ข่าว ข่าววันนี้ ตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาล พรีเมียร์ลีก ตรวจหวย ข่าวบันเทิง ฟังเพลงออนไลน์ วิเคราะห์บอล ทีวีออนไลน์

อ่านข่าวย้อนหลัง

เมนูข่าว

การเงิน และการลงทุนทั้งหมด

แสดง 5351 - 5,375 จาก 32,893 ข่าว

บอร์ดสิ่งแวดล้อมตัด 3 กิจการจากบัญชี 18 กิจการรุนแรง

นายแพทย์มารุต มัสยวาณิช รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเกี่ยวกับกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายเสนอมาเพื่อแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จำนวน 18 กิจการ ทั้งนี้ที่ประชุมได้พิจารณาตัดกิจการที่อยู่ในกิจการประเภทรุนแรงออกทั้งสิ้น 3 กิจการ คือ กิจการเกี่ยวกับการชลประทาน กิจการการพัฒนาลุ่มน้ำหลักเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสิ่งกีดขวางกั้นลำน้ำ และกิจการเกี่ยวกับการสูบเกลือใต้ดิน                

47 0

ส่งออกไปจีนเดือน ก.ค..ชะลอความร้อนแรงลง

ส่งออกไปจีนเดือน ก.ค..ชะลอความร้อนแรงลง...ฉุดไทยขาดดุลกับจีนเพิ่มขึ้น 110.5% ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า การส่งออกของไทยไปจีนในเดือนกรกฎาคม 2553 ส่อแววอ่อนแรงต่อเนื่องด้วยอัตราการเติบโตร้อยละ 29.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ที่แม้จะใกล้เคียงกับร้อยละ 26.3 ในเดือนก่อนหน้า แต่ก็ยังคงต่ำกว่าระดับร้อยละ 39.4 ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่การนำเข้ายังคงเติบโตสูงที่ระดับร้อยละ 40.1 แต่ก็ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับการเติบโตในเดือนมิถุนายนที่ระดับร้อยละ 62.1 ซึ่งจากการที่อัตราการเติบโตของการนำเข้าสูงกว่าภาคการส่งออกค่อนข้างมาก ส่งผลไทยขาดดุลการค้าให้แก่จีนสูงถึง 409.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนกรกฎาคม เดือน ก.ค. : การนำเข้าชะลอแรงกว่าการส่งออก...ส่งผลมูลค่าขาดดุลเพิ่มขึ้นเท่าตัวสถานการณ์การค้าระหว่างไทย-จีน ในเดือนกรกฎาคม เป็นไปในทิศทางที่ชะลอความร้อนแรงลงเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน โดยมีมูลค่าการส่งออก 1,691.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ  29.6 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า  ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว  ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า  2,101.0  ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2552 โดยชะลอลงเมื่อเทียบกับการเติบโตในเดือนมิถุนายนที่ขยายตัวร้อยละ 62.1  โดยทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราการเติบโตในเดือนกรกฎาคมของการนำเข้าสูงกว่าการส่งออกอย่างชัดเจน  ส่งผลให้มูลค่าขาดดุลการค้าของไทยต่อจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 110.5 (YoY) หรือคิดเป็นเม็ดเงินขาดดุลการค้า 409.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2552 ที่มีมูลค่า 194.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ    แม้ว่าสถานการณ์การค้าระหว่างไทยกับจีนในช่วงที่ผ่านมา จีนจะมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นในฐานะตลาดส่งออกรายใหญ่ของไทย และล่าสุดจีนได้กลายเป็นตลาดส่งออกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแทนที่สหรัฐฯไปแล้ว  แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานการณ์การค้าระหว่างไทย-จีนมักเป็นไปในลักษณะที่ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมาโดยตลอด ซึ่งในช่วงครึ่งแรกปี 2553 ไทยได้เสียดุลการค้าให้กับจีนไปแล้วถึง  1,319.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสูงกว่ายอดขาดดุลการค้าทั้งปี 2552 ที่มีมูลค่า 909.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  จึงมีความเป็นไปได้ว่า หากการขยายตัวของภาคการส่งออกไทยไปจีนชะลอตัวแรงกว่าการนำเข้าอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2553 ยอดขาดดุลการค้าของไทยต่อจีนในปี 2553 อาจะสูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับรายการสินค้าส่งออกสำคัญที่มีการชะลอตัวลงในเดือนกรกฎาคม ได้แก่ ยางพารา เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ โดยผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งยังคงหดตัวต่อเนื่องในระดับ  46.8 YoY ซึ่งการชะลอของรายการสินค้าดังกล่าวป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแรงลง เนื่องด้วยนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นของทางการจีนเพื่อควบคุมความร้อนแรงทางเศรษฐกิจและภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังคงดำเนินการต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2553  ขณะที่รายการสินค้านำเข้าที่มีการชะลอตัวลงได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า  และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ครึ่งหลังมีแนวโน้มอ่อนแรง...แต่คาดว่าจีนยังคงเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย การส่งออกของไทยไปตลาดจีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากครึ่งปีแรกที่ขยายตัวร้อยละ 47.8 ส่วนหนึ่งเนื่องจากฐานเปรียบเทียบในช่วงครึ่งหลังปี 2552 ที่ปรับสูงขึ้น รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงจากภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งหลังปี 2553 ที่อาจจะมีการปรับฐานลงจากที่เคยขยายตัวอย่างร้อนแรงในช่วงต้นปี 2553  ซึ่งบ่งชี้ได้จากดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจภายในของจีนในเดือน กรกฎาคม 2553 ที่ต่างส่งสัญญาณชะลอตัวในทิศทางเดียวกันเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2553  อันเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการเข้มงวดในภาคอสังหาริมทรัพย์ การควบคุมอุตสาหกรรมที่สิ้นเปลืองพลังงานและปล่อยมลพิษสูง และการชะลอโครงการลงทุนของรัฐบาล ทำให้ความต้องการนำเข้าของจีนอ่อนแรงลง และส่งผลต่อเนื่องให้สินค้าส่งออกของไทยไปจีนเพื่อสนองความต้องการบริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ เป็นต้น นอกจากนี้ การที่ภาคส่งออกของจีนมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ตามปัจจัยเสี่ยงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศที่ยังไม่มั่นคงนัก โดยเฉพาะวิกฤตหนี้สินในยุโรปที่ยังคงต้องอาศัยระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา อาจจะส่งผลให้ความต้องการนำเข้าของจีนจากไทยเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกซบเซาลงตามไปด้วย เช่น คอมพิวเตอร์/ส่วนประกอบ พลาสติก เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เป็นต้น ขณะเดียวกันการแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อช่วงชิงกำลังซื้อของผู้บริโภคคนจีนที่ได้กลายเป็นเค้กก้อนใหญ่ที่ประเทศคู่แข่งของไทยต่างก็หวังหมายปองด้วยเช่นกัน ก็นับเป็นปัจจัยเสี่ยงทางการค้าในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่ยังคงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงความผันผวนของราคาวัตถุดิบ และอัตราแลกเปลี่ยนที่ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยด้วย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจจีนยังมีแรงกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งพัฒนาภาคตะวันตก และการสนับสนุนการใช้รถยนต์ประหยัดพลังงาน ทำให้คาดว่าการบริโภคและการลงทุนภายในจีนยังมีแรงขับเคลื่อนให้เติบโตต่อไปได้ และจีนจะยังคงเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อภาคการส่งออกของไทยในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2553  อันเนื่องมาจากปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ดังนี้ สถานภาพทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2553  ที่ยังคงเข้มแข็งเหนือประเทศอื่นๆในตลาดโลก  โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้มีการประเมินว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ยังคงเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักที่ระดับประมาณร้อยละ 10.5  เนื่องจากทางการจีนยังคงดำเนินมาตรการที่มุ่งเน้นการรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยให้ยังมีความต้องการภายในประเทศ อันจะนำไปสู่การรักษาเสถียรภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสมดุลและยั่งยืน ในทางภูมิศาสตร์ที่ตั้ง ประเทศไทยนับเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของเอเชียอาคเนย์ บ่งชี้ได้จากการที่ ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเดียวที่เป็นสมาชิกทั้ง 6 กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ IMT-GT ทางตอนใต้ของไทย(ไทย-อินโดนีเซีย-มาเลเซีย) สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ UPMEC ทางตอนเหนือของไทย(ไทย-พม่า-ลาว-จีนตอนใต้) ห้าเหลี่ยมเศรษฐกิจ ACMEC (ไทย-พม่า-ลาว-กัมพูชา-เวียดนาม) หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ GMS-EC ทางตะวันตกของไทย(ไทย-ลาว-พม่า-กัมพูชา-เวียดนาม-จีนตอนใต้) เจ็ดเหลี่ยมเศรษฐกิจ BIMSTEC ตะวันตกของไทย(ไทย-บังคลาเทศ-อินเดีย-พม่า-ศรีลังกา-เนปาล-ภูฏาน)  และแปดเหลี่ยมเศรษฐกิจ PBPWEC (ไทย-จีน(กวางซี+กวางตง+ไห่หนัน)-เวียดนาม-ฟิลิปปินส์-บรูไน-มาเลเซีย-สิงคโปร์-อินโดนีเซีย) ทำให้ไทยจึงเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในการเชื่อมโยงกับทุกประเทศในเอเชีย รวมถึงประเทศจีนด้วย ช่องทางการค้าไทย-จีนมีเพิ่มขึ้นมาก จากเดิมที่สินค้าส่งเข้าจีนส่วนใหญ่จะผ่านมณฑลกว่างตง คิดเป็นสัดส่วนถึงกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณการค้าโดยรวม  แต่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาได้มีการกระจายเข้าไปสู่เมืองชายฝั่งทะเลอื่นๆ ของจีนมากขึ้น ได้แก่ ซ่างไห่ เซียะเหมิน หนิงโป ชิงเต่า หรือแม้แต่เมืองเทียนจินและต้าเหลียนซึ่งอยู่ทางเหนือของจีนเองก็มีการเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น  และล่าสุดก็ได้มีการเพิ่มเส้นทางการขนส่งทางบกอีกสองช่องทาง คือ เส้นทางคุนมั่นกงลู่หรือ R3A(กรุงเทพฯ-เชียงราย-เชียงของ-เมืองลา-ต้าลั่ว-จิ่งหง-คุนหมิง) และเส้นทางผ่านลาวและเวียดนามเพื่อเข้าจีนที่ด่านเมืองผิงเสียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ที่น่าจะช่วยให้การค้าระหว่างไทยจีนขยายตัวได้อีกมาก ซึ่งในปี 2552 ที่ผ่านมา ยอดค้าปลีกของเมืองคุนหมิงมีมูลค่าถึง 86.5 พันล้านหยวน หรือประมาณ 12,665 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ยอดค้าปลีกของเขตปกครองกว่างซีจ้วงมีมูลค่า 193.3 พันล้านหยวน หรือประมาณ 28,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงนับเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีความน่าสนใจไม่น้อย ขณะที่มูลค่าการส่งออกผ่านชายแดนระหว่างไทย-จีนตอนใต้ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2553 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 292.2 ในรูปเงินบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าการส่งออกโดยรวมของไทยไปยังจีนในช่วงเวลาดังกล่าวที่เติบโตเพียงร้อยละ 37.9 ในรูปเงินบาท อีกทั้งยังมีการได้เปรียบดุลการค้าเพิ่มขึ้นด้วย จากเม็ดเงินเพียง 196.5 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกปี 2552 เป็น 3,617.1 ล้านบาทในครึ่งแรกปี 2553 โครงสร้างขนาดการผลิตสินค้าไทยที่เหมาะสม เพราะแม้จะเป็นขนาดเล็กและกลาง (SME) แต่ก็สามารถเน้นผลิตสินค้าคุณภาพและมาตรฐานสูงเป็นสำคัญได้ จนส่งเสริมให้ภาพลักษณ์สินค้าไทยก้าวสู่ตลาดระดับบน (High-End) และได้รับการยอมรับจากนานาประเทศโดยเฉพาะแถบเอเชีย นอกจากนี้ สินค้าไทยยังเป็นสินค้าต่างประเทศที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูงในกลุ่มผู้บริโภคคนจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ลูกค้าวัยรุ่นที่มีกำลังซื้อสูงเป็นพิเศษที่ถูกขนานนามว่า'จักรพรรดิองค์น้อย' ซึ่งการเน้นผลิตสินค้าคุณภาพมาตรฐานสูงดังกล่าว จะทำให้สินค้าไทยกลายเป็นสินค้าที่มีความแตกต่างเหนือสินค้าจีน FTA ASEAN-CHINA ที่เริ่มลดภาษีเหลือศูนย์ทั้งหมดตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 ก็น่าจะมีส่วนช่วยให้การค้าขายสินค้าระหว่างไทยกับจีนมีโอกาสที่จะขยายตัวได้มากกว่าเดิมยิ่งขึ้นบทสรุป แม้ว่าสถานการณ์การค้าระหว่างไทยกับจีนในช่วงที่ผ่านมา จีนจะมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นในฐานะตลาดส่งออกรายใหญ่ของไทย และล่าสุดจีนได้กลายเป็นตลาดส่งออกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแทนที่สหรัฐฯไปแล้ว  แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า สถานการณ์การค้าระหว่างไทย-จีนมักเป็นไปในลักษณะที่ไทยขาดดุลการค้ากับจีนมาโดยตลอด โดยเฉพาะในปี 2551 ที่มีมูลค่าขาดดุลสูงสุดถึง 3,965.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ซึ่งในช่วงครึ่งแรกปี 2553 ไทยได้เสียดุลการค้าให้กับจีนไปแล้วถึง  1,319.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่ายอดขาดดุลการค้าทั้งปี 2552 ที่มีมูลค่า 909.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงกรอบประมาณการอัตราการเติบโตของการส่งออกในปี 2553 ที่ร้อยละ 25-30  ขณะที่ประเมินว่าการนำเข้าน่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40  ดังนั้น หากการขยายตัวของภาคการส่งออกระหว่างไทย-จีนชะลอตัวแรงกว่าการนำเข้าอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2553  อาจทำให้ในปี 2553 ไทยต้องเผชิญกับปัญหาการขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่าเท่าตัวแน่นอน  หรือมีความเป็นไปได้ว่า ยอดขาดดุลการค้าของไทยต่อจีนในปี 2553 อาจสูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม จากการค้าผ่านแดนระหว่างไทย-จีนตอนใต้ที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในปี 2553 เพราะนอกจากจะเป็นตลาดที่มีเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วจากอานิสงส์ของแผนพัฒนาพื้นที่ในเขตเศรษฐกิจอ่าวเป่ยปู้-กว่างซี และแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อยกระดับมณฑลหยุนหนานให้เป็นประตูสู่อาเซียนของทางการจีน ที่ส่งผลให้ประชาชนในเขตเมืองดังกล่าวที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นแล้ว เครือข่ายเส้นทางคมนาคมทางบกระหว่างไทยและจีนตอนใต้ก็มีความสะดวกเพิ่มมากขึ้น ทำให้การค้าผ่านแดนระหว่างไทย-จีนมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก และหากไทยมีการพัฒนาลู่ทางทางการค้าในตลาดมณฑลทางตะวันตกของจีนมากขึ้น ก็อาจจะมีส่วนช่วยลดช่องว่างการขาดดุลการค้าระหว่างไทยและจีนให้น้อยลงก็เป็นไปได้ แต่ทั้งนี้  ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเน้นยกระดับการผลิตสินค้าคุณภาพและมาตรฐานสูงให้ได้ดีมากยิ่งๆ ขึ้นด้วย เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์และรักษาความแตกต่างสินค้าไทยให้เหนือสินค้าจีนแล้ว ยังจะมีผลให้สินค้าไทยมีโอกาสเติบโตมากขึ้นในตลาดจีนที่นับวันจะมีจำนวนผู้มีรายได้สูงเพิ่มมากขึ้น และต้องการสินค้าที่ดีมีคุณภาพสูงขึ้นตามไปด้วย ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  

