี้เงินกู้ กยศ.ผ่านเคาน์เตอร์สาขา และหักบัญชีออมทรัพย์อัตโนมัติ ซึ่งในแต่ละปีมียอดผู้ใช้บริการมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการชำระหนี้คืน ธนาคารจึงได้เพิ่มช่องทางในการสอบถามยอดหนี้และชำระหนี้เงินกู้ กยศ. ผ่านทางเครื่อง ATM และเครื่อง ADM ที่มีกว่า 7,000 เครื่องทั่วประเทศ รวมทั้ง ผ่านทางบริการ KTB Online ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่สามารถใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ธนาคารยังเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้เยาวชนมีวินัยในการชำระหนี้ จึงได้ร่วมกับ กยศ. จัดโครงการรณรงค์การชำระหนี้คืนมาตั้งแต่ปี 2552 ปรากฏว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งในปีนี้ มีจำนวนผู้ชำระเงินกู้ กยศ.คืนมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 50% และมียอดชำระเงินกู้เพิ่มขึ้นกว่า 47% โดยในขณะนี้มียอดผู้ชำระหนี้คืนเงินกู้ กยศ.ทั้งประเทศประมาณ 2,300,000 ราย และมียอดเงินกู้ที่ต้องชำระทั้งสิ้น 218,507 ล้านบาท สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ www.studentloan.ktb.co.th หรือสอบถามข้อมูลที่ E-mail: gsl@ktb.co.th
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมว่า ในช่วงที่ผ่านมา นอกเหนือไปจากกองทุนตราสารหนี้ที่ผู้ลงทุนนิยมมากในสัดส่วนถึง 63% ของกองทุนรวมทุกประเภทแล้ว อุตสาหกรรมยังขยายได้ในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งมีจุดขายที่การได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก สนับสนุนโดยการรู้จักเก็บออมไว้ใช้ในระยะยาวยามเกษียณโดยเฉพาะ RMF ปัจจุบัน บริษัทจัดการลงทุน ส่วนใหญ่ก็ยังวนเวียนอยู่กับการหาตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาตั้งกองทุนให้ลูกค้าลงทุนในลักษณะ Term Funds อยู่ เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เนื่อง จากเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ประเด็นคือแต่ละ บลจ. ต่างแข่งขันกันขยายตลาด หรืออย่างน้อยก็ป้องกันส่วนแบ่งตลาดไว้ แต่ Products แบบ Term funds มันไม่ยั่งยืนไปตลอด พัฒนาการต่อไปคือ บลจ.ต้องให้ลูกค้าเห็นความสำคัญของการเก็บออม และกระจายการลงทุนเป็น ขณะที่คนขายต้องใส่ใจหรือไม่มีจิตวิญญาณกระตือรือร้นที่จะช่วยให้ลูกค้าวางแผนการลงทุนได้ อย่างถูกต้อง
นายอำพน กิตติอำพน ประธานกรรม การ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ 31 บาทต่อหุ้น โดยสามารถระดมทุนได้ 15,000 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 483.87 ล้านหุ้น จากจำนวนไม่เกิน 1,000 ล้านหุ้น ที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิม(ยกเว้นกระทรวงการคลัง) จะได้สิทธิในการจองซื้อหุ้น 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 0.2667 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ โดยกระทรวงการคลังจะใช้เงิน 7,655 ล้านบาท ในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน 246.93 ล้านหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 51.03% นอกจากนี้ จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 221.83 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม(ยกเว้นกระทรวงการคลัง) ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นเดิม(ยกเว้นกระทรวงการคลัง) จะได้สิทธิในการจองซื้อหุ้น 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 0.2667 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ โดยจะนำเงินที่ได้ไปใช้เพื่อลงทุนในการขยายธุรกิจ ชำระคืนหนี้สินและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทเป็นหลัก
