กลยุทธ์การลงทุน คาดว่าดัชนีหุ้นไทยยังแกว่งตัวในกรอบ 880-900 จุด ด้วยแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายวานนี้ 0.25% เชื่อยังไม่เป็นอุปสรรคต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ในสถานการณ์นี้ดีต่อ ธ.พ. จึงแนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตในปี 2554 PER ต่ำกว่า 10 เท่า พร้อมมีเงินปันผลต่อเนื่อง ราคาหุ้น under-perform เริ่มจาก ธ.พ. (TCAP) โรงกลั่น (PTTAR, BCP, TOP) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากความคืบหน้าของการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่และที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เอื้อให้ผู้โดยสารเดินทางโดยรถไฟฟ้าทั้งบนดิน (BTS) และใต้ดิน (BMCL) และความคืบหน้าธุรกิจ 3G (DTAC, ADVANC) หุ้นพลังงานยัง Under-perform ตลาดตราบที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่ ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก ทั้ง ยุโรป สหรัฐ และ ญี่ปุ่น คาดว่ายังคงกดดันให้ราคาน้ำมันดิบโลกอ่อนตัวต่อเนื่อง (สะท้อนจาก Dollar Index ยังมีทิศทางแข็งค่า แม้จะทรงตัวช่วงสั้น ขณะราคาน้ำมันดิบดูไลยังมีแนวโน้มแกว่งตัวลง แม้ระยะสั้นจะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 69.81 เหรียญฯ ต่อบาร์เรลในวันพุธที่ผ่านมา ขึ้นมาที่ยืนที่ 72 เหรียญฯ ก็ตาม แต่คาดว่ามีโอกาสอ่อนตัวต่อลงไปต่ำกว่า 70 เหรียญฯ ดังนั้นในระยะสั้นเชื่อว่าหุ้นพลังงาน โดยฉพาะผู้ผลิตและสำรวจปิโตรเลี่ยม คือ PTTEP นอกจากผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวมีผลกระทบต่อผลประกอบการในงวด 3Q53 แล้ว ขณะนี้ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย ได้ดำเนินการฟ้องร้องอย่างเป็นทางการต่อ PTTEP ถึงผลกระทบต่อน้ำมันที่ไหลเข้าน่านน้ำในทะเลติมอร์ เป็นเงิน 780 ล้านเหรียญฯ จากเดิมที่คาดไว้เพียง 500 ล้านเหรียญฯ แม้ว่าขบวนการฟ้องร้องอาจจะต้องใช้เวลา แต่หากแพ้คดี และต้องบันทึกค่าเสียหายทั้งจำนวนคาดว่าจะกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิในปี 2553 ราว 40% หรือลดลงจากเดิมเหลือ 24,660 หรือหุ้นละ 7.40 บาท ทำให้ราคาหุ้น PTTEP ปัจจุบันจะมีค่า PER ขยับขึ้นจากประมาณการเดิม 11.7 เท่า เป็น 19 เท่า ระยะสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยง PTTEP ยังมีทิศทางแกว่งตัวขาลง จึงยังแนะนำให้หลีกเหลี่ยง ทั้งหุ้นผลิตสำรวจน้ำมัน PTTEP และ ถ่านหิน ( ยัง ) & 61607; คาดตลาดน่าจะพักฐานต่ออีกในวันนี้ ก่อนเริ่มฟื้นตัวในสัปดาห์หน้าฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลกระทบเชิงลบต่อดัชนี จากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในวันที่ 25 ต.ค. 2553 ที่ผ่านมา น่าจะหมดสิ้นไปในสัปดาห์นี้ และหากไม่มีปัจจัยลบอื่นๆ เข้ามากดดันอีก ตลาดน่าจะเริ่มฟื้นตัวรอบใหม่ได้ ในสัปดาห์หน้า เหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา ที่บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นมักฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ หลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแล้วเสร็จด้วย ความน่าจะเป็นสูงราว 70-85% ประกอบกับแรงหนุนของ Fund Flow ที่ยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนถึงกลางเดือน ก.