1091 0

อัตราเงินเฟ้อสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 3.1%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  กระทรวงสถิติแห่งชาติสิงคโปร์เปิดเผยวันนี้ว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 3.1% จากเดือนเดียวกันปีก่อน หลังราคาน้ำมันที่สูงขึ้นส่งผลให้ค่าไฟเพิ่มขึ้น โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจสิงคโปร์ในช่วงครึ่งปีแรกได้ส่งผลให้การจ้างงานและการใช้จ่ายผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และยังกระตุ้นให้รัฐบาลฯเพิ่มประมาณการจีดีพีในปีนี้ถึง 3 ครั้ง ธนาคารกลางสิงคโปร์ระบุเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 'เมื่อพิจารณาจากอัตราค่าจ้างแรงงานที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2010 จนถึงปี 2011 เราเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง' นายคิต เหวย เจิงนักเศรษฐศาสตร์ที่ซิตี้กรุ๊ปกล่าว

18 0

กลุ่มซีไอเอ็มบีอัดเม็ดเงิน 1.1 หมื่นลบ. ผุดระบบ Core Banking

รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้กลุ่มซีไอเอ็มบีเปิดตัวโครงการ 1 Platform ซึ่งเป็นโครงการสร้างระบบ Core Banking มาตรฐานร่วมสำหรับธุรกิจของซีไอเอ็มบีในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และประเทศไทย โดยได้ทำพิธีลงนามในสัญญากับผู้จัดหาเทคโนโลยี 4 รายได้แก่ Silverlake Axis, Accenture, IDS Scheer และ IBM ด้วยเงินลงทุนกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท (หรือประมาณ 1.1 พันล้านริงกิตมาเลเซีย) และใช้เวลาดำเนินโครงการ 5 ปี โครงการ 1Platform ถือเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในโครงการปรับเปลี่ยนองค์กรและการดำเนินงานครั้งใหญ่ (Transformation) ระดับภูมิภาคของกลุ่ม ซึ่งมีขนาดลงทุนรวมทั้งสิ้นถึงกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท (หรือประมาณ 2.1 พันล้านริงกิต) โดยส่วนอื่นๆอีก 4 ส่วนที่สำคัญ ได้แก่ระบบการจัดการและรายงานทางการเงิน ระบบบริหารทรัพยากรบุคคลครบวงจร ระบบการบริหารงานขายส่วนหน้า (Front-end) ใหม่ทั้งระบบ และระบบ Transaction Banking ระดับภูมิภาค ดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า “การลงทุนในกระบวนการ Transformation ส่วนที่เป็น 1Platform เป็นโครงการสำคัญที่สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นของกลุ่มซีไอเอ็มบีในการสร้างให้เกิดระบบและกระบวนการภายในที่เป็นมาตรฐานหนึ่งเดียวสำหรับซีไอเอ็มบีทั่วภูมิภาค โครงการ 1Platform เป็นฐานสำคัญสำหรับการวางกรอบการดำเนินงานและระบบไอทีระดับภูมิภาคของกลุ่ม ซึ่งทำให้ทุกๆกิจการในกลุ่มดำเนินงานภายใต้ระบบเดียวกันจนเป็นธนาคารระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพในการแข่งขันอย่างแท้จริง จากการลงนามในสัญญาวันนี้ กลุ่มซีไอเอ็มบีก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มดำเนินการตามโครงการ 1Platform ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” ในพิธีลงนามในสัญญา ได้มีการแต่งตั้ง Silverlake Axis ซึ่งเป็นผู้จัดหาระบบ IT Solutions ระดับโลกจากประเทศมาเลเซียเป็นผู้จัดหาระบบ Core Banking ให้กับกรุ๊ป ในขณะที่ IDA Scheer จะเป็นผู้จัดหาระบบด้านการบริหารจัดการกระบวนการธุรกิจ ส่วน IBM เป็นผู้วางฐานระบบไอที และ Accenture จะเป็นที่ปรึกษาหลักในการบริหารโครงการ ผู้เข้าร่วมในพิธีลงนามวันนี้ยังประกอบด้วย Mr. Goh Peng Ooi ประธานกรรมการของ SilverlakeAxis; Mr. Thean Nam Yew กรรมการผู้จัดการด้านการเงินประจำภูมิภาคอาเซียนของ Accenture Solutions; Mr. Lars Bengtsson กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียนของ IDS Scheer; และ Mr. Ramanathan Sathiamutty กรรมการผู้จัดการ IBM ประจำมาเลเซีย เนื่องจากโครงการ 1Platform มีขนาดใหญ่และครอบคลุมขอบเขตงานกว้างมาก การดำเนินโครงการจะแล้วเสร็จทีละประเทศ โดยเริ่มจากประเทศไทย ที่ธนาคาร       ซีไอเอ็มบี ไทย ตามด้วยมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ตามลำดับ คาดว่าทุกธุรกิจภายใต้กลุ่มซีไอเอ็มบีจะใช้ระบบเดียวกัน คือ 1Platform ภายในปี 2558 ดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค  กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนงานโดยรวมของกลุ่มซีไอเอ็มบีว่า การสร้างกรอบและระบบการดำเนินงานและไอทีให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งภูมิภาค จะทำให้ทุกธุรกิจของซีไอเอ็มบีสามารถผสานจุดแข็งของกันและกันได้ดีขึ้นโดยอาศัยโมเดลธุรกิจระดับภูมิภาคดังกล่าว นอกเหนือไปจากสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานจากการประสานทักษะความสามารถของแต่ละธุรกิจของกลุ่มซีไอเอ็มบี ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั้งหมด  ซึ่งจะช่วยให้พนักงานของเราสามารถผูกผลิตภัณฑ์และจำหน่ายข้ามผลิตภัณฑ์ได้อย่างราบรื่น “นับเป็นโจทย์หรือแบบฝึกหัดครั้งสำคัญสำหรับกลุ่มซีไอเอ็มบี ซึ่งเราก็ไม่ประมาทหรือประเมินความยากความซับซ้อนของโครงการต่ำเกินไป ทางกลุ่มจะทุ่มเททรัพยากรที่จำเป็นให้กับโครงการอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการประกันความสำเร็จ ทั้งนี้ ปัจจุบันเราใช้พนักงานกว่า 300 คนทำงานให้กับ Transformation ระดับภูมิภาคนี้เต็มเวลาอยู่แล้ว คาดว่าจำนวนคนที่ต้องใช้จะเพิ่มเป็นเท่าตัวในเฟสต่อไป” “โครงการ 1Platform และโครงการ Transformation อื่นๆ จะส่งผลชัดเจนในอีก 4-5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เราต้องการดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าเรากำลังสร้างสถาบันธนาคารที่จะมั่นคงยืนยงไปอีกนาน…ยาวนานกว่าอายุการทำงานของพวกเราพนักงานทั้งหลายในองค์กร” ดาโต๊ะ ศรี นาเซียร์ ราซัค กล่าวในที่สุด Iswaraan Suppiah, Head of Group Information and Operations ของกลุ่มซีไอเอ็มบีกล่าวเสริมว่า “ทางกลุ่มรู้สึกตื่นเต้นกับการปรับเปลี่ยนองค์กรครั้งใหญ่นี้ โครงการ 1Platform จะเป็นการปฏิวัติระบบและกระบวนการทำงานของเรา ทั้งยังจะเป็นตัวช่วยผลักดันภารกิจตามวาระระดับภูมิภาคที่เราได้วางไว้อีกด้วย” “ทั้ง Silverlake Axis, Accenture, IDS Scheer และ IBM ต่างก็มีประสบการณ์อันเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในการทำโครงการวางระบบเทคโนโลยีครบวงจรขนาดใหญ่ๆมามาก ประกอบกับกลุ่มซีไอเอ็มบีได้มีการทำวิจัยและพัฒนาในเรื่องนี้มาถึงสองปี รวมทั้งมีประสบการณ์ในการขับเคลื่อนโครงการระดับภูมิภาคมาแล้ว ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถดำเนินโครงการ 1Platform ให้ประสบความสำเร็จได้ด้วยดี” Iswaraan Suppiah กล่าวเสริม                

24 0

TMB เปิดบัญชีกระแสรายวันฟรีค่าธรรมเนียม

TMB เปิดตัวผลิตภัณฑ์ TMB SME No Fee - Max มาตรฐานใหม่ที่ให้ SME ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอีกต่อไป หลังพบว่าลูกค้ากลุ่ม SME ยังมีความต้องการด้านการเงินที่ยังไม่ได้รับการตอบโจทย์ที่ดีพอจากสถาบันการเงิน  จึงนำเสนอบัญชีกระแสรายวันฟรีค่าธรรมเนียม TMB SME No Fee -  Max ที่ให้ความสะดวกในการฝาก  ถอน  โอน  ทั่วไทย โดยใช้ผ่านบัตรเอทีเอ็ม SME  No  Fee  Max Card  ที่เครื่องเอทีเอ็มและเครื่องฝากเงินอัตโนมัติ(ADM ) ทำรายการได้สูงสุด 40 รายการต่อเดือน นายปพนธ์ มังคละธนะกุล  เจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจลูกค้าเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า  “บัญชีกระแสรายวันฟรีค่าธรรมเนียม TMB SME No Fee – Max และบัตรเอทีเอ็ม SME  No  Fee  Max Card ที่ใช้ควบคู่กันนี้  ผมเชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมาตรฐานใหม่เพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้า SME ที่กำลังมองหาความสะดวก  รวดเร็ว  ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมไปพร้อมๆกัน  TMB พยายามอย่างยิ่งที่จะแสวงหาบริการที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ได้ตรงตามความต้องการมากที่สุด  เราทำการวิจัยศึกษาพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละกลุ่มตลอดเวลาและมีการพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง  ทั้งนี้เพื่อให้ได้บริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า TMB SME No Fee -  Max และบัตร SME  No  Fee  Max Card ก็เป็นอีกหนึ่งบริการที่เราทุ่มเทอย่างมาก” บัญชีกระแสรายวันฟรีค่าธรรมเนียม TMB SME No Fee– Max เหมาะสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการความสะดวกในการทำธุรกรรมกับคู่ค้าโดยใช้ช่องทาง ATM  ไม่ว่าจะเป็นการฝาก  ถอน  โอนเงิน  ทั่วไทยรวมถึงชำระค่าสาธารณูปโภค  เพราะบัญชีนี้สามารถใช้ได้กับบัตรเอทีเอ็ม SME No  Fee  Max Card  สำหรับการทำธุรกรรมทางเครื่องเอทีเอ็มและเครื่องฝากเงินอัตโนมัติ (ADM) สามารถทำรายการฟรี สูงสุด 40 รายการต่อเดือน  โดยธนาคารไม่คิดค่าธรรมเนียมใดๆ เพียงคงเงินฝากขั้นต่ำในบัญชี ดังนี้   แพ็คเกจ Max 20 เหมาะสำหรับลูกค้าที่ทำธุรกรรมไม่เกิน 20 รายการต่อเดือน  โดยรักษายอดเงินขั้นต่ำในบัญชี 20,000 บาท  และแพ็คเกจ Max 40 สำหรับลูกค้าที่ทำธุรกรรมสูงถึง 40 รายการต่อเดือน  โดยรักษายอดเงินขั้นต่ำในบัญชี 40,000 บาท นอกเหนือจาก ฟรีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบน ATM และ ADM สูงสุด 40 รายการต่อเดือนแล้ว   เมื่อเปิดบัญชีจะได้รับสมุดเช็ค ฟรี 20 ฉบับ  พร้อมรับสิทธิ ซื้อเช็ค 1 แถม 1 เล่มทุกครั้ง ตลอดการใช้บัญชี