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือ CPN กล่าวในเอกสารเผยแพร่ว่า พร้อมในการเปิด เซ็นทรัล เวิลด์ ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ ตามกำหนด หลังจากได้ปิดปรับปรุง ซ่อมแซม ด้วยงบกว่า 2.8 พันล้านบาท โดยสามารถเปิดให้บริการ 80% ของพื้นที่ ทั้งนี้ เซ็นทรัล เวิลด์ จะเปิดให้บริการได้ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ส่วน ห้างเซน ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือนส.ค.ปีหน้า สำหรับราคาหุ้น CPN เมื่อวานนี้ปิดที่ 30.50 บาท
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บล.เกียรตินาคิน กล่าวในการสัมมนา"หุ้นไทยโค้งสุดท้ายปี 53"ว่า บล.เกียรตินาคิน ปรับเป้าดัชนี SET ปี 53 มาที่ 970 จุด จากเดิม 950 จุด ภายใต้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 53 ขยายตัว 6.7-7.3% ส่วนกรอบล่างให้ไว้ที่ 830 จุด หุ้นกลุ่มพลังงาน ส่อแววสดใส หลังปลดล็อคมาบตาพุดสำเร็จ ด้านหุ้นกลุ่มแบงก์และสื่อสารยังต้องลุ้น แต่พอน่าไปต่อได้ โดยคาดว่าจากนี้ไปเงินทุนจากต่างประเทศยังรอไหลเข้าตลาดหุ้นอีก 1.8 หมื่นล้านบาท ลุ้นความชัดเจน 2 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ การเมืองและ 3G
หุ้นไทยปิดลบไม่ถึงจุด หลังผู้ว่า ธปท.สยบข่าวลือ ตลาดหลักทรัพย์ไทย ดัชนีปรับตัวในแดนลบต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 จากความกังวลข่าวลือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกมาตรการคุมเงินทุนไหลเข้า เพื่อป้องกันค่าเงินบาทแข็ง ส่งผลให้ดัชนีลดลงต่ำสุดที่ 902.46 จุด อย่างไรก็ตาม หลังนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธปท. ออกมายืนยันว่าธปท.ไม่มีนโยบายควบคุมเงินทุนไหลเข้า ส่งผลให้ดัชนีเด้งกลับ ก่อนปิดตลาดในระดับสูงสุดที่ 921.10 จุด ลบ 0.29 จุด หรือ 0.03% โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย PTT ปิดที่ 281.00 บาท ลดลง 1.00 บาท SCB ปิดที่ 92.50 บาท ลดลง 2.00 บาท KBANK ปิดที่ 105.00 บาท ลดลง 2.50 บาทPTTCH ปิดที่ 118.50 บาท ลดลง 0.50บาท และ SCC ปิดที่ 313.00 บาท บวก 1.00 บาท
กระทรวงคมนาคม หารือกับผู้แทนจีนถึงความร่วมมือในการพัฒนารถไฟความเร็วสูง เผยอาจเปิดให้จีนลงทุนและได้สัมปทาน
ปัญหายาเสพติด เป็นปัญหาสำคัญที่สำนักงาน ป.ป.ส.ดำเนินการป้องกันและปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งมาตรการสำคัญที่นำมาใช้กับนักค้ายาเสพติด
บริษัท เอ็ม.เอส.กรุ๊ป จำกัด ได้เริ่มดำเนินธุรกิจการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 กว่า 25 ปี เอ็ม เอส กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญ
สสช. เผยผลสำรวจค่าครองชีพข้าราชการไทย พบมีหนี้สินเฉลี่ย 872,388 บาท ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2549 ครอบครัวต้องการเงินเดือน สวัสดิการเพิ่ม
แบงก์ปรับลดค่าโอนระหว่างธนาคารเหลือ 12บาท ส่วนเรื่องเลิกค่าธรรมเนียมโอนข้ามเขตยังไม่สรุป
ผลหารือ ธปท. กับธนาคารพานิชย์ สรุปลดค่าธรรมเนียมเพียงหนึ่งรายการ คือ การโอนเงินระหว่างบัญชีข้าม ธนาคารเหลืออัตราเดียว
ธปท. ออกนโยบายปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียม ธ.พาณิชย์ทุกแห่ง โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมโอนเิงินข้ามเขต
บมจ. แอล.พี.เอ็น. (LPN) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่าได้ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนา โครงการลุมพินี พาร์ค ริเวอร์ไซด์ พระราม 3 เนื้อที่ดิน 5,742.2 ตารางวา เป็นที่ดินเปล่า ตำบลบางโพงพาง อำเภอยานนาวา จังหวัดกรุงเทพฯ ในราคา 779,008,000.00บาทเพื่อก่อสร้างโครงการอาคารชุดพักอาศัยหลัก สูง 36 ชั้น จำนวน 4 อาคาร ประมาณ 2,400 ยูนิต ระยะเวลาโครงการ ประมาณ 17 เดือน (ตุลาคม 2553 – มีนาคม 2555) เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ และรับรู้รายได้ ใน ไตรมาส 1 ของปี 2555 รายได้ของโครงการ ประมาณ 5,500 ล้านบาท มีผลตอบแทนเบื้องต้น ประมาณร้อยละ 30