การเงิน และการลงทุนทั้งหมด
แสดง 5176 - 5,200 จาก 32,893 ข่าว
ณ เวลา 10.06 น. การซื้อขายหลักทรัพย์ภาคเช้าวันพฤหัสบดี (9 ก.ย.2553) ดัชนีอยู่ที่ระดับ 931.74 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 7.86 จุด เปลี่ยนแปลง 0.85% มูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 3,494.07 ล้านบาท
5 อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูง คือ KTB เปิดที่ 15.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท, ADVANC เปิดที่ 100.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท, DTAC เปิดที่ 47.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท, PTTAR เปิดที่ 26.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท และ PTT เปิดที่ 291.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
ดัชนี SET 100 เปิดตลาดที่ 1,407.28 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 12.52 จุด เปลี่ยนแปลง 0.90% มูลค่าซื้อขาย 3,138.37 ล้านบาท ดัชนี SET 50 เปิดตลาดที่ 640.80 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.62 จุด เปลี่ยนแปลง 0.88% มูลค่าซื้อขาย 2,568.84 ล้านบาท ดัชนี MAI เปิดตลาดที่ 253.97 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.89 จุด เปลี่ยนแปลง 0.75% มูลค่าซื้อขาย 21.29 ล้านบาท ดัชนี FSTHL เปิดตลาดที่ 1,094.20 จุด เปลี่ยนแปลง 0.0%
น.ส.ชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการบริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ ว่า บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2 แห่งย่านรามอินทรา มูลค่ารวม 500 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมบีโอไออีก 1 โครงการโซนเหนือของ กทม. ราคา 1 ล้านต้นๆ มูลค่าโครงการ 600-700 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า แม้จะเป็นโครงการแรกของบริษัทหลังจากที่เลิกพัฒนามากว่า 10 ปี แต่เชื่อว่าประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการแนวราบ งานก่อสร้าง การบริหารนิติบุคคลบ้านจัดสรรมาก่อน จะสามารถนำมาปรับใช้กับโครงการคอนโดฯ ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมามียอดขาย 1,600 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 3,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 6 เดือนแรกของปี 1,400 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 2,800 ล้านบาท ส่วนยอดแบล็กล็อกปัจจุบัน 1,000 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่ยอดรับรู้รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากงานก่อสร้างล่าช้าบางส่วนที่ไม่สามารถส่งมอบได้ทันในปีนี้ อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่าการเปิดตัวโครงการใหม่และการออกแคมเปญ โปรโมชั่นในช่วงที่เหลือจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เผยว่า คณะกรรมการบริหารสินค้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ มีมติให้จัดทำยุทธศาสตร์กุ้ง ฉบับที่ 2 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้ง ซึ่งกรมประมงได้ยกร่างยุทธศาสตร์กุ้งฉบับที่ 2 ขึ้น และได้ร่วมกับศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเข้าสู่เวทีประชาพิจารณ์อย่างเป็นทางการ และผ่านความเห็นชอบแล้วตามกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์
อธิบดีกรมประมงเผยอีกว่า ยุทธศาสตร์กุ้งไทยฉบับที่ 2 เป็นยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาเชิงรุกและเป็นเอกภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์...กุ้งไทยพัฒนา นำพาเศรษฐกิจชาติ ผลิตได้ มาตรฐานตลาดรักษ์ธรรมชาติยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งไทยในฐานะ Product Champion ของประเทศ ที่สร้างรายได้ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งนี้ การตลาดนำการผลิต ยังคงใช้เป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งไทยเชิงรุกในระยะสั้นระหว่างปี 2553-2556 ซึ่งกรมประมงได้ดำเนินการปรับกรอบและแผนการเป็นที่เรียบร้อย พร้อมที่จะนำเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เผยว่า คณะกรรมการบริหารสินค้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ มีมติให้จัดทำยุทธศาสตร์กุ้ง ฉบับที่ 2 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้ง ซึ่งกรมประมงได้ยกร่างยุทธศาสตร์กุ้งฉบับที่ 2 ขึ้น และได้ร่วมกับศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเข้าสู่เวทีประชาพิจารณ์อย่างเป็นทางการ และผ่านความเห็นชอบแล้วตามกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์
อธิบดีกรมประมงเผยอีกว่า ยุทธศาสตร์กุ้งไทยฉบับที่ 2 เป็นยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาเชิงรุกและเป็นเอกภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์...กุ้งไทยพัฒนา นำพาเศรษฐกิจชาติ ผลิตได้ มาตรฐานตลาดรักษ์ธรรมชาติยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งไทยในฐานะ Product Champion ของประเทศ ที่สร้างรายได้ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งนี้ การตลาดนำการผลิต ยังคงใช้เป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งไทยเชิงรุกในระยะสั้นระหว่างปี 2553-2556 ซึ่งกรมประมงได้ดำเนินการปรับกรอบและแผนการเป็นที่เรียบร้อย พร้อมที่จะนำเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เผยว่า คณะกรรมการบริหารสินค้ากุ้งและผลิตภัณฑ์ มีมติให้จัดทำยุทธศาสตร์กุ้ง ฉบับที่ 2 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้ง ซึ่งกรมประมงได้ยกร่างยุทธศาสตร์กุ้งฉบับที่ 2 ขึ้น และได้ร่วมกับศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเข้าสู่เวทีประชาพิจารณ์อย่างเป็นทางการ และผ่านความเห็นชอบแล้วตามกระบวนการจัดทำยุทธศาสตร์