1390 0

บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 23/08/53

Market Recap and Trend: แม้ GDP 2Q53 จะยังขยายตัวดีต่อเนื่อง...แต่ Upside ของ SET เริ่มจำกัดมากขึ้นๆ แล้ว แม้ว่าตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่จะปรับลดลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ด้วยกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ SET ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องอีก 0.31% ที่ 893.92 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นต่อเนื่อง 40,235 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นสุทธิ 1,870 ล้านบาท สำหรับ SET ในระยะสั้นมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยบวกมาจากการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม Upside ของ SET เริ่มจำกัดเมื่อพิจารณาจากเป้าหมายทางพื้นฐานที่ 920 จุด ทั้งนี้ค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 31.5 บาท/ดอลลาร์ฯ เช้านี้ ยังถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อแนวนั้มการไหลเข้าของเงินทุน และการปรับสูงขึ้นของ SET อย่างไรก็ตามแม้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP 2Q53 ที่จะประกาศเช้าวันนี้โดยสภาพัฒน์ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ช่วง 6-8% หรือสูงต่อเนื่องจาก 1Q53 ที่ขยายตัว 12% แต่เมื่อเราพิจาณราจากเป้าหมายทางพื้นฐานของ SET ที่ 920 จุด (อิงวิธี Bottom-Up) จะเห็นว่า SET มี Upside ค่อนข้างจำกัดมากในปัจจุบัน และถ้าพิจารณาจากหุ้นภายใต้ AYS Coverage จะเห็นว่ามีจำนวนหุ้นมากถึง 49% ที่ราคาหุ้นเต็มมูลค่าไปแล้วและมีจำนวนหุ้นเพียง 25% เท่านั้นที่ยังให้ Upside Gain มากกว่า 10%Investment Strategy: ติดตามทิศทางการไหลเข้าของเงินทุนอย่างใกล้ชิด และเลื่อนจุด Trailing Stop ขึ้นมาที่ 875 จุด เนื่องจากเรามองว่า SET ที่ระดับปัจจุบันเริ่มมี Upside ที่ค่อนข้างจำกัดมาก ทำให้เราคงแนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุนช่วงนี้มากขึ้น และติดตามทิศทางการไหลเข้าของเงินทุน หรือทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทใกล้ชิดมากชึ้น ขณะที่ยังจำเป็นต้องตั้งจุด Trailing Stop ไว้ต่อเนื่องเพื่อจำกัดความเสี่ยงจากการพักฐานของ SET ในระยะสั้นทั้งนี้เราเลื่อนจุด Trailing Stop ขึ้นมาที่ 875 จุด จากสัปดาห์ที่แล้วที่ 870 จุด โดยในกรณีที่SET ปิดตลาดต่ำกว่า Trailing Stop เราแนะนำนักลงทุนลดสัดส่วนหุ้นในพอร์ตเหลือ 60%จาก 80% ของพอร์ต สำหรับประเด็นโครงการลงทุน 18 ประเภทที่มีความรุนแรงที่จะมีข้อสรุปวันนี้มองว่าเป็นปัจจัยบวกในเชิง Sentiment ต่อ PTT, PTTCH, และ SCC เท่านั้น...สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่...... • PSL – ค่าระวางเรือปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าผลการดำเนินงานจะผ่านจุดต่ำสุดในปีนี้จำนวนเรือที่เพิ่มขึ้นในปีหน้าจะหนุนกำไรขยายตัว 17%Futures Strategy : ถือ สถานะ LONG โดยคงจุด Trailing Stop ไว้ที่ 603 จุด ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน (ดูรายละเอียดใน Derivative Strategy)AUTO : เพิ่ม MAKRO, TUF และ KBANK เข้ามาในกลุ่มหุ้น Top PicksRecommended Portfolio: พอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทน +4.4% ดีกว่าอัตราผลตอบแทน SET ที่ +3.7% (Update วันที่ 23 ส.ค. 53) พอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทน +4.4% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ SET มีอัตราผลตอบแทน +3.7% หรือพอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า SET อยู่ 0.7% ในขณะที่ถ้าพิจารณาตั้งแต่จัดทำพอร์ตจำลอง (ก.ย. 49) มีอัตราผลตอบแทน +223% ดีกว่าตลาดที่ให้อัตราผลตอบแทน +27.4% อยู่ 153% ขณะที่ถ้าพิจารณาตั้งแต่ต้นปีพอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทน 40.2% ดีกว่าผลตอบแทน SET ที่ 21.7% อยู่ 18.5% โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา CPALL และ ADVANC เป็นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนสูงที่สุดในพอร์ตหรือมีอัตราผลตอบแทน +9.2% และ 4.6% ตามลำดับ…สำหรับสัปดาห์นี้ถือหุ้นทั้ง 4 ตัวต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ได้แก่ STANLY (ได้รับผลดีจากหอุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้นตัว) BBL (ได้ปรับประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจขยายตัวโดยตรงผ่านการขยายตัวสินเชื่อ และรายได้ค่าธรรมเนียม) CPALL (การขยายสาขา และเพิ่มกำไรขั้นต้นส่งผลดีต่อผลการดำเนินงาน) ADVANC (มีปัจจัยบวกจากความชัดเจนมาขึ้นกรณีสัมปทาน 3G)ตลาดต่างประเทศ และประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในตลาดโลก ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลงดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 0.56% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง0.37% โดยหุ้นฮิวเล็ตต์-แพ็คการ์ด ถ่วงดัชนีดาวโจนส์มากที่สุด หลังโบรกเกอร์หลายรายได้ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นของบริษัท อันเนื่องมาจากความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์สำหรับผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยี ขณะที่ข้อมูลด้านการจ้างงานและการผลิตในภูมิภาคที่อ่อนแอ ยังคงเป็นประเด็นสำคัญ ขณะที่นักลงทุนพูดถึงประเด็นที่ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะชะลอความแรงมากเพียงใด ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดลดลง ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ย. ปิดลดลง 97 เซนต์ หรือ 1.3% มาปิดที่ 73.46 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐในสัปดาห์ที่ แล้วทำให้เกิดความไม่แน่ใจต่อความสามารถของสหรัฐที่จะใช้สต็อกน้ำมันที่มีจำนวนสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ นอกจากนี้ การฟื้นตัวที่เปราะบางอยู่แล้วของเศรษฐกิจสหรัฐยังเผชิญแรงกดดันใหม่ หลังจากผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกมีจำนวนเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนในสัปดาห์ที่แล้ว และภาคการผลิตในเขตมิด-แอตแลนติกหดตัวลงในเดือน ส.ค.ซึ่งทำให้ตลาดวิตกถึงอันตรายจากภาวะอุปทานที่มีมากเกินไป ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบสกุลเงินหลัก ดอลลาร์ปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนมีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก และการร่วงลงของราคาหุ้นก็ส่งผลให้นักลงทุนหันมาสนใจดอลลาร์ในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย ขณะเดียวกัน ยูโรร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 สัปดาห์หลังนายอเล็กซ์ วีเบอร์ สมาชิกสภาบริหารธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ECB ควรจะขยายนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับความอ่อนแอทางเศรษฐกิจมากขึ้นต่อไปในยูโรโซน นอกจากนี้ ดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับเยน โดยมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าทางการญี่ปุ่นอาจจะดำเนินการเพื่อสกัดการแข็งค่าของเยน ดัชนีค่าระวางเรือเทกองปิดเพิ่มขึ้น 112 จุดมาที่ 2756 จุด ความต้องการขนส่งสินค้าเกษตรลดลงตามปัจจัยฤดูกาล กอปรกับกองเริ่มใหม่เพิ่มเข้ามา ยังคงกดดันให้ค่าระวางเรือมีแนวโน้มอ่อนตัวลงในระยะนี้ โดยภาพรวมทิศทางค่าระวางเรือจนถึงสิ้นปีนี้ยังคงถูกกดดันโดยอุปทานกองเรือใหม่ที่เพิ่มเข้ามา โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้มีกองเรือใหม่เพิ่มขึ้นแล้วกว่า12% ของ DWT เรือทั้งหมดที่มีกำหนดส่งมอบ ซึ่งหากมีการส่งมอบตามกำหนดการ จะมีจำนวนกองเรือที่เพิ่มขึ้นจนถึงปี 55 คิดเป็น DWT เพิ่มขึ้นกว่า 57% ของกองเรือที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน                

12961 0

บล.ทิสโก้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 23/08/53

สรุปภาวะตลาดวันก่อน SET ปิด  +2.69 จุด  หรือ  +0.3%  มาที่ 893.92 จุด  ด้วยมูลค่าซื้อขาย  40,235.02  ล้านบาท ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยี +1.15%, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +0.45%, กลุ่มแบงก์ +0.36%, กลุ่มพลังงาน -0.31%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง +0.02%, กลุ่มอาหาร +1.28%  คาดว่าแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่มีเข้ามาต่อเนื่องเป็นปัจจัยหนุนต่อตลาด หลังมองเศรษฐกิจเอเชียยังขยายตัวได้ดี ท่ามกลางความวิตกเศรษฐกิจของสหรัฐที่การฟื้นตัวอาจจะยืดออกไป & 61550;ทิศทางตลาดวันนี้ แนวโน้ม เดือน ก.ย.53 ;  SET  ปิดเหนือ  860  จุด ยัง Confirm ขึ้นต่อเป้า  900 , 925  จุดตราบใด  SET  ยังปิดเหนือ  860  จุด  แนวโน้มยังขึ้นต่อแบบ  Bearish Divergence  ( ขึ้นแบบผันผวน )  เป้า  900 , 925  จุด  มี  Cycle Peak   ประมาณ  1-10  ก.ย. 53  แนวโน้มวันนี้  คาด  SET  เปิดลงทดสอบแนวรับ  890  จุด หากยืนได้เหนือ  890  จุดจะดีดกลับแต่ไม่น่าเกินแนวต้านที่  900 , 905  จุด  – กรณีลงต่ำกว่า  890  จุดจะลงต่อเนื่องทดสอบแนวรับที่ 884 , 880  จุด  -  ภาพรวมคาด  SET  ทรงกับลงปิด  GAP 2-3  วันไม่ต่ำกว่าแนวรับ  875  จุด แล้วขึ้นต่อ กลยุทธ์การลงทุน  ; 1. Port ลงทุน ;  ขายลด Port ถือเงินสด ที่  900 , 925  จุด – Cycle Peak  1-10 ก.ย. 53 2. Port เก็งกำไร ;  ขึ้นขาย  900 , 905  จุด ลงรอซื้อ   884 , 880  จุด 3.  หุ้นแนะนำ ;  PTT , GLOW , BCP , SCC , TASCO , SCB , KBANK , ADVANC , DTAC , CK , SEAFCO , ROBINS , BIGC , PHATRA , ASP  4. กรณี SET แย่กว่าคาดคือ SET  ขึ้นไม่ถึง  900 , 925  จุดหรือจบรอบก่อน 1-10 ก.ย. กำหนดจุดขายตัดขาดทุนหาก  SET  ลงปิดต่ำกว่า  870 , 860  จุด ( ยิ่งลงยิ่งขาย ) โดยจุดที่ Confirm  เปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลงคือปิดต่ำกว่า  860  จุด ลงได้ถึง  820  จุด                