ย. ตามผลของฤดูกาล น่าจะส่งผลให้ SET เริ่มฟื้นตัวและมีโอกาสปรับตัวขึ้นสู่ 932 จุด ที่ระดับ PER 14 เท่า ณ สิ้นปี 2553 ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยประเมินว่าคาดว่าประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยจะเริ่มกลับมากดดันตลาดอีกครั้ง ก่อนการการประชุมครั้งถัดไปวันที่ 20 ต.ค. 2553 ราว 1-2 สัปดาห์ หรือในช่วงต้นเดือน ต.ค. เนื่องจากคาดว่า กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 2% ในการประชุมครั้งดังกล่าว ประจวบเหมาะกับในช่วงเดือน ต.ค. ของทุกปี สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า จะเป็นช่วงที่ Fund Flow เริ่มไหลออก จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะปรับฐานใหญ่ในช่วงปลายเดือน ก.ย. 2553 เป็นต้นไป ......ดักซื้อกลุ่ม ธ.พ. ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เชื่อจะนำตลาดฟื้นตัวรอบใหม่ : KBANK, TCAPในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เอื้อประโยชน์ต่อประสิทธิภาพการทำกำไรของกลุ่ม ธ.พ. โยเฉพาะบริษัท ที่มีโครงสร้างดอกเบี้ยสินเชื่อที่ลอยตัวสูงกว่าต้นทุนเงินฝาก (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบคงที่) ทั้งนี้จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยพบว่า BAY, TCAP, TMB, KTB, KBANK, SCB และ KK เป็น ธ.พ. ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากมีส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยสินเชื่อลอยต่อเงินฝากลอยตัวสุทธิ 36%, 26%, 26%, 18%, 15%, 11% และ 11% ตามลำดับ อีกทั้งความต้องการใช้สินเชื่อที่มีแนวโน้มสดใสในงวด 2H53 เมื่อเทียบกับ 1H53 ตามความคืบหน้าดังนี้ 1) โครงการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐ โดยเฉพาะการสร้างถนน และรถไฟฟ้า ช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน 2) โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มีแนวโน้มจะกลับมาดำเนินกิจกรรมการก่อสร้างตามปกติ หลังจากที่รัฐเห็นด้วยกับการตัดลดอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายร้ายแรงลง 7 อุตสาหกรรม เหลือ 11 อุตสาหกรรม ส่วนที่เหลือคาดว่าจะมีความชัดเจนว่าโรงงานใดบ้างที่เข้าข่ายร้ายแรงในสัปดาห์นี้ ซึ่งน่าจะเร่งให้มีการเบิกจ่ายเงินกู้ส่วนที่ค้างอยู่เกือบ 8 หมื่นล้านบาท 3) ความต้องการสินเชื่อเพื่อลงทุนในธุรกิจ 3G ที่กำลังเข้าสู่ช่วงการประมูลในระยะ 1-2 เดือนนี้ และ 4) ความต้องการสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก (SME) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามภาคส่งออก ที่เข้าสู่ช่วง High Season ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นสูงสุด คือ BAY ตามมาด้วย TCAP แต่เนื่องจาก BAY มีค่า PER สูง 15 เท่า ขณะที่ TCAP มี PER เพียง 7 เท่า เพราะผลจากการควบรวมกับ SCIB ทำให้สามารถเริ่มรับรู้รายได้จากการควบรวมกับ SCIB เต็มที่ตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 นี้เป็นต้นไป จึงเลือก TCAP เป็น TOP pick สำหรับกลุ่ม ธ.พ. เพื่อสินเชื่อรายย่อย และเลือก KBANK และ BBL เป็น Top picks สำหรับกลุ่ม ธ.