อธิบดีกรมประมงเผยอีกว่า ยุทธศาสตร์กุ้งไทยฉบับที่ 2 เป็นยุทธศาสตร์ เพื่อการพัฒนาเชิงรุกและเป็นเอกภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์...กุ้งไทยพัฒนา นำพาเศรษฐกิจชาติ ผลิตได้ มาตรฐานตลาดรักษ์ธรรมชาติยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งไทยในฐานะ Product Champion ของประเทศ ที่สร้างรายได้ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งนี้ การตลาดนำการผลิต ยังคงใช้เป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งไทยเชิงรุกในระยะสั้นระหว่างปี 2553-2556 ซึ่งกรมประมงได้ดำเนินการปรับกรอบและแผนการเป็นที่เรียบร้อย พร้อมที่จะนำเข้าสู่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 8 กันยายนว่าปิดตลาดที่ระดับ 31.01/03 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากช่วงเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.15/17 บาท/ดอลลาร์ โดยเป็นการแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี และยังคงมีโอกาสปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคยังมีแนวโน้มปรับตัวแข็งค่าตามแรงไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศแต่เปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ทั้งนี้ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าส่วนหนึ่งมาจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลข่าวลือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกมาตรการดูแลค่าเงิน แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามข่าวลือแต่อย่างใด
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลอปเมนท์ (LPN) เปิดเผยว่า บริษัทได็ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต เป็นที่ดินเปล่า เนื้อที่ 1,425 ตารางวา ตั้งอยู่ตำบลคลองเตย อำเภอพระโขนง กรุงเทพฯ ค่าที่ดินและค่าใข้จ่ายในการได้มาซึ่งที่ดิน มูลค่า 387,332,000 บาท โดยได้ชำระเงินสดในวันที่โอนกรรมสิทธิ์ ทั้งนี้ ที่ดินดังกล่าว บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อพัฒนโครงการในอนาคต
บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (KEST)แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 5/2553 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2553 เกี่ยวกับการอนุมัติการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นที่จะจำหน่ายคืน 2,205,200 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 0.3863 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจะขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนดระยะเวลาในการขายหุ้นที่ซื้อคืนตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2553 ถึง 24 เมษายน 2555 ในราคาเสนอขายหุ้นต้องไม่น้อยกว่าราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้านั้นหักด้วยจำนวนร้อยละ 15 ของราคาปิดเฉลี่ยดังกล่าว
บมจ.มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ (MILL)แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ตามที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมีคำสั่งระงับโครงการ จำนวน 65 โครงการในพื้นที่มาบตาพุดจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
โดยโครงการของบริษัทอยู่ในเอกสารท้ายคำฟ้อง ลำดับที่ 36 ซึ่งโครงการโรงงานผลิตเหล็กเส้นส่วนขยายเป็นโครงการของบริษัทย่อย “บมจ.บี อาร์ พี สตีล จำกัด” และโครงการนี้ได้รับการอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้ว เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551นั้น
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2553 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนใบอนุญาตสำหรับโครงการที่อาจมีผลกระทบรุนแรง ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภท ขนาด และวิธีปฏิบัติสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2553 ฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2553
ในส่วนของ บริษัทมิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) “โครงการโรงงานผลิตเหล็กเส้นส่วนขยาย” ของบริษัทย่อย “บมจ.บี อาร์ พี สตีล จำกัด” สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลในประเทศไทย ตลอดจนการขยายกิจการไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจน้ำตาล และความมีประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาล ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงแผนการขยายงานของบริษัท ตลอดจนความเสี่ยงทั้งในด้านกฎระเบียบและจากการดำเนินธุรกิจอ้อยและน้ำตาลในประเทศลาวและกัมพูชา รวมทั้งความผันผวนของปริมาณผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลในตลาดโลกด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่ากลุ่มน้ำตาลขอนแก่นจะยังคงดำรงสถานะการเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยเอาไว้ได้ ความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงจากผลขาดทุนจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์คาดว่าจะเป็นเหตุการณ์ผิดปกติเฉพาะในปีการผลิต 2553 เท่านั้น ส่วนโรงงานน้ำตาลในประเทศลาวและกัมพูชานั้นคาดว่าจะมีผลการดำเนินงานถึงจุดคุ้มทุนได้ในปีการผลิต 2555 ในขณะที่โครงการโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ที่อำเภอบ่อพลอยจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการจัดหาอ้อยให้แก่บริษัทเมื่อโครงการเริ่มดำเนินการผลิตได้ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาความเข้มแข็งของฐานะทางการเงินเอาไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากธุรกิจน้ำตาลในต่างประเทศ
ทริสเรทติ้งรายงานว่าบริษัทน้ำตาลขอนแก่นเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2488 โดยตระกูลชินธรรมมิตร์และคณะ ปัจจุบันตระกูลชินธรรมมิตร์ถือหุ้นในบริษัทรวม 67.9% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทเป็นเจ้าของและบริหารโรงงานน้ำตาล 4 แห่งในจังหวัดขอนแก่น กาญจนบุรี และชลบุรี โดยมีกำลังการหีบอ้อยรวม 64,000 ตันอ้อยต่อวัน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มน้ำตาลขอนแก่นสามารถจัดหาอ้อยได้ปีละประมาณ 4-5 ล้านตันอ้อย และมีผลผลิตน้ำตาลทรายเฉลี่ย 500,000 ตันต่อปี ในปีการผลิต 2552/2553 กลุ่มน้ำตาลขอนแก่นสามารถผลิตน้ำตาลได้ 6.32% ของปริมาณน้ำตาลทั้งประเทศ ถือเป็นอันดับ 4 รองจากกลุ่มมิตรผลซึ่งมีสัดส่วน 18.57% กลุ่มไทยรุ่งเรือง 17.90% และกลุ่มไทยเอกลักษณ์ 13.93% โรงงานของบริษัทมีประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลเมื่อวัดจากอ้อยระดับมาตรฐานอยู่ที่ 93.97 กิโลกรัม (กก.) ต่อตันอ้อยสำหรับปีการผลิต 2552/2553 ซึ่งดีกว่าอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยที่ 91.20 กก.