9260 0

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 23/08/53

กลยุทธ์การลงทุน ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสย่อตัวเพื่อรอผลการประชุม กนง. วันนี้ แม้ยังมี Fund Flow หนุน แต่คาดว่าดัชนี 900 จุด ยังเป็นแนวต้านระยะสั้น ด้วยตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังจาก PER วิ่งขึ้นไปแตะ 14 เท่า แนะนำให้เลือกซื้อหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตในปี 2554 PER ต่ำกว่า 10 เท่า พร้อมมีเงินปันผลต่อเนื่อง ในกลุ่มพลังงาน (BANPU, LANNA) โรงกลั่น (PTTAR, BCP, TOP) และหุ้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในระยะยาวคือ รถไฟฟ้าบนดิน (BTS) และรถไฟฟ้าใต้ดิน (BMCL)      เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป ส่อสัญญาณชะลอตัวในงวด 2H53 เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นโลก ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ถือว่ายังมีความเสี่ยงสูง จึงเห็นภาพการปรับตัวขึ้น-ลง สลับรายวัน สูง ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจ และ ตลาดหุ้นโลก ในงวด 2H53 และต่อเนื่องใน 1H54 โดยเฉพาะในทวีบยุโรป แผนการตัดลดงบประมาณรายจ่ายที่ธนาคารกลางยุโรป ต้องการให้ประเทศสมาชิกลดขาดดุลงบประมาณ ที่สูงเฉลี่ยเกิน 6% ของทั้งภูมิภาคในขณะนี้ ลงเหลือไม่เกิน 3% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ทำให้คาดว่าเม็ดเงินรายจ่ายของภาครัฐ จะหดหายไปราว 4-5 แสนล้านเหรียญฯ หรือ ราว  (14 ล้านล้านบาท)  หรือ ราว 3% ของ GDP  ซึ่งทำให้ธนาคารกลางยุโรป จำเป็นจะต้องใช้นโยบายการเงินแบบอ่อนตัวต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปจนถึงปี 2554 ขณะที่ความสำเร็จในการออกพันธบัตรรัฐบาลของประเทศไอร์แลนด์ และกรีก จะเป็นดัชนีชี้นำที่สำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปนับจากนี้ ขณะที่ในสหรัฐเอง  ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภาคครัวเรือน พบว่าแสดงทิศทางการอ่อนตัวต่อเนื่อง เช่น US leading Indicator, Retail Sales, Car Sales และล่าสุด ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 1.2 หมื่นคน เป็น 5 แสนราย ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 9 เดือน (ใกล้เคียงกับสถิติเดิมในเดือน พ.ย. 2552) ด้วยเหตุนี้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ของ JP Morgan ได้แสดงความกังวลต่อเศรษฐสหรัฐในช่วง 2H53 และต่อเนื่องในปี 2554 โดยได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในระยะ 4 ไตรมาสข้างหน้า มีแนวโน้มชะลอตัวลงเหลือไตรมาสละ 2.6% เทียบกับในงวด 1H53 ที่เติบโตเฉลี่ยราว 2.8% นับว่าเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับ ASP ที่เคยนำเสนอแล้วว่า นักเศรษฐศาสตร์ของ IMF อาจจะต้องปรับลดประมาณ GDP Growth งวด 2H53 ที่คาดการณ์ไว้เดิมว่าจะเติบโต 3.8% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตในงวด 1H53 มาก ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์  IMF ได้คาดการณ์  GDP growth ในงวด 2H53 ของยุโรป และญี่ปุ่น เติบโตเฉลี่ยลดลงเหลือ  0.85% และ 1.4% เทียบกับราว 1.15% และ 3.4% ในงวด 1H53 ตามลำดับ     ค่าเงินเอเซียยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลคู่ค้าหลัก น่าจะกดดันการค้าโลกโดยรวม แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทย และประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเซีย และภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก ไม่ได้แตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว กล่าวคือ มีแนวโน้มชะลอตัวในงวด 2H53 และใน 1H54 เช่นกัน โดยหากยึดข้อมูลจากการทำการสำรวจของ Bloomberg พบว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ คาดหมายว่าเศรษฐกิจในงวด 2H53 ของหลายประเทศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีทิศทางชะลอตัวเช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย หรือประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เช่น รัสเซีย บราซิล และจีน เป็นต้น แต่ภาพโดยรวมประเทศเหล่านี้ยังคงมีอัตราการเติบโตในอัตราที่สูงเฉลี่ยเกิน 5% และความได้เปรียบทางการค้าจากที่มีต้นทุนค่าแรงงานต่ำ ทำให้ยังได้ดุลการค้า และหนุนให้ค่าเงินเอเซียมีทิศทางแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อการไหลเข้าของ Fund Flow   (โดยรวมนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเอเซียในเดือน ก.ค. ถึงปัจจุบัน 1.33 หมื่นล้านเหรียญฯ (โดยซื้อตลาดหุ้นไทยนับจาก 23 ก.ค. 2553 จนปัจจุบันราว 2 หมื่นล้านบาท หลังจากขายสุทธิ 6.9 หมื่นล้านบาท ในเดือน เม.ย.-มิ.ย. 2553 แต่นับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันซื้อสุทธิในไทยเพียง 2 พันล้านบาท) โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเอเซีย 822 ล้านเหรียญฯ  เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า ที่มีสถานะขายสุทธิ ทั้งนี้นับว่าเป็นการซื้อใน 3 ประเทศหลักคือ อินเดีย อินโดนีเซีย และไทย เป็นต้น โดยยังคงขายสุทธิหนักในประเทศไต้หวัน และเกาหลีเช่นเดิม แต่การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นรุนแรงในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่าจะเห็นดัชนีหุ้นไทยปรับฐานที่ดัชนีใกล้ 900 จุด  ตลาดหุ้นมีโอกาสย่อ รอผลการประชุม ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในบ่ายวันนี้   วันนี้เชื่อว่าตลาดอาจจะมีการย่อพักฐานเล็กน้อย เนื่องจากดัชนีได้ปรับตัวขึ้นรวดเร็วในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนทราบผลการประชุมคณะกรรมการการเงิน (กนง.)  ในบ่ายวันที่ 23 ส.ค. นี้ ซึ่งหากมีการขึ้นดอกเบี้ยตามที่คาด 0.25%  ก็ถือว่าเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 2 และจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปอยู่ที่ 1.75% ขณะที่คาดว่าการประชุมอีก 2 ครั้งถัดไปก่อนสิ้นปี 2553 จะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง  ราว 0.25% ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายเป็นไปตามกรอบที่ผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ที่ต้องการให้เกิดขึ้น หรือต้องการเห็นดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปที่ 2% ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้หากมีการขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.25% ตามคาด เชื่อว่าตลาดน่าจะสะท้อนข่าวดังกล่าวไปแล้ว  แม้มีการย่อตัวลงในระหว่างวัน แต่คาดว่าหลังจากนี้ดัชนีจะมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง  (จากผลการศึกษาของนักวิเคราะห์เชิงปริมาณพบว่า ตลาดหุ้นมักจะมีการพักฐานอย่างน้อยราว 1-2 สัปดาห์ ก่อนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย และหลังการขึ้นดอกเบี้ยถ้าเป็นไปตามคาด ตลาดจึงจะเริ่มฟื้นตัวรอบใหม่)  ทั้งนี้ฝ่ายวิจัย ASP ได้มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาดในปี 2553 ขึ้นจากเดิม 6% เป็นหุ้นละ 66.6 บาท ทำให้ได้ดัชนีที่เหมาะสมสิ้นปี 2553 อยู่ที่ระดับ 932  จุด จากเดิมที่ระดับ 880 จุด  โดยยังคงอิง PER 14 เท่า เช่นเดิม    ดัชนีปรับตัวขึ้นมาแรงมาก ให้เลือกหุ้น PER ต่ำกว่าตลาด มีเงินปันผล หรือกลุ่มโรงกลั่นที่เริ่มฟื้นตัว ตลาดหุ้นไทยในรอบนี้มีการปรับฐานเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น และทำจุดต่ำสุดที่ 856 จุด ไม่ได้ปรับตัวลงไปที่ระดับ 830-840 จุด ตามที่ได้นำเสนอไว้ในดังภาพที่ปรากฏข้างต้น  ทั้งนี้เกิดจาก Fund Flow ที่ยังไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องตามฤดูกาล บวกกับการกลับมาซื้อของนักลงทุนสถาบันไทย  และพอร์ตบริษัท ที่หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยกลับไปยืนเหนือ 880 จุด ซึ่งการฝื้นตัวดังกล่าวถือว่า เร็วกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ว่าจะเกิดขึ้นหลังการประชุมของ กนง. ในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามหากดัชนีย่อตัวในวันนี้  แนะนำให้นักลงทุน หาจังหวะทยอยซื้อหุ้นรายตัว โดยให้เลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่มีลักษณะองค์ประกอบดังต่อไปนี้ คือ มี EPS Growth, PER ปี 2553-2554 ต่ำกว่า 10 เท่า และมีเงินปันผล ซึ่งน่าจะเข้าข่ายเป็น Value stocks เช่น ถ่านหิน (BANPU, LANNA) และรถยนต์ (STANLY)  หรือกิจการที่เติบโตในระยะยาว  (BTS, MINT)  และรวมไปถึงกลุ่มโรงกลั่น  เนื่องจากเชื่อว่าธุรกิจโรงกลั่นและอะโรเมติกส์ ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในงวด 2Q53 ไปแล้ว สะท้อนจากค่าการกลั่นในปัจจุบัน ที่แกว่งตัวในกรอบ 5 – 6 เหรียญฯต่อบาร์เรล เทียบกับค่าเฉลี่ยราว 2-3 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวด 2Q53 ขณะที่ Spread ของอะโรเมติกส์และวัตถุดิบ ก็เริ่มฟื้นตัวในเดือน ส.ค. หลังจากตกต่ำสุดในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา หลังจาก Supply ใหม่ๆ ถูกเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า ขณะที่ความต้องการใช้ Px สำหรับเส้นใยโพลีเอสเตอร์ และ Bz สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ยังเพิ่มสูงขึ้นทั้งคู่ จึงแนะนำซื้อทั้ง TOP, PTTAR    (TOP มีสัดส่วนธุรกิจโรงกลั่น : อะโรเมติกส์ ที่ 50% : 50% และส่วน PTTAR  40% : 60% ตามลำดับ)                

790 0

บล.กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 23/08/53

กลยุทธ์วันนี้    900 ประเด็นสำคัญวันนี้ SET INDEX เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมายังคงปิดเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 4 และทำระดับสูงสุดในรอบ 33 เดือนมาอยู่ที่ 893.92 จุด แม้ว่าบรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียและยุโรปจะไม่เอื้อต่อการลงทุนก็ตาม แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงสะสมหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 และทำให้ YTD กลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 61 วันทำการ 1,839 ล้านบาท สำหรับ SET INDEX วันนี้ KimEng เชื่อว่าจะยังคงเดินหน้าทดสอบ 900 จุด หาก 18 โครงการอันตรายในมาบตาพุดมีความชัดเจน และทำให้โรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ของ PTT หลุดเกณฑ์ดังกล่าว ตามมาด้วยตัวเลข GDP ใน 2Q53 หากออกมาสูงกว่า 8% yoy ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้นั้น ปัจจัยทั้ง 2 จะผลักดันให้เกิดการเก็งกำไรในหุ้นหลักของตลาดหุ้นไทย ซึ่งหนีไม่พ้น PTT / PTTCH / KBANK / BBL / LH / SCC ไต่ระดับขึ้นอย่างโดดเด่น แม้ว่าวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดไต่สวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นรอบที่ 2 ก็ตาม เพราะเชื่อว่าปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวน่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกไม่น้อยกว่า 1 เดือนในการพิจารณาและตัดสินคดี กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ “ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ”  รวมถึง “ทยอยสะสม BBL / BTS” การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “อาจพิจารณาปิดสถานะ Long ใน S50U10 บริเวณ 615 จุดหรือสูงกว่า และถือเงินสด” Stop Loss: S50U10 <  600 จุด ปิด Long และ เปิด Short  Portfolio Hold: CPF/ TASCO / MCOT/ BEC/ BBL/ PTT/PTTEP/ BANPU/ TPC/ MINT/ THAI/ AOT/ MAJOR/ BTS/ TVO/ AP/ LH / QH / CPALL/ HEMRAJ / TTA/ HANA/ THCOM/ PTTCH Accumlative Buy: BBL/ BTS Technical View     แนวรับ 888 จุด, 880 จุด และ 860 และ 830 จุด แนวต้าน 905 จุด และ 925-930 จุด และ 999 จุด แนะนำนักลงทุนระยะกลางถือครองพอร์ตไปตามแนวโน้ม

2073 0

ค่าเงินบาทเปิดเช้าที่ 31.52-31.53 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY กล่าวว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 31.52-31.53  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยระหว่างวันค่าเงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่อง ประเมินกรอบที่ 31.40-31.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ให้ติดตามเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเงินอย่างต่อเนื่อง หากยังคงเป็นเช่นนั้นส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าได้

27 0

บล.ทรีนีตี้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 23/08/53

ปัจจัยภายในหนุน ขณะตลาดต่างประเทศอ่อนตัว รถไฟฟ้าสัญญา 5 เลื่อนเป็น 24 ส.ค.53 จึงรู้ผล ส่วนกรณีมาบตาพุดคาดว่าวันนี้มีความชัดเจนแยก 18 โครงการที่มีผลกระทบรุนแรงออกมา เพื่อให้ผู้ประกอบการไปยื่นต่อศาลปกครองขอยกเลิกการคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งอาจเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้อย่างเร็วสุดประมาณ ต.ค.-พ.ย.53 อย่างช้าสุดคาดเป็นไตรมาส 1/54 การปลดล็อคดังกล่าวเข้ามาในจังหวะที่ราคาน้ำมัน-สเปรดปิโตรเคมีอ่อนแอ แต่ถือว่าจะช่วยประคองกำไรของ บจ.อย่าง PTT, PTTCH, SCC ไม่ให้ตกต่ำในปี 2554แ ละยังมีอัตราการเติบโตที่ดีจากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ภาพตลาดหุ้นวันนี้: ข้อดีคือมีตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2/53 รายงานออกมาคาดว่าดีมากและเกินความคาดหมาย แต่เราเริ่มให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุน มีกำไรทยอยขาย โดยเฉพาะหุ้นที่ไม่มี Earnings ดี ๆ Backup แนวต้านของรอบนี้มองไว้ 911 จุด กรอบวันนี้ แนวรับ 885 แนวต้าน 900ปัจจัยวันนี้ ( -/+ ) ตลาดต่างประเทศ: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ปิดลดลงในวันศุกร์ ปริมาณการซื้อขายเบาบางตลอดสัปดาห์ นักลงทุนบางรายมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยกเว้นหุ้นฮิวเล็ตต์-แพ็คการ์ด หุ้นกลุ่มทรัพยากรธรรมชาติ เช่น หุ้นเชฟรอน คอร์ป และหุ้นฟรีพอร์ทแม็คโรแรน คอปเปอร์ แอนด์ โกลด์ อิงค์ เผชิญแรงกดดัน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลงกว่า 1% และสัญญาล่วงหน้าทองแดงร่วงลง ตลาดหุ้นจีน: ร่วงลงผ่านแนวรับสำคัญที่ 2,680 จุดลงมา ถูกเทขายทำกำไรในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มสุขภาพที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังคงดิ่งต่อจากความกังวลต่อนโยบายควบคุมของภาครัฐ ( - ) ราคาน้ำมันร่วง ไร้พายุ ดีมานด์โลกอ่อนแอ ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ แข็ง:ราคาน้ำมันน้ำมันดิบส่งมอบเดือนก.ย.ปิดตลาดในแดนลบ 3 วันติดต่อกัน โดยค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น U.S.Dollar Index ขึ้นไปสูงสุด 83.3 และสามารถยืนระดับ 83 ได้ แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือน ขณะที่ยูโรร่วงลงโดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก ( +/- ) QH ข้อดี-ข้อด้อย: ข้อดี - ราคาหุ้นยังถูก ซื้อขายกันที่ระดับ PER 9 เท่าหรือหากคิด value ของเงินลงทุนใน HMPRO และ QHPF มีมูลค่ากว่า 1.04 บาทต่อหุ้น QH รวมถึงราคาหุ้นยังค่อนข้าง laggard หุ้นในกลุ่ม ราคาเหมาะสมTrading ระยะสั้นเรามองที่ 2.52 บาท ข้อด้อย – ตลาดบ้าน high-end ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักยังคงไม่เห็นสัญญาณของการเร่งตัวขึ้น การขายยังค่อนข้างเป็นไปได้ช้า กำไรครึ่งปีหลังน่าจะยังชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรกต่อ เนื่องจากโครงการ Condominium ส่วนใหญ่โอนไปแล้วตอนไตรมาส 1/53 ราคาหุ้นอาจพอเก็งกำไรได้จากความ laggard ของหุ้น แต่ผู้ที่เน้นการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นตลาดกลาง-ล่าง เช่น LPN, PS, SPALI ดีกว่า ( + ) เศรษฐกิจไทย: GDP ไตรมาส 2/53 ที่จะประกาศวันนี้คาดโต 8.0% แม้ว่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาส 1/53 ที่โต 12.0% แต่ยังถือว่าเติบโตในระดับที่สูงมากอย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังคาดตัวเลข GDP Growth อาจชะลอตัวลง เป็นผลมาจากฐานของปีก่อนหน้าที่ค่อนข้างสูง แต่ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังคงค่อนข้างแข็งแกร่ง เราคาด GDP ปี 53 นี้เติบโต 7.0% ส่วนปีหน้าคาดโตต่อเนื่อง5.0%