พ. ขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะกลับมาเป็นกลุ่มที่ outperform และนำตลาดได้อีกครั้ง ขณะที่บริษัทประกัน ก็เป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นกัน เลือก BLA เนื่องจากฐานรายได้และกำไร มาจากเงินลงทุนในตราสารการเงิน และตลาดหุ้น ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดในรอบ 28 เดือน แต่ยังคงแข็งค่าในทิศทางเดียวกับภูมิภาค หนุน Fund Flow .................. คาดน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวช่วงสั้น ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่ แนะนำเลี่ยงหุ้นปิโตรเลียม วานนี้สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ได้เปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสิ้นสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า เพิ่มขึ้นกว่าคาดในทุกประเภท โดยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรล สู่ 358.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 200,000 บาร์เรล เช่นเดียวกับสต็อกน้ำมันสำเร็จรูป(น้ำมันกลั่น) ที่เพิ่มขึ้น 1.76 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของน้ำมันเบนซิน 2.27 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดไว้ว่าจะลดลงราว 400,000 บาร์เรล ขณะที่คาดว่าสต็อกน้ำมันสำเร็จรูปประเภทอื่นๆ เช่น น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซล น่าจะลดลง ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันก็ลดลง ราว 2.3% สู่ 87.7% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวข้างต้นสะท้อนความต้องการใช้น้ำมันที่ชะลอตัวลงในทุกประเภท ตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก ที่เกิดจากความกังวลต่อวิกฤติหนี้สาธารณะในในยุโรป และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ได้ส่อเค้าให้เห็นชัดเจนขึ้น จึงคาดหมายว่า GDP Growth ของสหรัฐฯ และ ยุโรป น่าจะเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่งวด 2H53 นี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ในทิศทางที่อ่อนตัว และได้ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. – ปัจจุบัน ราว 10 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือลดลงสูงถึง 14% ดังนั้นแม้ว่าล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบจะดีดตัวขึ้นจากวันก่อนหน้ามาเกือบ 2 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขึ้นมาอยู่ที่ 71.62 เหรียญฯต่อบาร์เรล หลังจากลงไปต่ำสุดที่ 69.73 เหรียญฯต่อบาร์เรล คาดว่าน่าจะเป็นเพียงการฟื้นตัวทางเทคนิคสั้นๆ เท่านั้น หลังจากตกต่ำมานาน ซึ่งฝ่ายวิจัยยังมองราคาน้ำมันดิบดูไบในระยะสั้นจะแกว่งตัวแคบๆ ในกรอบ 69-73 เหรียญฯต่อบาร์เรลเท่านั้น คาดว่าจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อหุ้นในกลุ่มปิโตรเลียม PTTEP, BANPU และ LANNA อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับดังกล่าว ยังหนุนให้ค่ากลั่นโดยรวม ยังสามารถยืนอยู่เหนือ 4-5 เหรียญฯต่อบาร์เรลได้ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นระดับที่ดีกว่างวด 2Q53 ขณะที่ Spread ของอะโรเมติกส์และวัตถุดิบ ก็เริ่มฟื้นตัวในเดือน ส.