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าตั้งแต่ปี 2549 บริษัทน้ำตาลขอนแก่นได้ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจน้ำตาลเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากอ้อยอันประกอบด้วยธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าและธุรกิจผลิตเอทานอล โดยในระหว่างปีการผลิต 2550-2552 รายได้จากธุรกิจพลังงาน (เอทานอลและไฟฟ้า) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายรวมของบริษัท ในขณะที่กำไรสุทธิจากธุรกิจพลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 29% ของกำไรสุทธิรวม โรงงานน้ำตาลของกลุ่มน้ำตาลขอนแก่นที่ประเทศลาวและกัมพูชาเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปีการผลิต 2552/2553 และสามารถจัดหาอ้อยจากโรงงานทั้ง 2 แห่งได้ประมาณ 102,000 ตันอ้อย ซึ่งต่ำกว่าประมาณการเนื่องจากขาดแคลนแรงงานฝีมือและความยากลำบากในการบริหารจัดการไร่อ้อย บริษัทส่งออกน้ำตาลทรายดิบที่ผลิตจากโรงงานในประเทศลาวและกัมพูชาไปยังกลุ่มประเทศยุโรปภายใต้โครงการการให้สิทธิปลอดภาษีและโควต้าแก่สินค้านำเข้าทุกชนิดยกเว้นอาวุธแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Everything But Arms -- EBA) บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานของโรงงานทั้ง 2 แห่งจะถึงจุดคุ้มทุนในปีการผลิต 2554/2555 เพื่อเป็นการเสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดหาอ้อย บริษัทใช้งบลงทุน 7,250 ล้านบาทในการย้ายโรงงานน้ำตาลที่มีอยู่เดิมไปยังศูนย์การผลิตแห่งใหม่ในอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้งขยายกำลังการหีบอ้อยเพิ่ม โดยศูนย์ดังกล่าวประกอบด้วยโรงงานน้ำตาล โรงงานผลิตเอทานอล และโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ คาดว่าโครงการส่วนแรกจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปีการผลิต 2553/2554 และส่วนที่ 2 จะเริ่มในปีการผลิต 2554/2555
ในปีการผลิต 2552 (พฤศจิกายน 2551-ตุลาคม 2552) บริษัทมียอดขายรวม 11,517 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.96% จากปีการผลิต 2551 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาขายที่เพิ่มขึ้นของน้ำตาลและเอทานอล อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายค่อนข้างคงที่ที่ระดับ 13%-17% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระบบแบ่งปันผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทย ในช่วง 6 เดือนแรกของปีการผลิต 2553 (สิ้นสุดเมษายน 2553) ยอดขายของบริษัทอยู่ที่ 6,466 ล้านบาท เติบโต 16.34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากราคาน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่กำไรสุทธิกลับลดลงมาอยู่ที่ 303 ล้านบาท กำไรสุทธิที่ลดลงถึง 56.49% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมานั้นเนื่องมาจากผลขาดทุนจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ รวมถึงการมีต้นทุนวัตถุดิบที่สูงจากการมีปริมาณอ้อยที่ต่ำกว่าคาด ความล่าช้าถึง 1 ปีของโครงการบ่อพลอย และผลขาดทุนจากการดำเนินงานของธุรกิจน้ำตาลในประเทศลาวและกัมพูชา ณ เดือนเมษายน 2553 บริษัทมียอดเงินกู้เพิ่มขึ้นเป็น 13,308 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 56.32% จากผลของการลงทุนในโรงงานน้ำตาลบ่อพลอย รวมถึงการมีเงินกู้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูการผลิต ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะปรับตัวลดลงเมื่อโครงการโรงงานน้ำตาลบ่อพลอยก่อสร้างแล้วเสร็จ
ปริมาณผลผลิตอ้อยและราคาน้ำตาลมีความไม่แน่นอนและประมาณการได้ยาก ปริมาณผลผลิตอ้อยของไทยในปีการผลิต 2552/2553 อยู่ในระดับ 68.5 ล้านตันอ้อย ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 75 ล้านตันอ้อยถึง 8.67% ถึงแม้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็มีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยในปี 2553 ราคาน้ำตาลทรายดิบในตลาดโลกลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนมกราคม 2553 ที่ 28.94 เซนต์/ปอนด์มาอยู่ที่ 18.07 เซนต์/ปอนด์ในเดือนพฤษภาคม 2553 และปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 25.29 เซนต์/ปอนด์ในเดือนสิงหาคม 2553 ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) (KSL) อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A- อันดับเครดิตตราสารหนี้: KSL10NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553 คงเดิมที่ A- KSL11NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 780 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ A- KSL12NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่ A- แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กล่าว และว่า ความต้องการซื้อกิจการคาร์ฟูร์ของ ปตท.เพราะมีโครงการจะขยายร้านสะดวกซื้อไปยังนอกสถานีบริการน้ำมันในรูปแบบ จิฟฟี่มาร์ท และจิฟฟี่ฟู้ดส์ เพื่อทำให้ ปตท.เกิดอำนาจต่อรองในธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น "ปตท.สนใจจะซื้อกิจการคาร์ฟูร์อย่างจริงจังมากขึ้น โดย ปตท.