1405 0

บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 23/08/53

ทิศทางตลาดวันนี้  จับตามามตาพุด (-) สหรัฐกังวลภาวะศกชะลอตัว. (?) ดัชนีความเสี่ยง (VIX) -3.5% เป็น 25.5    (+) ต่างชาติซื้อสุทธิ +1,870mn หุ้นแนะนำ:  TASCO, BSBMปัจจัยสำคัญวันนี้     (-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA -57, NASDAQ +1, S&P -4, FTSE -16, CAC -46 และ DAX -70  กังวลเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว อาจนำไปสู่ภาวะถดถอย (Double Dip)  แนะจับตาประกาศยอดขายบ้าน ยอดสินค้าคงทน และ สวัสดิการว่างงาน ราคาน้ำมันล่วงหน้า NYMEX -US$0.97 เหลือ US$73.46/barrel (+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมียอดสุทธิ  +1,870บาท ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปี        -89ล้านบาท  และต่างประเทศมียอดสุทธิล่วงหน้า -176ล้านบาท มียอดสะสมใน สค53  +2,779ล้านบาทกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ทิศทางตลาด   แนวต้าทางเทคนิค 895-906  โดยนักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับเศราฐกิจ หลังเทศกาลประกาศ Q2จบลง  สำหรับตลาดหุ้นในประทศ มี 3 ประเด็นที่น่าสนใจ (1) กลุ่มมามตาพุด ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่นายกฯจะสรุปกิจการรุนแรง 23สค  จับตา PTTCH และกลุ่มธนาคารใหญ่เช่น BBL, SCB, KTB  (3) กลุ่มยื่นซองประมูล 3G  ภายในสิ้น สค.นี้ และเปิดซองประมูล 22กย เช่น ADVANC, DTAC  (4) กลุ่มรับเหมา เปิดประมูลรถไฟฟ้าสี่น้ำเงินสัญญา5 และ สีแดงสัญยา3 และ เซ็นสัญญา กย-ตคนี้  เช่น STEC, CK, ITD ดัชนีความเสี่ยง  -3.5% เป็น 25.5  เทียบกับระดับปกติที่ 20-25

9 0

บล.ธนชาต : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 23/08/53

แนวโน้ม SET ในสัปดาห์กรอบทางเทคนิค 880–910 จุด มีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับทยอยทำกำไรหุ้นที่มี Upside จำกัด ปัจจัยประเด็นอุตสาหกรรมในสัปดาห์ที่ต้องติดตามมีทั้งมาบตาพุด, แปรสัมปทานสื่อสาร, การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. หุ้นเด่นวันนี้แนะนำ MAJOR จากแนวโน้มผลประกอบการ 2H10 น่าจะขยายตัวดีขึ้นอีกโดยเฉพาะธุรกิจโรงภาพยนตร์และโฆษณา TUF ผลบวกจากการซื้อกิจการต่างประเทศสร้างมูลค่าให้หุ้นมากประเด็นสำคัญวันนี้ หุ้นเด่นวันนี้ MAJOR หลังจากที่ MAJOR ทำผลงานใน Q2 ที่โดดเด่นและสูงกว่านักวิเคราะห์ประเมินไว้ทำให้เราเชื่อว่าระหว่างนี้นักวิเคราะห์กำลังปรับประมาณการผลประกอบการปี 2553 เพิ่มขึ้นจากเดิมเพราะมีอีกหลายประเด็นบวกที่จะสนับสนุนให้ผลประกอบการ 2H10 แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ล่าสุดจำนวนผู้ชมในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบปี เนื่องจากความหลากหลายของภาพยนตร์ไทยและเทศที่เข้าฉายทำให้จำนวนผู้ชมเพิ่มขึ้น ที่ช่วยส่งผลบวกต่อธุรกิจอื่นๆทั้งการขายอาหารเครื่องดื่มและการขายโฆษณาในโรง ที่คาดว่าอาจจะสูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ที่ 650 ล้านบาท นอกจากนี้ MAJOR จะบันทึกกำไรพิเศษราว 70 ล้านบาท จากการขายสินทรัพย์ของรัชโยธินอเวนิวเข้ากองทุนอสังหาใน Q3 แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย Consensus เฉลี่ยที่ 13.82 บาท ส่วน TNSอยู่ระหว่างปรับประมาณการและราคาเป้าหมายขึ้น TUF หุ้นส่งออกที่น่าสนใจ การเข้าซื้อกิจการ MW Brands ทำให้ TUF ได้รับความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการผลิตของ TUF เพิ่มขึ้นมากเพราะทำให้ 1) TUF กลายเป็นผู้ผลิตทูน่ากระป๋องรายใหญ่ที่สุดในโลก 2) เปลี่ยนตัวเองจากผู้ผลิต OEM เป็นผู้ผลิตสินค้าบริโภคแบรนด์ดังระดับโลก 3) เพิ่มอำนาจต่อรองของTUF กับซับพลายเออร์ 4) ด้วยชื่อเสียงของ MWB ในยุโรป TUF จึงน่าจะเข้าถึงตลาดยุโรป ซึ่งเป็นตลาดอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อย่างง่ายและมั่นคง 5)ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่ TUF และมีสินทรัพย์ขนาดใหญ่ และ 6) ความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นแม้ว่าหุ้นทำให้นิวไฮในสัปดาห์ที่แล้วยังมี Upside จากราคาเป้าหมายของ TNS ที่ 62 บาท อีก 9% แนะนำ “ซื้อ”สรุปภาพตลาดวานนี้ SET บวกเล็กน้อย เพิ่มขึ้น 2.69 จุด ปิดที่ 893.92 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายยังคงหนาแน่นถึง 4 หมื่นล้านบาท สวนทางตลาดต่างประเทศโดยมีแรงซื้อในกลุ่มสื่อสารกลุ่มอสังหาฯ และ กลุ่มธนาคาร นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอีก 1.9 พันล้านบาทแรงซื้อต่อเนื่องในสัปดาห์ที่แล้วทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 2 พันล้านบาทหลังจากที่ขายสุทธิในช่วงมีการเมืองไม่ปกติ แต่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ แต่เพียงรายเดียวถึง 9.9 พันล้านบาท DJ และ น้ำมันลงต่อ ตลาดหุ้น DJ ปิดลบ 57.59 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความกังวลต่ออัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯหลังจากข้อมูลทางเศรษฐกิจรายงานยังอ่อนแอ เมื่อวันศุกร์ ราคาน้ำมันไนเม็กซ์ของสหรัฐฯลดลง 97 เซนต์ ปิดที่73.46 US$/bbl ส่วนราคาทองคำที่ตลาดนิวยอร์ค (COMEX) ลดลง 6.60 US$ ปิดที่ระดับ 1,227.20 US$/oz ขณะที่ค่าระวางเรือ (BDI) ล่าสุดยังปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง 112 จุด ทำให้คาดว่าวันนี้น่าจะมีแรงซื้อในกลุ่มเดินเรือ

10426 0

เงินดอลลาร์เทียบเยนเช้านี้อ่อนค่าลงอยู่ที่ 85.53 เยน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายงานข่าวบนเว็บไซท์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 85.53 เยน ณ เวลา 8:29 น. ตามเวลาในกรุงโตเกียว จาก 85.62 เยน ที่ปิดตลาดนิวยอร์ควันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเเลกเปลี่ยนเงินเยนเมื่อเทียบยูโรแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 108.54  เยน/ยูโร จาก 108.83 เยน/ยูโร ขณะที่เมื่อเทียบค่าเงินยูโร เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 1.2691 ดอลลาร์/ยูโร จาก 1.2712 ดอลลาร์/ยูโร ที่ปิดตลาดนิวยอร์ควันศุกร์ที่ผ่านมา          

16 0

ราคาน้ำมันดิบไลท์ลดลง 97 เซนต์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนกันยายน วันที่ 20 ส.ค. 53 ที่ตลาดนิวยอร์ค ปิดตลาดที่ราคา 73.46 ดอลลาร์/บาร์เรล  ลดลง 97 เซนต์ หรือ 1.30%                