ค. จากจุดตกต่ำสุดในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เพราะ Supply ใหม่ๆ ถูกเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า ขณะที่ความต้องการใช้ Px สำหรับเส้นใยโพลีเอสเตอร์ และ Bz ซึ่งถูกใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ยังเพิ่มขึ้นทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ ขณะที่ราคาหุ้นโรงกลั่นเกือบทุก under perform ตลาดทุกบริษัท จึงแนะนำซื้อสะสม ทั้ง TOP, PTTAR และ BCP ล่าสุด BCP ประกาศเงินปันผลงวด 1H53 0.5 บาท ขึ้น XD 7 ก.ย. ซึ่งดีกว่านักวิเคราะห์ ASP คาดไว้เพียง 0.45 บาท เท่านั้น ใบอนุญาต 3G คืบหน้า หนุนการเก็งกำไรหุ้นสื่อสาร ในวันที่ 20 ก.ย. นี้เป็นวันแรกที่ กทช. จะเปิดให้มีการประมูลใบอนุญาต 3G หลังจาก กทช. ประกาศรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติ ที่สามารถยื่นซองประมูลระหว่าง 7-15 ก.ย. นี้ คือ 1) สัญชาติไทยถือหุ้นไม่เกิน 49% ของทุนเรียกชำระแล้ว พร้อมกับมีแหล่งเงินทุนสนับสนุน และ 2) ต้องวางเงินในวันสมัคร 5 แสนบาท พร้อมวางหลักประกัน 1.2 พันล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ขอซองประมูลไป 7 ราย ได้แก่ TRUE, ADVANC, DTAC, JAS (ปัจจุบันให้บริการ Internet ความเร็วสูง และรับงานประมูลติดตั้งระบบสารสนเทศ รวมถึงโครงข่าย), SIM (ขายโทรศัพท์มือถือ โดยเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า I-Mobile Phone ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SAMART เช่นเดียวกับ SAMTEL โดย SAMTEL ให้บริการงานประมูลติดตั้งระบบโครงข่ายและสารสนเทศ) และ LOXLEY (ให้บริการ Internet และงานประมูลระบบสารสนเทศกับภาครัฐ และเอกชน) และ Millcom System ในมุมมองของ ASP คาดว่าผู้ที่จะชนะการประมูลน่าจะมีเพียง 3 ราย (จากใบอนุญาตทั้งหมด 3 ใบ) คือ ผู้ประกอบการายเดิม คือ TRUE, ADVANC, DTAC ด้วยความได้เปรียบทางด้านฐานลูกค้า และแหล่งเงินทุน โดยเฉพาะ ADVANC และ DTAC มีกระแสเงินสดภายในกิจการสูงเพียงพอในการจ่ายค่าใบอนุญาต ขณะที่มี D/E ต่ำ สถาบันการเงินพร้อมให้การสนับสนุน ส่วน TRUE แม้ว่ากระแสเงินสดภายในจะไม่เพียงพอต่อการจ่ายค่าใบอนุญาตแต่ SCB ก็ประกาศตัวเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน ฝ่ายวิจัยจึงยังแนะนำซื้อ ADVANC และ DTAC เนื่องจากราคาตลาดยังไม่ตอบรับผลบวกจากธุรกิจ 3G ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside 30%และ 29% ส่วน TRUE ราคาหุ้นได้สะท้อนธุรกิจ 3G และความสำเร็จของการเพิ่มทุนแล้ว (ภายใต้สมมติฐานของ ASP ที่คาดว่าจะมีการระดมทุน 1 หมื่นล้านบาท โดยการขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมที่ราคาหุ้นละ 4 บาท อัตราส่วน 3 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่) ส่วนผู้ประกอบการที่เหลือ คาดว่าจะเป็นผู้ให้บริการ 3G รายย่อย ที่อาจจะให้บริการเฉพาะด้าน เช่น Mobile Internet Mobile Multimedia และ Mobile TV โดยจะต้องเช่าโครงข่ายจากผู้ที่ชนะการประมูลหลัก เนื่องจาก กทช. เปิดช่องให้ผู้ประกอบการหลักต้องยินยอมให้ผู้ประกอบการรายย่อยร่วมใช้โครงข่ายได้ (ต้องจ่ายค่าเช่า) ภายใต้เงื่อนไข Mobile Virtual Network Operators หรือ MVNO ตามที่ กทช. กำหนด ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่าภายในวันที่ 30 ก.ย. จะทราบผลการประมูล 3G จึงเชื่อว่าระหว่างการประมูลใบอนุญาต 3G น่าจะสร้างความสนใจให้กับหุ้นสื่อสารที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจ 3G ทั้งรายหลัก และรายย่อย