ยื่นไปรายเดียว แต่ก็เปิดทางพันธมิตรที่จะเข้าร่วมทุนไปพร้อมกันด้วย" ด้านนายปรัชญา ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับธุรกิจของ ปตท. เพื่อประเมินมูลค่าและเสนอราคาที่ชัดเจนสำหรับข้อเสนอในรอบที่ 2 ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า แต่ ปตท.สนใจซื้อกิจการคาร์ฟูร์เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ผู้สื่อขาวรายงานว่า การเปิดประมูลรอบแรกมีบริษัทผู้เข้าร่วมประมูลทั้งหมด 7 บริษัท ได้แก่ บริษัท แดรี่ฟาร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จากประเทศสิงคโปร์ บริษัท อิออน จากประเทศญี่ปุ่น บริษัท เทสโก้ โลตัส จากประเทศอังกฤษ บริษัท คาสิโนกรุ๊ป ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัท เซ็นทรัล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวพุ่งขึ้น 81.98 จุด หรือ 0.91% สู่ระดับ 9,106.58 จุด หลังจากตลาดเปิดทำการได้เพียง 15 นาทีในวันนี้ (9 ก.ย.) ขานรับข่าวรัฐบาลโปรตุเกสประสบความสำเร็จในการประมูลพันธบัตรครั้งใหม่ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหนี้ยุโรป นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่เงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงเช้านี้
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ตลาดหุ้นโตเกียวได้รับปัจจัยบวกจากข่าวที่ว่ารัฐบาลโปรตุเกสสามารถระดทุนได้ถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์จากการประมูลพันธบัตร ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยลดกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในภาคการธนาคารของยุโรป หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า การทดสอบภาวะวิกฤติของธนาคารในยุโรปนั้น มีการประเมินความเสี่ยงของธนาคารบางแห่งต่ำเกินไปในกรณีการถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงสูง
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกคืนวานนี้ (8 ก.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบีพี และข่าวการประมูลพันธบัตรของรัฐบาลโปรตุเกสที่ช่วยให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเดือนก.ค.
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก 21.92 จุด หรือ 0.41% แตะที่ 5,429.74 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,361.42 - 5,445.62 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนได้แรงหนุนหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษในเดือนก.ค. ขยายตัวขึ้น 0.3% จากเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่อัตราการขยายตัวรายปีเพิ่มเป็น 4.9% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2537
ขณะที่สำนักงานสถิติเยอรมนีเปิดเผยว่า ยอดส่งออกของเยอรมนีในเดือนก.ค.ลดลง 1.5% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิ.ย. แต่ยังคงขยายตัวขึ้นแข็งแกร่ง 18.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว
หุ้นบีพีปิดพุ่ง 1.3% หลังจากฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทบีพี
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นตามราคาโลหะพื้นฐานในตลาดลอนดอน รวมถึงราคาทองแดง ตะกั่ว และนิกเกิล โดยหุ้นอันโตฟากัสต้าปิดบวก 3.1% หุ้นเอ็กซ์สตราต้าปิดบวก 3%
ราคาทองแดงในตลาดโลหะลอนดอน (LME) ฟื้นตัวขึ้นสู่แดนบวกในวันพุธ หลังจากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น และดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะที่ดูเหมือนว่าตลาดได้ คลายความวิตกเกี่ยวกับภาคธนาคารของยุโรปแล้ว
ราคาทองแดงร่วงแตะจุดต่ำสุดของวันที่ 7,565.50 ดอลลาร์
"ดูเหมือนว่าการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจะลดลง" นายยูเจน ไวน์เบิร์ก นักวิเคราะห์จากคอมเมิร์ซแบงก์กล่าว "ราคาหุ้นกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น และดอลลาร์ อ่อนค่าลง"
หุ้นสหรัฐเปิดตลาดพุ่งขึ้นตามหุ้นยุโรป และก่อนการเปิดเผยรายงานสรุป ภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่ยูโรฟื้นตัวขึ้น และพุ่งขึ้นเมื่อ เทียบกับดอลลาร์และเยน
ความวิตกเกี่ยวกับภาคธนาคารและหนี้สินในยูโรโซนทำให้นักลงทุนเทขาย สินทรัพย์เสี่ยงเมื่อวันอังคาร ส่งผลให้ทองแดงร่วงลงมาที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 สัปดาห์
โพลล์รอยเตอร์สำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 250 คนพบว่า เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วชั้นนำมีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวลงอย่างมากในอีกไม่ กี่ไตรมาสข้างหน้า นำโดยสหรัฐ แม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะไม่เผชิญกับภาวะถดถอยอีก ครั้งก็ตาม
นักลงทุนกำลังรอดูข้อมูลการค้าเบื้องต้นจากจีนในวันศุกร์นี้
"เรามั่นใจว่า จีนจะยังมีการขยายตัวแข็งแกร่งในปีนี้" นายอังเดรย์ คริวเชนคอฟ นักวิเคราะห์จากวีทีบี แคปิตอลกล่าว
"การกักตุนสต็อกใหม่จะถูกผลักดันจากปัจจัยอุปสงค์ตามฤดูกาล ขณะที่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นในฤดูใบไม้ผลินี้"
ความเชื่อมั่นโดยรวมในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาได้แรงหนุนจากทิศทางสต็อกที่ลดลง โดยข้อมูลล่าสุดของตลาด LME พบว่าสต็อกทองแดงลดลง 975ตัน สู่ระดับ 394,500 ตัน โดยลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่งที่ 555,075 ตันในช่วงกลางเดือน ก.พ.