30 0

สรุปข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สินค้าพาเหรดขอขึ้นราคา พ่อค้าอ้างต้นทุนการผลิตพุ่งพรวด รัฐแบะท่าปล่อยผีกลัวเศรษฐกิจพัง รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้วงการผู้ผลิตและผู้ค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น น้ำมันพืช ข้าวสารบรรจุถุง เครื่องปรุงอาหาร อาหารบรรจุกระป๋อง ได้หารือในวงใจอาจมีการพิจารณาขอขึ้นราคาจำหน่าย หลังสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคของกระทรวงพาณิชย์ในเดือนก.ย.นี้ เนื่องจากที่ผ่านมาได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ และไม่ได้ขึ้นราคามานานแล้ว ประกอบกับต้นทุนการผลิตตอนนี้ปรับสูงขึ้นมากชงปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะ รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การประชุมครม. วันที่ 24 นี้ จะพิจารณาการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 53 ครั้งที่ 5 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งทำให้มีวงเงินในแผนบริหารหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 64,783 ล้านบาท จากวงเงินเดิม 1,646,973.17 ล้านบาท เป็น 1,711,756.17 ล้านบาททำตุงแดง-จัดพิธีสวดถอนให้คณะฮ.ตก 5 ศพ สัญลักษณ์ช่วยนำทาง ดวงวิญญาณกลับบ้าน จัดทำ 'ตุงแดง' และ ทำพิธี 'สวดถอน' ให้กับคณะ 'ปลัดทรัพยากรฯ' เฮลิคอปเตอร์ตก 5 ศพ ที่ จ.น่าน ท่ามกลางบรรยากาศโศกสลด เผยหลังจากเสร็จพิธี เตรียมนำตุงแดงไปปักไว้ที่เชิงเขาจุดเกิดเหตุ ตามความเชื่อชาวเหนือเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ช่วยนำทางดวงวิญญาณกลับบ้าน ไปสู่สุคติ ขณะที่ นายกฯ เสียใจกับทางครอบครัวผู้วายชนม์ ชื่นชม 'ปลัดทส.' มุ่งมั่นทำงานหนักมาตลอด ถือว่าทุกท่านจบชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติไฟช็อตตายตีนแมว เหิมบุกบ้านแก้วขวัญเลขาราชวัง มาทางเรือเจาะฝ้าเพดาน ขยายผลยึดของกลางอื้อ โจรกรุงเหิมหนักเข้าบ้าน 'แก้วขวัญ วัชโรทัย' เลขาธิการพระราชวัง เผยเจาะฝ้าเพดานเตรียมโรยตัวลงมากวาดทรัพย์สิน ฟ้ามีตากรรมตามสนองทันควัน ตีนแมวะตาขาดพลาดถูกไฟฟ้าช็อตร่างร่วงกระแทกพื้นดับอนาถคาที่ แฉบินเดี่ยวใช้ฤกษ์โจรตอนเช้ามืด ขับเรือหางยาวมาจอดท่าน้ำหลังบ้านเหยื่อ แก๊สตัดประตูเหล็ก ปีนขึ้นมาหลังคาปฏิบัติการฉก แต่เกิดพลาดเอง ทำเอา ตร.วิ่งเต้นกันทั้งโรงพัก ขยายผลตามยึดของกลางที่บ้านผู้ต้องหาได้อีกเพียบ ระบุตีนแมวมืออาชีพ เชื่อเอี่ยวโจรกรรมบ้านนักข่าวทีวี-แพทย์ รพ.ดังด้วย 'ลูกชาย' เปรยก่อนหน้านี้หัวขโมยเคยขึ้นบ้านมาแล้ว 1 ครั้งปชป.ยื้อแก้รธน.เขตใหญ่เรียงเบอร์ ป๋าเปรมย้ำตอบแทน บุญคุณแผ่นดิน 'ปชป.' เล่นมุกเก่า 'ประชามติ' ยื้อแก้เขตใหญ่เรียงเบอร์ ส่วน 'มาร์ค' ตีกรรเชียงอ้างต้องรอคำตอบสุดท้าย ขณะที่ 'เจ๊สด' กรี๊ดเกลอเก่าเจอ 'นักเลือกตั้ง' บีบรื้อ 'รธน.ปี 50 ส่วนคดียุบ 'ปชป.' จับตา 'ณ ป้อมเพชร'  เจอถล่มยับ ฝ่าย 'กกต.' เชื่อ 'ปชป.' กลัวแพ้คดียุบพรรคจำต้องใช้วิธีดิสเครดิตพยาน ด้าน 'เพื่อแม้ว' แฉบิ๊กรัฐบาล 'ส.-พ.' บีบ 2 พยาน ตัวสั่น เล็งตั้งโต๊ะจับผิดการสืบพยานทุกนัดแถมย้อนคำ 'ชวน' อย่าใช้ฝีตีนต่อสู้คดี ส่วน 'มาร์ค' ยันยอมรับความเสี่ยงยุบพรรค-ยุบสภา ขณะที่ 'บิ๊กหมง' นำนักเรียนทุน 'ลูกป๋า' เข้าอวยพรวันเกิด 90 ปี ล่วงหน้า 'ป๋าเปรม' ย้ำเตือนทุกคนต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ส่วนวันจริง 26 ส.ค. เลี่ยงตกเป็นเป้า งดเปิดบ้านสี่เสาฯ 'แม่ทัพนายกอง' ตบเท้า ฝ่าย 'ทักษิณ' หนุนลดอำนาจ 'เจ๊แดง-พายัพ' ส่วนเลือกตั้งสนามเล็ก 3 พรรคซัดกันนัวเนียบ.ทัวร์ตุ๋นเปื่อย 70 นศ.ปริญญาโท จ่ายมัดจำ 1.3 ล้านบ.ดูงาน วันไปถูกเบี้ยวหน้าตาเฉย บริษัททัวร์ฯ ตุ๋นเปื่อย 70 นศ.ปริญญาโทมหาวิทยาลัยชื่อดัง หลังจากมีโครงการต้องไปดูงานปีสุดท้าย ที่ประเทศญี่ปุ่น อุตส่าห์เลือกเฟ้นข้อมูล จากทางอินเทอร์เน็ต เห็นน่าเชื่อถือมีทั้งใบรับรองททท. แถมอ้างศิลปินดาราเคยใช้บริการเพียบ หนำซ้ำยังราคาถูกอีก เลยหลงเชื่ออย่างเต็มเปา ยอมจ่ายมัดจำไปกว่า 1.3 ล้านบาท แต่สุดท้ายเจอแจ๊กพอต พอถึงวันกำหนดรับวีซ่า-ตั๋วเครื่องบิน ถูกเบี้ยวหน้าตาเฉย ตามทวงถามก็ปิดบริษัทหนี โชคดีตำรวจตามจับได้ยังปฏิเสธลั่น เผยมีหมายจับฉ้อโกงประชาชนอีก 2 คดีชาวบ้านแห่รักษามะเร็งคลินิกชื่อดัง ชาวบ้านแห่รักษามะเร็งแน่นคลินิก 'หมอสมหมาย' หลังได้ยินกิตติศัพท์ เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคมะเร็ง จนหลายรายหายป่วยหรืออาการดีขึ้น ด้าน นพ.สมหมายเผยรักษาแบบผสมผสาน ระหว่างยาสมุนไพรที่ทดลองศึกษามานาน ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน องค์การเภสัชกรรมเตรียมผลิตออกขายในปี 2555 ขณะที่ผู้ป่วยชาวเชียงใหม่ระบุเป็นมะเร็งทางเดินอาหาร กินได้แต่โจ๊ก พอมารับการรักษากินยาต้มกับยาแคปซูล อาการดีขึ้นจนกินอาหารได้ตามปกติคนไทยป่วย 'โรคจิตเภท' กว่าล้านคน กระทรวงสาธารณสุขชงตึ้งสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาเป็นต้นแบบ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเยียวยาสู่ภูมิภาค หลังพบตัวเลขคนไทยป่วยเป็นโรคจิตเภทกว่าล้าน หวังช่วยคนป่วยไม่ต้องเหนื่อยเข้ากรุงเทพฯ ผอ.สถาบันฯ เผยพร้อมเปิดศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ไอซียู รักษาคนป่วยจิตเวชอาการหนัก แห่งแรกของไทยในปีหน้าอภิสิทธิ์แบะท่าคุยถกฮุนเซนแก้พิพาท พร้อมในเวทีอาเซม พร้อมจับเข่าคุย 'ฮุนเซน' เวทีอาเซม 'มาร์ค' แบะท่า ยันไทย-เขมร แก้ปัญหาพิพาทกันเองได้ ไม่ต้องพึ่ง 'ยูเอ็น' หรือประเทศที่สามด้านทหารพรานจับหนุ่มเขมร ซิ่ง จยย.มีเพื่อนชาวญวนซ้อนท้าย เลาะถนนเลียบชายแดน ด้านอรัญประเทศ อ้างมาเร่ขายผ้าใบ หิ้วตัวเค้นสอบหวั่นเป็นสายลับดอดมาดูความเคลื่อนไหวทหารไท ส่วน '3 พรานป่าไทย' ลุ้นได้รับอิสรภาพ หลังภาคเอกชนออกโรงช่วยเจรจานายทหารกัมพูชาส่ง 'วิคเตอร์บูท' พท.ห่วงกระทบสัมพันธ์ทั้ง 2 ปท. ส่ง 'วิคเตอร์ บูท' ให้สหรัฐ 'เพื่อไทย' ห่วงกระทบความสัมพันธ์ 2 ชาติยักษ์ใหญ่ แนะรัฐบาลควรเลือกจุดยืนให้เหมาะสม พลาดกลายเป็นเลือกฝ่าย อนาคตมีปัญหากับมิตรประเทศแน่นอน เหน็บนานาชาติ รวมถึงรัสเซียมองไทย 2 มาตรฐาน ด้าน 'มาร์ค' ออกตัวนั่งยัน-นอนยัน ไม่มีการเมืองแทรกแซง แต่ก็หวั่นสัมพันธ์ไทย-หมีขาวสะดุด สั่ง กต. แจงรัฐบาลรัสเซียที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์   

16 0

สรุปข่าวหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

คลัง-ธปท.จี้ลงทุนปรับสมดุลศก. ฟันธงดอกเบี้ยขึ้น 0.25% สกัดเก็งกำไรสินทรัพย์เสี่ยง นายกฯ ยันรัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพมั่นใจไม่กระทบส่งออก ห่วงวิกฤติหนี้ยุโรปลาม แบงก์ชาติ แนะรัฐบาลเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มขีดแข่งขันและสร้าง 'สมดุล' เศรษฐกิจ ไม่พึ่งภาคส่งออกด้านเดียว หลังจากค่าเงินบาทแข็งตัวต่อเนื่อง ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยกระทบเงินทุนไหลเข้า กดดันค่าเงินบาทแข็งหนัก กูรูเศรษฐศาสตร์ฟันธง กนง.จำเป็นขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% หวังสกัดเงินไหลเข้าเก็งกำไรสินทรัพย์เสี่ยงสศช.-ทส.เบรกสุวรรณภูมิเฟส 2 สวล.เคาะ 18 กิจการรุนแรงวันนี้ 'ทส.-สศช.' เบรก โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 ของกระทรวงคมนาคม วงเงินกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท เหตุยังไม่ได้ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาผลกระทบทางเสียงล่าช้า แถมยังขาดความชัดเจนเรื่องแผนการใช้ท่าอากาศยานดอนเมือง ด้านบอร์ดสิ่งแวดล้อมประชุมประกาศ 18 ประเภทกิจการรุนแรงวันนี้พิษการเมือง-ศก. บจ.แห่ลงทุนนอก รุกจีน-อินเดียตั้งบ.ย่อยเล็งขยายลงทุนเผยฐานะการเงินเข้มแข็งค่าเฉลี่ยสัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงมาอยู่ที่ 0.6-0.7 เท่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย แห่ลงทุนนอก ตั้งบริษัทย่อยเตรียมขยายการลงทุนเพียบ โดยเฉพาะอินเดีย โบรกเกอร์ระบุการเมืองทำพิษ ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว ทำให้ฉุดความเชื่อมั่น เห็นโอกาสลงทุนมีน้อย ประเมินแนวโน้มลงทุนต่างประเทศพุ่ง เพราะดอกเบี้ยต่ำ เงินบาทแข็ง เอฟทีเอช่วยหนุนตลาดอนุมัติ'วิเชฐ'พ้นเก้าอี้  จรัมพรชง2นายแบงก์ชิงดำ บอร์ดตลาดไฟเขียว 'วิเชฐ ตันติวานิช' พ้นเก้าอี้รองผู้จัดการ ขณะที่ 'จรัมพร โชติกเสถียร' ชง 2 รายชื่อรั้งตำแหน่งรองผู้จัดการแทนตำแหน่งที่ว่างลง เผยเป็นคนแบงก์ หวังเป็นหัวหอกรุกด้านการตลาดรับมือเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ปี 2555 และการแปรสภาพเป็นองค์กรมหาชน พร้อมเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงถกยุทธศาสตร์ ก่อนกำหนดแผนใหญ่เสนอบอร์ดทุนนอกลุยอสังหาฯรอบใหม่ บางสะเหร่บีชฯอัดส่วนลด20%-ปล่อยกู้ลูกค้าคอนโด ทุนอสังหาฯ ต่างชาติขยับลงทุนเมืองท่องเที่ยวรอบใหม่รับเศรษฐกิจขาขึ้น หลังการเมืองนิ่ง ล่าสุด พันมิตรกลุ่มวิวทะเล ชาวอเมริกันและจีน แตกตัวผุด 'บางสะเหร่ บีช คอนโด' ขยายราคาเริ่ม 6.7 แสนบาท/ยูนิต พร้อมรับปล่อยกู้ลูกค้าที่ซื้อห้องชุดในโครงการหวังปลดล็อกติดปัญหาเครดิตกู้แบงก์ไม่ผ่านโอเรียนทอลฯเพิ่มสาขา20แห่งแตกแบรนด์ใหม่เจาะกลุ่ม'เกย์' นายนิพันธ์พงศ์ พานิช กรรมการผู้จัดการศูนย์ความงามโอเรียนทอลบิวตี้ เปิดเผย'กรุงเทพธุรกิจ'ว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ยังคงเดินหน้าเปิดสาขาเพิ่มอีก 20 แห่งๆ ละ 8 แสน-1.5 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีสาขาเปิดบริการแล้ว 120 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยสาขาที่เปิดให้บริการส่วนใหญ่จะอยู่ในห้างเทสโก้ โลตัส คิดเป็นสัดส่วน 80% ของจำนวนสาขาทั้งหมดที่เหลือจะกระจายอยู่ตามแหล่งชุมชน โดยรูปแบบการลงทุนนั้นจะเปิดให้ผู้สนใจที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตนเองมาร่วมลงทุนโดยทางศูนย์จะเป็นผู้ลงทุน 1 ใน 3 ของเงินลงทุนในแต่ละสาขาที่ใช้เงินลงทุนรวม 6 แสนบาท และสาขาใหม่ที่จะเปิดจะยังคงเน้นในห้างเทสโก้ฯ เนื่องจากลูกค้าหลักเป็นกลุ่มแม่บ้านเป็นหลัก 80% และกลุ่มนักศึกษา 20%บอร์ดททท.ชี้ขาด2รองผู้ว่าใหม่วันนี้ วันนี้(23ส.ค.53) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. จัดประชุมบอร์ดครั้งที่ 8/2553 โดยมีสาระสำคัญเรื่องการพิจารณาเลือกรองผู้ว่าการใหม่รองผู้ว่าการเดิม 2 ตำแหน่งที่จะเกษียณอายุในเดือนก.ย.นี้ได้แก่นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ และนายอุดม เมธาธำรงค์ศิริ รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน โดยนายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการททท.จะเป็นผู้พิจารณาเลือก 2 รายชื่อที่มีความเหมาะสมเพื่อนำเสนอแก่บอร์ดอนุมัติ และคาดมีผลเป็นทางการในเดือนก.ย.นี้ที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ                