ส่วนสต็อกอะลูมิเนียมลดลง 1,125 ตัน มาที่ 4.41 ล้านตัน แต่ก็ยัง คงอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 ก.ย.) ขานรับข่าวรัฐบาลโปรตุเกสประสบความสำเร็จในการประมูลพันธบัตรครั้งใหม่ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหนี้ยุโรป นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข่าวประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศแผนกระตุ้นการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคและการสร้างงาน อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายโดยรวมยังคงซบเซา ซึ่งส่งผลให้ดาวโจนส์ปิดบวกไม่มากนัก หลังจากรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงในหลายภูมิภาค
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 46.32 จุด หรือ 0.45% แตะที่ 10,387.01 จุด ดัชนี S&P 500 ดีดขึ้น 7.03 จุด หรือ 0.64% ปิดที่ 1,098.87 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 19.98 จุด หรือ 0.90% ปิดที่ 2,228.87 จุด ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 6.55 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2 ต่อ 1
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า รัฐบาลโปรตุเกสประสบความสำเร็จในการประมูลพันธบัตรมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ และจากข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโอบามาประกาศแผนการลงทุนด้านสาธารณูปโภคมูลค่าประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซี่งครอบคลุมถึงการขยายและซ่อมแซมถนน ทางรถไฟ และรันเวย์ โดยมีเป้าหมายหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างงาน และเพื่อปกป้องฐานเสียงของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งสภาคองเกรสซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 2 พ.ย.นี้
แผนการดังกล่าวเป็นการลงทุนในระยะเวลา 6 ปี ซึ่งรวมถึงการซ่อมแซมและขยายถนนในระยะทางทั้งสิ้น 150,000 ไมล์ (241,350 กิโลเมตร) ทางรถไฟความยาว 4,000 ไมล์ (6,430 กิโลเมตร) และรันเวย์ 150 ไมล์ ( 241 กิโลเมตร) โดยโอบามาระบุว่า แผนการลงทุนด้านสาธารณูปโภคจะดำเนินการอย่างสอดคล้องกับกฎหมาย Recovery Act แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งทางรัฐบาลจะใช้งบประมาณการใช้จ่ายในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และจะไม่ส่งผลให้เกิดการขาดดุลงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายโดยรวมยังคงซบเซาเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในภาคการธนาคารของยุโรป หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า การทดสอบภาวะวิกฤติของธนาคารในยุโรปนั้น มีการประเมินความเสี่ยงของธนาคารบางแห่งต่ำเกินไปในเรื่องการถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงสูง
ขณะที่สมาคมธนาคารของเยอรมนีระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่อย่างน้อย 10 แห่งของเยอรมนีอาจต้องระดมทุนเพิ่มอีกราว 1.05 แสนล้านยูโร เพื่อให้ตรงตามข้อกำหนดของคณะกรรมการกำกับดูแลภาคการธนาคารของสหภาพยุโรป (CEBS) นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงาน Beige Book หรือรายงานสำรวจภาวะเศรษฐกิจจากเฟดทั้ง 12 เขตระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงชะลอตัวลงในหลายภูมิภาค
หุ้นแอปเปิลปิดพุ่งเกือบ 2% หลังจากนายเมย์นาร์ด อัม นักวิเคราะห์จากบริษัทยูบีเอส อินเวสต์เมนท์ รีเสิร์ช ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาหุ้นแอปเปิลขึ้นสู่ระดับ 350 ดอลลาร์ และคาดว่าแอปเปิลจะสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ iPad ได้มากกว่า 28 ล้านเครื่องในปี 2554 เนื่องจากดีมานด์ที่แข็งแกร่งทั่วโลก
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นเจพีมอร์แกนปิดพุ่ง 2.3% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้นหลังจากฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทบีพี โดยหุ้นบีพีปิดบวก 3.2% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตันปิดบวก 37 เซนต์ แตะที่ 30.21 ดอลลาร์
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนก.ค. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนก.ค.
ธนาคารกลางแคนาดา ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนอีก 0.25% เป็น 1% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 นับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีนี้
โดยธนาคารกลางระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของแคนาดาชะลอตัวลงมากกว่าคาดการณ์ในไตรมาสที่ 2 ถึงแม้ว่าอัตราการอุปโภคบริโภคและการลงทุนจะเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการคาดการณ์ก็ตาม
ธนาคารกลางแคนาดาคาดว่า เศรษฐกิจภายในประเทศจะฟื้นตัวช้ากว่าที่ประมาณการณ์ไว้ในเบื้องต้น ซึ่งเป็นผลมาจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐและอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นตามที่ทางธนาคารประเมินไว้
นอกจากนี้ ธนาคารกลางแคนาดาส่งสัญญาณว่าการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย โดยกล่าวว่า "การลดน้ำหนักการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตนั้น จำเป็นต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังเนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมยังมีความไม่แน่นอน"
สำหรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ของแคนาดาชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่ 2 หลังจากที่ขยายตัวได้ถึง 5.8% ในไตรมาสที่แรก สำนักข่าวซินหัวรายงาน
ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ล่าสุดปิดที่ระดับ 10,387.01 จุด เพิ่มขึ้น 46.32 จุด
ดัชนีค่าระวางเรือ (Baltic Dry Index) ปิดตลาดวานนี้ (8 ก.ย.) บวก 57 จุด หรือ 1.95% อยู่ที่ 2975 จุด
นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมทุกด้านในการเข้าประมูลใบอนุญาต 3G ทั้งด้านจิตใจ หน่วยงานที่รับผิดชอบ และการวางแผนงานต่าง ๆ รวมทั้งเม็ดเงินลงทุน ซึ่งขณะนี้บริษัทเตรียมกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ 8-9 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธนาคารในประเทศ มีเพียง 1 แห่งที่เป็นธนาคารจากญี่ปุ่น
"หากผ่านก็ลงมือทำได้ทันที จะเริ่มจากหัวเมืองใหญ่ก่อน ถ้าไม่ได้ก็รอประมูลรอบ 2 ส่วนเงินลงทุนไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ตั้งไว้"นายวิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าคณะกรรมการประกอบกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)จะจัดประมูล 3G ด้วยความโปร่งใส ซึ่งทางบริษัทจะส่งตัวแทน ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และ กรรมการ รวมถึงตนเองก็จะเข้าร่วมในการประมูลครั้งนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี หากบริษัทได้รับใบอนุญาตให้บริการ 3G ก็มีความพร้อมจะให้บริการในระบบ 3.9G แต่ก็เป็นห่วงว่าลูกค้าอาจไม่มีอุปกรณ์มารองรับการใช้บริการ
ธนาคารกลางญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ในประเทศปล่อยสินเชื่อลดลงร้อยละ 2 ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบรายปี แตะที่ 394 ล้าน 2 แสนล้านเยน ซึ่งลดลงเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นว่าภาคเอกชนมีความต้องการเงินลงทุนน้อยลง และหากมีการปรับตัวเลขตามปัจจัยพิเศษต่างๆ อาทิ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ยอดปล่อยสินเชื่อจะลดลงร้อยละ 1.7 ส่วนดัชนีชี้วัดจำนวนเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ในเดือนสิงหาคม
หุ้นผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่เช้านี้ ปรับตัวลง โดยหุ้นบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น(TRUE) ร่วงแรงกว่า 7% ขณะที่หุ้นบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) และหุ้นบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) อ่อนตัวเล็กน้อย
ขณะที่ โบรกเกอร์ แนะนำ"ขาย"หุ้นออกมาก่อน หลังสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ. กสท โทรคมนาคม ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ให้ยกเลิกการเปิดประมูลใบอนุญาต 3G ซึ่งศาลฯ นัดฟังคำสั่งบ่ายวันนี้ ว่าจะรับฟ้องหรือไม่
เช้านี้ราคาหุ้น ADVANC ปรับขึ้นไปที่ 97 บาท และลงแตะต่ำสุดที่ 95.75 บาท, หุ้น DTAC ปรับลง 0.25 บาท อยู่ที่ 45.75 บาท ส่วนหุ้น TRUE ร่วง 0.55 บาท หรือ 7.14% มาที่ 7.15 บาท ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ดัชนี ลบ 0.73%
โดยหุ้น TRUE ยังติด Cash Balance ซึ่งตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้สมาชิกต้อง ดำเนินการให้ลูกค้าซื้อหลักทรัพย์โดยวางเงินสดไว้ล่วงหน้าเต็มจำนวนก่อนการซื้อ จนถึง วันที่ 10 ก.ย.นี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ"ขาย"หุ้น ADVANC,DTAC และ TRUE ออกไปก่อน โดย บ่ายวันนี้ศาลปกครองกลางนัดฟังคำสั่ง ว่าจะรับฟ้องหรือไม่กรณีสหภาพของ กสท.ยื่นคำร้อง ขอให้ยกเลิกการประมูลใบอนุญาตระบบ 3G เพราะเห็นว่า กทช.ไม่มีอำนาจในการเปิดประมูล
ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า กรณีอำนาจของ กทช.นั้น กฤษฎีกาได้เคยตีความหลายครั้ง แล้วว่า กทช.มีอำนาจตราบเท่าที่ยังไม่มี พรบ.จัดสรรคลื่นฉบับใหม่ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี
"เราจึงเชื่อว่า กทช.จะสามารถผลักดันให้เกิดการประมูล 3G ในวันที่ 20 ก.ย.ได้ จริง ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามคำสั่งศาลฯ บ่ายวันนี้อย่างใกล้ชิด หากออกมาผิดคาด จะเป็น ลบกับทั้ง ADVANC,DTAC,TRUE" ฟินันเซีย ไซรัส ระบุ
อย่างไรก็ตาม ถ้าศาลปกครองกลางไม่รับฟ้อง ยังคงแนะนำให้ถือหุ้นทั้ง 3 ต่อไป เพื่อลุ้นในวันประมูล
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาทของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ดังกล่าวใช้แทนอันดับเครดิต “BBB+” ที่ทริสเรทติ้งจัดไว้เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2553 สำหรับหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทเนื่องจากบริษัทตัดสินใจเพิ่มวงเงินหุ้นกู้อีกจำนวน 500 ล้านบาททั้งนี้ วงเงินที่เพิ่มขึ้นจะไม่มีผลกระทบต่ออันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท โดยบริษัทจะนำเงินทั้งหมดที่ได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้ที่มีอยู่กับสถาบันการเงินและชำระคืนหุ้นกู้ ITD109A นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วย
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Negative” หรือ “ลบ” อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตลอดจนการมีงานในมือที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก ความสามารถในการรับงานก่อสร้างได้หลากหลายประเภททั้งในประเทศและต่างประเทศ การดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรโดยขยายสู่การผลิตวัสดุก่อสร้าง รวมถึงนโยบายการลงทุนของภาครัฐในการก่อสร้างสาธารณูปโภคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงแนวโน้มที่บริษัทจะสามารถลดภาระหนี้ลงได้โดยการขายเงินลงทุนในเขื่อนพลังน้ำน้ำเทิน 2
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวของบริษัทมีข้อจำกัดบางส่วนจากความเสี่ยงด้านต้นทุนการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่มีลักษณะของสัญญาแบบคงที่ (Fixed-price Contract) ระยะยาว ตลอดจนแรงกดดันในการทำกำไร ลักษณะของธุรกิจที่มีความผันผวนและเป็นวงจรขึ้นลง และภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงและผลประกอบการที่อ่อนแอแม้จะปรับตัวดีขึ้นในหลายไตรมาสที่ผ่านมา อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากบริษัทไม่สามารถปรับปรุงผลประกอบการให้ดีขึ้นและสร้างความสม่ำเสมอ รวมทั้งไม่สามารถลดภาระหนี้ได้ตามแผน
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์เป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สถานะผู้นำตลาดของบริษัทเกิดจากการมีผลงานเป็นที่ยอมรับ การมีสัมพันธภาพที่ดีกับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน การประหยัดจากขนาด ความสามารถในการผลิตวัตถุดิบสำคัญที่เพียงพอ การมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้างที่ครบครัน ตลอดจนการมีวิศวกรและช่างที่มีทักษะสูงจำนวนมาก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 บริษัทมีรายได้รวม 18,279 ล้านบาท ธุรกิจของบริษัทแบ่งสายงานออกเป็น 9 ประเภท โดยมีสาขาในต่างประเทศ 3 แห่งคือประเทศไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และอินเดีย และมีบริษัทย่อยในต่างประเทศ 4 แห่งในประเทศพม่า อินเดีย อินโดนีเซีย และมาดากัสการ์