10 0

สรุปข่าวหนังสือพิมพ์แนวหน้า

อภิสิทธิ์บ่นเงินเดือนไม่พอใช้ ไหนจะถูกหักเข้าพรรค-ผ่อนรถ อ่วม!ข้าวสาร-น้ำมันพืชจ่อขึ้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ'เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกอภิสิทธิ์' กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับระบบฐานเงินดือนของข้าราชการให้มีความยึดหยุ่นเท่ากับภาคเอกชน ว่า คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบปรับบัญชีเงินเดือนราชการ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน รวมทั้งได้มีการอนุมัติปรับค่าตอบแทนของภาคราชการให้ใกล้เคียงกับภาคเอกชนมากขึ้น ซึ่งการบรรจุเข้ารับข้าราชการครั้งแรก ผู้ที่จบการศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ปัจจุบันพบว่าเงินเดือนได้ไม่ถึง 1 หมื่นบาท ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเงินเดือนของคนที่จบใหม่เข้ารับราชการกับภาคเอกชนขึ้น ห่างกันพอสมควร จึงได้กำหนดเป้าหมายเบื้องต้นที่จะลดช่องว่างตรงนี้ พยายามจะทำให้เท่าเทียมกันภายใน 5 ปี โดยจะมีการปรับเงินเดือนสำหรับคนที่เข้าบรรจุเป็นข้าราชการครั้งแรกขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาทนายกฯขีดเส้นต้องจบ25สค. ปชป.เย้ยพท.ใช้เวลาไม่คุ้ม 'วิทยา-เด็จพี่'ยกข้ออ้างสารพัด บี้รัฐบาลถ่ายทอดสดจ้องบปี'54 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกอภิสิทธิ์ ถึงการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554ว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่สอง เพื่อพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 54 ซึ่งยังคงไม่แล้วเสร็จ หลังจากที่พิจารณากันไปแล้ว 3 วัน ตามที่คณะกรรมการประสานงานทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน แต่ก็ไม่ไปไร เนื่องจากยังมีเวลาการพิจารณา ได้ถึงวันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งประธานสภาฯ ก็ได้นัดประชุมต่อในวันอังคารที่24 สิงหาคม เพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนสมาชิกได้พิจารณากันอย่างเต็มที่เพื่อความโปร่งใส แต่ต้องแล้วเสร็จภายในวันพุธที่ 25 สิงหาคมนี้ ตามกรอบระยะเวลาของกฏหมายเพื่อเสนอต่อวุฒิสภาในวาระที่ 3 ต่อไปคณะปิดทองหลังพระ ทำบุญอุทิศส่วนกุศล เชิญวิญญาณสู่สุคติ ผู้พลีชีพฮ.ตกจ.น่าน   เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ'เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์'ว่า 'สัปดาห์ที่ผ่านมาขอเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่ผมคิดว่าทำให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ รู้สึกสะเทือนใจ นั่นคือเหตุการณ์อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติภารกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) รวมทั้งผู้ที่ได้ทำงานเพื่อที่จะผลักดันโครงการตามแนวพระราชดำริ อยากจะขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกท่านอีกครั้งหนึ่งและขอเรียนครับว่า การเสียชีวิตครั้งนี้ถือว่า เป็นการเสียชีวิตในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วก็คือการไปติดตามโครงการปิดทองหลังพระ ซึ่งเป็นโครงการสำคัญในแง่ของการเผยแพร่งานที่เป็นงานที่สืบเนื่องมาจากแนวพระราชดำริ และมีส่วนสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องประชาชนที่ยากจนและอยู่ในชนบทที่ห่างไกลแฉสถานที่ขัง3คนไทย คุกเสียมราฐ รอฟ้องอาจติดนับเดือน  ฝากบอกญาติสบายดี มาร์คตอบรับ'ฮุนเซ็น' เจอกันในเวที'อาเซม' ทหารจับ2เขมร-ญวน เค้นสอบหวั่นสายลับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย ระบุพร้อมเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาระหว่างการพบกันในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ที่เบลเยี่ยม แต่ยืนยันจุดยืนเดิมว่าต้องเป็นแบบทวิภาคีเท่านั้น ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามประสานกับทางการกัมพูชาในทุกระดับ เพื่อเร่งช่วยเหลือคนไทย 3 คนชาวอ.สังขะ จ.สุรินทร์ ที่ถูกจับกุมไปดำเนินคดีที่จ.เสียมราฐ'ชวน'ติวเข้มคดียุบปชป. พร้อมซักค้านพยานกกต.  ระทึกศาลรธน.23สค.นี้ พท.ปูดทันที'ส.-พ.' กดดันพยานพลิกลิ้น ส่งทีมกม.ฟังไต่สวน แดงชม.ได้ฤกษ์ป่วน ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อบ่ายวันที่ 22 สิงหาคมว่า มีการประชุมคณะทำงานกฎหมายคดียุบพรรคประชาธิปัตย์โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานการประชุมโต้ส่ง'บูท'ให้มะกัน ปณิธานปัด แลก'แบล็คฮอว์ก' นายกฯเชื่อรัสเซีย ขอความเป็นธรรม มอบบัวแก้วชี้แจง ขบวนการศาลไทย จากกรณีที่ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นให้ส่งนายวิกเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธสงครามชาวรัสเซียเป็นผู้ร้ายข้ามแดนให้สหรัฐอเมริกา ดำเนินคดีภายใน 3 เดือน ทำให้ภรรยาและลูกของนายวิกเตอร์ บูท ร้องเรียนว่าไม่เป็นธรรมโดยอ้างว่าสหรัฐอเมริกา กดดันให้ไทย ขณะที่รัฐมนตรีของรัสเซียได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อนำตัวนายวิกเตอร์ บูท กลับประเทศโดยเรียกทูตไทยประจำรัสเซีย ไปพบ ส่วนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ก็เรียกทูตไทยไปพบเช่นกันนั้นเหนือ-อีสานจมน้ำ หนุ่มลำปางสังเวย อุตุเตือน20จังหวัด เสี่ยงแผ่นดินถล่ม   เมื่อเวลา 17.00น.วันที่ 22 สิงหาคม กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือนภัย ฉบับที่10 ว่า ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วประเทศมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่ง จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านบริเวณ จ.เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร นครราชสีมา อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี นครนายกและจ.ปราจีนบุรี ระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 22-25 สิงหาคมนี้ไว้ด้วยธปท.ห่วงคลัง'ถังแตก' จี้รัฐเร่งขยายฐานภาษี ชดเชยรายจ่ายประจำ สวัสดิการ-เงินเดือน   'แบงก์ชาติ'จี้รัฐควรโอกาสในช่วงเศรษฐกิจ 'ขาขึ้น' หารายได้จากภาษี ชดเชยงบรายจ่ายประจำด้านสวัสดิการจำนวนมาก ถ้าไม่ทำงบจะเหลือน้อย โครงการใหญ่อาจติดขัด ด้าน 'อภิสิทธิ์' ยันจะไม่ขึ้นภาษี นำเงินมาแก้ขาดดุลงบประมาณ แต่จะขยายฐานภาษีให้กว้างขึ้น ให้ครอบคลุมคนจำนวนมากที่ยังไม่ได้เสียภาษี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มหั่นค่าธรรมเนียม50% ดึงเอกชนใช้สนามบิน   'คมนาคม' ปรับลดค่าธรรมเนียมการใช้สนามบินทั้ง 28 แห่งทั่วประเทศ ลงอีก 50% หวังจูงใจสายการบินขนาดเล็กมาทำการบิน ขณะที่แผนการให้ 'บางกอกแอร์เวย์ส' มาบริหารแก้ขาดทุนนั้นยังรอผลการศึกษาว่าจะขัดต่อข้อกฏหมายหรือไม่TOTสรุปแผนลงทุน1.9หมื่นล. วางโครงข่าย3จี-ชงICTอนุมัติแล้ว   'ทีโอที' ชงแผนลงทุนโครงข่าย 3จี ให้ 'ทีโอที' อนุมัติ โดยจะขอใช้โครงข่าย 'เอไอเอส-กสท' เพื่อลดต้นทุน ส่วนในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ บอร์ดจะประชุมกันเพื่อสรุปโมเดลธุรกิจทั้งหมดรองรับกรณีที่รายได้จากค่าสัมปทานหมดแล้ว ระบหากไม่รับมือจะเจ๊งแบบร.ส.พ.เสนอตั้งแบงก์ท่องเที่ยว ปล่อยกู้อุ้มธุรกิจโรงแรม   สมาคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เสนอรัฐบาล จัดตั้ง กองทุน หรือ ธนาคารอุ้มผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยนำเงิน 1-2% จากการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล ภาษีท้องถิ่น และภาษีต่างๆ ของอุตสาหกรรมมาใช้ในการก่อตั้ง ทั้งนี้เพื่อรับมือปัญหาการเมืองป่วนธุรกิจเหมือนที่ผ่านมาชัยวุฒิบี้BOIดึงบ.รถลงทุนเพิ่ม เล็งเป้ายักษ์ใหญ่จากจีน-เยอรมนี หาจุดล่อใจค่ายญี่ปุ่นขยายกำลังผลิต   นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตนได้มอบหมายให้สถาบันยานยนต์ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เร่งเจรจาเพื่อดึงดูดการลงทุนและแนะนำพื้นที่ตั้งโรงงานแก่ค่ายรถยนต์ระดับโลก อาทิ บริษัท ดองแฟง มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากประเทศจีน, ผู้ผลิตรถยนต์โฟล์ค และออดี้ จากประเทศเยอรมัน ซึ่งมีความสนใจจะเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตใหม่รองรับความต้องการใช้รถของผู้บริโภคในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีประชากร 500-600 ล้านคน ที่เริ่มมีกำลังซื้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง'ไทยน๊อคซ์'ไม่รอรัฐ เดินหน้าEIA- HIA เหล็กรีดเย็นลุยเฟส3   นายชุษณะ วีระพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงงาน บริษัท ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการผลิตเหล็กแผ่นไร้สนิมรีดเย็น ระยะที่ 3 ตั้งอยู่ที่สวนอุตสาหกรรมระยอง อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยองเป็นหนึ่งในโครงการที่ถูกคำสั่งศาลปกครองระงับชั่วคราวเพื่อดำเนินงานให้เป็นไปตามมาตรา 67 (2) แห่งรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการรอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่จะสรุปบัญชีรายชื่อประเภทกิจการที่มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ อย่างเป็นทางการสอท.อยากเห็นโผ'กิจการรุนแรง'   นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนมีความคาดหวังที่จะเห็นการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(บอร์ดสิ่งแวดล้อม)ซึ่งมีนายอภิสิทิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในที่ 23สิงหาคมนี้ จะสามารถกำหนดประเภทกิจการที่มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านคุณภาพ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพอย่างเป็นทางการให้ชัดเจน เพื่อกำหนดกรอบในการปฏิบัติตามมาตรา 67 (2) แห่งรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยเฉพาะกระบวนการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ(เอชไอเอ) ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังเชื่อมั่นนักลงทุนให้ต่ำลงเอเชียฯชี้ต้นทุนลดหลังผุดรง.ระบบปิด   นายสมยศ ฐิติสุริยารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะทำโรงงานระบบปิด และท่าเรือใกล้คลังสินค้าเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนการทำงานสั้นลง ขณะเดียวกันยังสามารถลดต้นทุนการบริหารจัดการลงได้ เพราะปกติแล้วการขนส่งจากท่าเรือไปยังคลังสินค้าจะค่อนข้างสูง ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมการก่อสร้างในไตรมาส 4/53 และน่าจะเปิดใช้ได้ในไตรมาส 1/55 และเมื่อเปิดใช้ระบบนี้จะช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้เป็นจำนวนมากประมาณ 80-100 ล้านบาทต่อปี ซึ่งขณะนี้ได้ขออนุญาตจาก BOI แล้ว ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีเป็นระยะเวลา 8 ปีที่มา หนังสือพิมพ์แนวหน้า                

13 0

สรุปภาวะการลงทุนนอก

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ค: ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 10213.62 จุด  ลดลง 57.59 จุดหรือ -0.56%ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ค:ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 2179.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.81 จุด หรือ 0.04%ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ค: ดัชนี S&P ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 1071.69 จุด ลดลง 3.94 จุด หรือ -0.37%ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน : ดัชนี FTSE ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ระดับ 5195.28 จุด ลดลง 16.01 จุด  หรือ -0.31%ภาวะตลาดหุ้นฝรั่งเศส :ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ระดับ 3526.12 จุด ลดลง 46.28 จุดหรือ -1.30%ภาวะตลาดหุ้นเยอรมัน : ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ระดับ 6005.16 จุด ลดลง 69.97 จุดหรือ -1.15%ดัชนีค่าระวางเรือ BDI   ประจำวันที่ 20 ส.ค. ปิดที่ระดับ 2756 จุด เพิ่มขึ้น 112.00 จุด คิดเป็น 4.24%

16 0

SGP ยันรายได้-กำไรปีนี้โต 15% ตามเป้า

นางจินตนา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่า มั่นใจว่าผลประกอบการของบริษัทฯ ทั้งรายได้และกำไรในปี 2553 จะเติบโต 15% เมื่อเทียบกับปี 2552 หลังคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรก ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ขณะที่ธุรกิจที่บริษัทฯ เข้าไปซื้อกิจการทั้งสิงคโปร์ และเวียดนาม จะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งปกติธุรกิจที่สิงคโปร์ และเวียดนาม เฉลี่ยต่อเดือนมีกำไรประมาณ 6 ล้านบาท 'รายได้กับกำไรของบริษัทฯ ในครึ่งปีหลัง จะฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่จะเติบโตมากที่สุด โดยตั้งใจว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ว่ากำไรกับรายได้จะเติบโต 15%น่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งที่เวียดนาม และสิงโปร์ จะเริ่มมีรายได้รับรู้เข้ามาประมาณเดือน ส.ค. นี้ โดยเฉลี่ยแต่ละแห่งกำไรจะอยู่ประมาณ 6 ล้านบาท/เดือน' นางจินตนา กล่าว อนึ่ง กิจการที่บริษัทฯ ซื้อกิจการที่เวียดนามได้ใช้เงินลงทุนประมาณ 11.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาส 3 ที่เวียดนามจะเติบโตจากไตรมาส 2 ที่มีรายได้ประมาณ 70 ล้านบาท ขณะที่กำไรคาดการณ์จะอยู่เฉลี่ยประมาณ  6 ล้านบาท/เดือน ส่วนธุรกิจที่สิงโคปร์ จะใช้เงินลงทุน 15 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยคาดยอดขายจะอยู่ที่ประมาณ 20,000-25,000 ตัน/ปี โดยเฉลี่ยกำไรต่อเดือนจะอยู่ที่ 6 ล้านบาท    