แม้ว่ากลยุทธ์ในการขยายธุรกิจก่อสร้างไปในต่างประเทศจะช่วยให้บริษัทมีรายได้ที่เพียงพอในช่วงธุรกิจก่อสร้างในประเทศชะลอตัว แต่กลยุทธ์ดังกล่าวก็เพิ่มความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยให้แก่บริษัทด้วยเช่นกัน มูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบของกลุ่มบริษัท ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2553 อยู่ที่ 87,916 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการชนะการประมูลที่รอลงนามในสัญญาอีกจำนวน 1,303 ล้านบาท โดยประมาณ 64% ของงานในมือเป็นโครงการที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอินเดียและอินโดนีเซีย นอกเหนือจากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศแล้ว บริษัทยังขยายงานไปสู่ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เช่น เหล็ก คอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป และปูนซีเมนต์ด้วย แม้การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรจะช่วยลดต้นทุนให้แก่บริษัท โดยเพิ่มอำนาจการต่อรองกับผู้จัดหาวัตถุดิบและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนวัตถุดิบ แต่ก็ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงด้านวงจรธุรกิจของงานรับเหมาก่อสร้างแต่อย่างใด นอกจากนี้ การลงทุนในธุรกิจที่มีต้นทุนสูงเช่นธุรกิจผลิตปูนซีเมนต์ยังส่งผลทำให้ฐานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเนื่องจากภาระหนี้ในงบการเงินรวมเพิ่มสูงขึ้น
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แม้ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจะมีผู้ประกอบการจำนวนมาก แต่ก็มีผู้รับเหมาเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ผู้รับเหมาที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์เบื้องต้นเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์เข้าไปร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐได้ ดังนั้น โอกาสที่ผู้รับเหมารายใหญ่ที่สุด 3 รายจะชนะการประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจึงมีความเป็นไปได้สูงจากการมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับและได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน โครงการระบบขนส่งมวลชนและโครงการเหมืองซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมในด้านเครื่องจักรเป็นอย่างดีน่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทในอนาคตระยะปานกลาง นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะร่วมประมูลในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่เริ่มดำเนินการทั้งในประเทศไทยและอินเดียด้วย
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์รายงานผลขาดทุนที่ 66 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่ลดลงและการเพิ่มขึ้นอย่างมากของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร รายได้ของบริษัทลดลง 14% เมื่อเทียบปีต่อปี มาอยู่ที่ 18,279 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่รายได้จากการก่อสร้างภายในประเทศลดลง ในขณะที่รายได้ก่อสร้างในต่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้รับแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ระดับสูง โดยเฉพาะในส่วนของการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ อัตรากำไรจากการดำเนินงานเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากโครงการก่อสร้างที่ขาดทุนได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในช่วงนี้ก็ไม่มีแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง โดยอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่ายปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 8.91% จาก 6.06% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภาระหนี้ของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2553 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2552 ทั้ง ๆ ที่ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่บริษัทย่อยในต่างประเทศมีภาระหนี้ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ITD Cementation India Ltd. (ITDCem) ซึ่งมีการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานสูงขึ้นจากการมีงานก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยภาระหนี้ของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2553 อยู่ที่ 25,415 ล้านบาท เปรียบเทียบกับภาระหนี้ที่ 24,968 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2552 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 68.98% ภาระหนี้ที่สูงทำให้ดอกเบี้ยจ่ายเป็นภาระที่หนักของบริษัท อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 1.98 เท่า เปรียบเทียบกับ 1.63 เท่าในปี 2552 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้และกระแสเงินสดของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นภายในไตรมาสที่ 4 ของปีหลังจากการขายเงินลงทุนใน Nam Theun 2 Power Co., Ltd. (NTPC) ซึ่งอยู่ที่ประเทศลาวเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทคาดว่าจะได้รับเงินประมาณ 3,500 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่ได้ประมาณการไว้เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาท
ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 8 ก.ย.2553
หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์ รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 8 ก.ย. 2553 ว่า น้ำมันดิบโดนกดดันจากปัญหาสถาบันการเงินในทวีปยุโรป
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับลดลง 0.51 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 74.09 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก
- ตลาดมีความกังวลต่อการตรวจสอบผลการทดสอบความเข้มแข็งของสถานะทางการเงินของธนาคารในกลุ่มประเทศยุโรปที่ออกมาไม่สู้ดีนนักเนื่องจากมีการถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงสูงมากกว่าที่คาด และอาจส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยุโรป
- ซึ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯปรับแข็งค่าขึ้นเทียบกับสกุลเงินยูโร จากการที่นักลงทุนหันมาลงทุนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ จากความกังวลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
- ทำให้ดัชนีอุตสหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดลดลง โดยปรับลงมา 107.24 จุดมาอยู่ที่ 10340.69 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร, พลังงาน และ ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรจากการที่ตลาดหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องจากอาทิตย์ที่แล้ว
+ อย่างไรก็ดีการระเบิดโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทพีเม็กซ์ (Pemex) ในประเทศแม็กซิโกช่วยพยุงราคาน้ำมันไว้ เพราะคาดว่าแม็กซิโกต้องนำเข้าน้ำมันเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศสหรัฐฯ
+ รอยเตอร์โพลคาดการณ์ตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสามอาทิตย์ เนื่องจากมีการนำเข้าลดลง
(หน่วย: ล้านบาร์เรล) รอยเตอร์โพล
น้ำมันดิบคงคลัง ลดลง 0.6
น้ำมันเบนซินคงคลัง ลดลง 0.9
น้ำมันดีเซลคงคลัง เพิ่มขึ้น 0.7
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 76.87 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ปรับลดลง 0.61 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 73.49 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์:
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบดูไบ แม้อุปสงค์ยังคงทรงตัวแต่อุปทานในตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับลดลงตามราคาน้ำมันดิบดูไบ จากปริมาณน้ำมันดีเซลในตลาดมีมากโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลคงคลัง ประกอบกับความต้องการในตลาดมีน้อยจากช่วงหน้า
ทิศทางราคาน้ำมันระยะสั้น
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์หน้ามีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 71-77 เหรียญสหรัฐฯ จับตาดูตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันพฤหัสบดี
ปัจจัยที่น่าจับตามอง
ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่
วันพุธ : ตัวเลขสินเชื่อผู้บริโภคของสหรัฐฯ และ การผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษและเยอรมัน
วันพฤหัสบดี : ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศ ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน
วันศุกร์ : ตัวเลขยอดการค้าส่งของสหรัฐฯ และ ดุลการค้าประจำเดือน ส.ค. ของจีน
ประธานาธิบดีโอบามาของสหรัฐฯ จะกล่าวถึงโครงร่างแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 8 ก.ย.นี้ จับตาดูว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมนี้จะเพียงพอที่จะช่วยเร่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้หรือไม่
รายงานสถานการณ์น้ำมันของโอเปก ในวันที่ 9 ก.ย. และของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ในวันที่ 10 ก.ย. นี้ ซึ่งจะมีการประมาณการความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปีนี้และปีหน้า ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ทาง 3 สำนักงานจะปรับลดประมาณการลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาไม่ดี
การก่อตัวของพายุเฮอริเคนในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐฯ ที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งปกติเป็นเดือนที่มีการเกิดพายุเฮอริเคนมากที่สุดในรอบปี โดยมีการพยากรณ์จำนวนเฮอริเคนในปีนี้ไว้ที่ 8-12 ลูก
แหล่งข่าวจากนักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.15/17 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 31.18/20 บาท/ดอลลาร์ ก่อนที่จะทยอยปรับตัวแข็งค่าลงมาอยุ่ที่ 31.14/16 บาท/ดอลลาร์ เมื่อเวลา 08.55 น.ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคค่อนข้างทรงตัว
"(เงินบาท)เปิดตลาดเช้านี้ปรับตัวแข็งค่านิดหน่อย หลังจากที่ข่าวลือดูแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงในช่วงใกล้" นักบริหารเงิน กล่าว
อย่างไรก็ดี ตลาดยังจับตาดูเรื่องข่าวลือที่ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เตรียมออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท ว่าจะมีความเป็นจริงแค่ไหน เนื่องจากมีการระบุชื่อแหล่งข่าวไว้อย่างชัดเจน ส่วนปัจจัยจากต่างประเทศนั้นยังไม่มีอะไรใหม่
สำหรับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลักต่างประเทศช่วงเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 83.72/74 เยน/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อยจากระดับ 83.84/86 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2690/2692 ดอลลาร์/ยูโร ปรับตัวอ่อนค่าจากระดับ 1.2742/2743 ดอลลาร์/ยูโร
นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทมีโอกาสกลับมาปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่องตามเดิมจนกว่าจะมีปัจจัยใหม่เข้ามา โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ 31.05-31.25 บาท/ดอลลาร์
เช้าวันนี้ (8 ก.ย.) ตลาดหุ้นเอเชียร่วง เนื่องจากตลาดกังวลว่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ประกอบกับดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงมากกว่า 1% เมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของธนาคารในยุโรป ซึ่งความกังวลดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มการเงินถูกเทขายอย่างหนัก
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 9,098.86 จุด ลดลง 127.14 จุด ส่วนดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 21,213.20 จุด ลบ 188.59 จุด ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนลบ 10.65 จุด หรือ 0.39% แตะ 2,687.71 จุด ขณะที่ดัชนีเวทเต็ดตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 7,866.35 จุด ลบ 18.05 จุด ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นโซลเปิดวันนี้ที่ 1,780.48 จุด ลดลง 7.26 จุด ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 4,570.10 จุด ลดลง 3.10 จุด และดัชนีสเตรทส์ไทม์ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,015.93 ลบ 20.16 จุด
ดัชนี MSCI Asia Pacific ลบ 0.7% แตะ 120.97 จุด เมื่อเวลา 9.56 น.ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงโตเกียว
หุ้นแคนนอน ร่วง 2% ในตลาดหุ้นโตเกียว ส่วนหุ้นฮอนด้า มอเตอร์ ร่วง 2.7% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน อ่อนตัว 1.3% ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตลาดจับตาเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโรมาก่อนหน้านี้ เพราะวิกฤตขาดดุลในยุโรป และตอนนี้ตลาดก็ต้องดูวิธีการรับมือกับการแข็งค่าของเงินเยนกับดอลลาร์อีก ซึ่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นจึงน่าจะมหาศาล