21 0

บลจ. กสิกรไทย เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ 6 เดือน

บลจ. กสิกรไทย เปิดขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ไอ (KFI6MI) มูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท ลงทุนในพันธบัตรรัฐาลและเงินฝากประจำ 6 เดือนของแบงก์เอมิเรตส์ เอ็นดีบี คาดให้ผลตอบแทน 1.80% ต่อปี เสนอขายครั้งเดียว  24-30 สิงหาคม นี้    นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ไอ (KFI6MI) ระหว่างวันที่ 24-30 สิงหาคม 2553 เพื่อตอบรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ต้องการทางเลือกลงทุนระยะสั้น ที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุตราสารเท่ากัน  โดยกองทุนดังกล่าวมีขนาดกองทุน 10,000 ล้านบาท  เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยเป็นสัดส่วนประมาณ 76% ของพอร์ตการลงทุนและอีก 24% เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติมด้วยการลงทุนในเงินฝากประจำ 6 เดือนของธนาคารเอมิเรตส์ เอ็นดีบี  (ENDB) ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)  ซึ่งคาดว่าจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีถึง 1.80% ต่อปี    “ความน่าสนใจของกองทุนนี้ คือ การตอบโจทย์ผู้ลงทุนที่ไม่พร้อมลงทุนระยะยาวด้วยทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในประเทศ โดยผลตอบแทนที่เพิ่มเติมขึ้นนี้มาจากส่วนเงินฝากประจำ 6 เดือน ของธนาคารเอมิเรตส์ เอ็นดีบี (ENDB) และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน” นายพัชรกล่าว สำหรับความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินและฟองสบู่ในดูไบ นายพัชรเปิดเผยว่า ธนาคารเอมิเรตส์ เอ็นดีบี เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และมีรัฐบาลของดูไบเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ (Quality of Loanbook) ยังมีแนวโน้มของหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นจากการปล่อยกู้ในดูไบ  แต่ด้วยทุนของธนาคารที่มีอยู่สูงถึง 19.6% ของทรัพย์สิน ประกอบกับการที่ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 1,942  ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ 113.82%         ทำให้ธนาคารมีความสามารถรองรับหนี้เสียได้ถึง 10% ในขณะที่ในไตรมาส 2 ของปี 2553 ธนาคารมีหนี้เสียอยู่เพียง 3% เท่านั้น และแม้ว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะยังไม่มีการตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองเงินฝาก  แต่ธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ออกประกาศเรื่องการค้ำประกันเงินฝากในทุกธนาคารของประเทศเป็นการผลักดันให้เกิดการบังคับใช้ตามกฎหมาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลในการฝากเงินกับของสถาบันการเงินในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลง “เราเชื่อว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้น รัฐบาล UAE จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินในประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นของธนาคารของรัฐดูไบหรืออาบูดาบี เหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้วเมื่อครั้งเกิดปัญหาเรื่องสภาพคล่องในปี 2551  นอกจากความช่วยเหลือจากรัฐแล้ว ธนาคารกลางของ UAE ก็ยังเปิดให้ธนาคารต่างๆ กู้ยืมเงินมาใช้ได้ในภาวะวิกฤติ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีธนาคารใดขอกู้ยืมเงินดังกล่าวเลย นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังนำเงินส่วนหนึ่งเข้าไปฝากไว้ในทุกธนาคารของ UAE ด้วย” นายพัชรกล่าวในที่สุด

274 0

ธปท. มั่นใจสินเชื่อรวมปีนี้โต 9%

นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าสินเชื่อรวมของธนาคารพาณิชย์จะขยายตัวประมาณ 9% ตามเป้าหมายที่ธนาคารพาณิชย์คาดไว้ หลังจากช่วง 6 เดือนแรกปีนี้สินเชื่อขยายตัวไปแล้ว 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 'สินเชื่อรวมในปีนี้จะเติบโตประมาณ 9% ตามเป้าที่ธนาคารพาณิชย์คาดไว้ โดยส่วนหนึ่งมาจากสินเชื่อกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม,เอสเอ็มอีและสินเชื่อภาคเกษตร หลังจากครึ่งปีแรก สินเชื่อรวมโตใกล้ 6% ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว อีกทั้งการปล่อยสินเชื่อก็เริ่มผ่อนคลาย เพราะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น การเมืองเริ่มนิ่ง ทำให้คนเกิดความมั่นใจขอสินเชื่อมากขึ้น' นายสุรสิทธิ์ กล่าว เขากล่าวว่า นอกจากนี้ สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ยังขยายตัวได้อีก เนื่องจากคาดว่า ผู้ประกอบการบริษัทโทรคมนาคม มีแผนลงทุนขยายโครงข่ายรองรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ระบบ 3G ทำให้มีความต้องการใช้ทุนมากขึ้น อีกทั้งสินเชื่อที่ให้แก่กลุ่มท่องเที่ยวก็เริ่มฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศดีขึ้น ทำให้มียอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น และมีมาตรการรัฐออกมาสนับสนุน โดยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้รวมถึง สินเชื่อภาคเกษตร จากราคายางพาราและน้ำตาลที่สูงขึ้น ขณะที่สินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ยังขยายตัวดี โดยเฉพาะโครงการตามแนวโครงการรถไฟฟ้า สำหรับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL สิ้นเดือน ก.ค. อยู่ที่ 4.9% เพิ่มขึ้นจากเดือน มิ.ย.ซึ่งอยู่ที่ 4.8% ตามภาวะสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนสภาพคล่องในระบบ แม้ยังอยู่ระดับสูง แต่เริ่มปรับลดลงบ้าง โดยอัตราส่วนเงินกู้ต่อเงินฝาก ในเดือน มิ.ย. ปรับขึ้นเล็กน้อยมาที่ 88% เมื่อต้นเดือนนี้ ธปท.ได้เตือนให้ระมัดระวังว่า อาจมีการเก็งกำไรในการซื้อคอนโดมิเนียม หลังมีผู้ซื้อที่ไม่ได้เข้าอยู่จริง ประมาณ 25% ของการซื้อทั้งหมด

18 0

ราคาน้ำตาลที่ตลาดลอนดอน-นิวยอร์คส่อร่วง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  นักวิเคราะห์คาดราคาน้ำตาลที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์คมีแนวโน้มลดลง หลังบราซิล ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก เพิ่มการส่งออกน้ำตาลมากขึ้น โดยในการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์พบว่า ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจลดลงในสัปดาห์หน้า หลังจากที่ราคาในสัปดาห์นี้เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% ขณะที่ซานโตสแอสโซซิเอดอสคอนซัลทอเรียในบราซิลเปิดเผยว่า จำนวนเรือรอลำเลียงน้ำตาลที่ท่าเรือในบราซิลลดลงมาอยู่ที่ 113 ลำจาก 128 ลำในสัปดาห์ก่อนหน้า

69 0

บล.ทรีนีตี้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 20/08/53

ลุ้นไม่ร่วงตามต่างประเทศ หุ้นใหญ่ Upside เหนือกว่า แนะนำเข้าซื้อหุ้นที่จะได้ประโยชน์หากปลดล็อคมาบตาพุด ได้แก่ PTT, PTTCH,SCC, BBL, SCB จันทร์ที่ 23 ส.ค.รอพบหลายเรื่องตั้งแต่ ผลประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเรื่องมาบตาพุด ที่ต้องตัดสินใจโดยนายกฯ เปิดซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สัญญา 5 ประกาศผู้ชนะประมูล และประกาศ GDP ไตรมาส 2/53 คาดโต8% และพธที่ 25 ส.ค.ประชุม กนง.กำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ยังคาดว่าขึ้นอีก0.25% เป็น 1.75% ค่าเงินบาทแข็ง เป็นปัจจัยใหม่ที่เข้ามาขณะนี้ที่อาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจว่าจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้หรือไม่ แต่เรายังเชื่อว่าขึ้นไปก่อนจะให้ผลดีกว่า จะได้ไม่เร่งฟองสบู่อสังหาฯ ให้แตกเร็วเกินไป ซึ่งคิดว่ารัฐบาลไม่น่าจะต้องห่วงภาคส่งออกมากนัก เนื่องจากที่ผ่านมาบาทแข็งมาโดยตลอดแต่ผู้ประกอบการปรับตัวได้ดี บาทแข็งช่วงนี้จะส่งเชิงลบทางด้าน Sentiment ต่อกลุ่มส่งออกเท่านั้นจะไม่กระทบผลประกอบการให้แย่ลงไปมาก วันนี้ทั้ง PTT, PTTEP อยู่ในจุดที่น่าจะปรับตัวขึ้นต่อได้ไม่ต้องกังวลมองย้อนกลับไปข้างหลังแล้ว เพราะหุ้นยัง Laggard ราคาถูก Earnings 2H53 ดีไว้ใจ ได้ คาดควรกลับเข้าซื้อ กรอบวันนี้ แนวรับ 883 แนวต้าน 897 ปัจจัยวันนี้ ( -/+ ) ย่อยภาพตลาดต่างประเทศ: สหรัฐฯ: คาดว่าอยู่ในสภาพซึมซับภาวะเงินไหลออกจากตลาดหุ้น ตลาดบอนด์สหรัฐฯ มุ่งสู่โซนเอเชีย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน ปริมาณการซื้อขายเบาบาง ผิดกับตลาดหุ้นบ้านเราบ่งชี้ว่า บรรดาผู้จัดการกองทุนสถาบันไม่ได้เข้าซื้อหุ้นตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ หุ้นพลังงานและวัสดุร่วงลงตามราคาน้ำมันและราคาโลหะ ให้ระมัดระวังหุ้นในกลุ่มส่งออกของเราที่ Related กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วย จีน: ตลาดหุ้นจีนดีดตัว 0.8% ทำนิวไฮกว่า 3 เดือน หุ้นแบงก์นำตลาดหลังจากเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ความเสี่ยงของหนี้รัฐบาลท้องถิ่นยังคงอยู่ภายใต้ความควบคุม เวียดนาม: ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ประกาศปรับลดค่าเงินดองลงเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่เดือนพ.ย. โดยปรับลดลง 2% โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยควบคุมยอดขาดดุลการค้าแรงกดดันดังกล่าวเกิดจากความต้องการซื้อดอลลาร์มากยิ่งขึ้นเพื่อนำมาใช้ชำระหนี้ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ที่กู้ยืมมาช่วงต้นปี ( 0 ) ส่งออก: ตัวเลขส่งออกเดือน ก.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 20.6% YoY แต่ลดลง 13.7%MoM อย่างไรก็ตามเป็นผลมาจากการลดลงของการส่งออกทองคำซึ่งค่อนข้างผันผวนในแต่ละเดือนอยู่แล้ว รวมถึงสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ ซึ่งยอดส่งออกเดือนก่อนสูงผิดปกติ ซึ่งโดยรวมแล้วแม้ยอดส่งออกจะส่งสัญญาณชะลอตัวอยู่บ้าง แต่ไม่ได้น่ากลัว เรายังคาดส่งออกปีนี้โตเกิน 20% สำหรับดุลการค้าที่ขาดดุล 940 ล้านเหรียญฯในเดือนนี้เป็นผลมาจากการนำเข้าสินค้าจำพวกวัตถุดิบค่อนข้างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาวะอุตสาหกรรมในประเทศที่ยังแข็งแกร่ง เรามองว่าหุ้นกลุ่มยานยนต์ยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ยอดส่งออกรถยนต์ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้ประโยชน์จากบาทแข็งในการนำเข้าวัตถุดิบ แนะนำซื้อ SAT ราคาเป้าหมาย 28 บาท ( + ) GDP ไตรมาส 2/53 คาดโต 8.0%: โดยตัวเลขจะประกาศในวันจันทร์ที่ 23 ส.ค. นี้ สะท้อนภาพของเศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง คาดทั้งปี GDP โต7.0% ( - ) STA: ระยะสั้นต้องถือว่าราคา PO ที่สิงคโปร์แค่ 18.5-21 บาท ไม่ค่อยแฟร์กับผู้ถือหุ้นในเมืองไทยนัก ต้องกลับมาซื้ออ่อนตัวในช่วง 18.5-21 บาท ก่อนจะดีกว่าอย่าเพิ่ง Bull ต่อ

19 0

บล.กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 20/08/53

กลยุทธ์วันนี้    890 + /- ประเด็นสำคัญวันนี้ SET INDEX วานนี้ปิดที่ 891.23 จุด เป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 33 เดือน ด้วยกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าอย่างหนาแน่น วานนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 4 และสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิอย่างหนาแน่นเป็นวันที่ 2 เช่นกัน SET INDEX วันนี้ KimEng ประเมินน่าจะเปิดด้วยการอ่อนตัวลงหลุด 890 จุด ด้วยความกังวลจาก DJIA – NYMEX – แรงขายทำกำไรระยะสัปดาห์ โดยเฉพาะ Prop Trade แต่เชื่อว่ากระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าเอเชีย รวมถึงไทยอย่างหนาแน่น รวมถึงการกลับมาซื้อสุทธิของสถาบันภายในประเทศ 2 วันทำการย่อมทำให้ SET INDEX วันนี้อาจขยับขึ้นสวนทางกับภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วเอเชียได้เช่นกัน สู่บริเวณ 895 -600 จุด ทั้งนี้นักลงทุนควรติดตามราคาหุ้น PTT – PTTEP และค่าเงินบาทระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย เพื่อเป็นเครื่องมือในการชี้วัดกระแสเงิทุนต่างชาติ สำหรับมุมมองสัปดาห์หน้า KimEng เชื่อว่าจะยังเป็นภาพของ Sideways-to-Sideways-Up ต่อเนื่องจากสัปดาห์นี้ หากเกิดความชัดเจนเรื่องมาบตาพุด และ GDP ใน 2Q53 ของไทย ตลาดคาดไว้ที่ 8% yoy ซึ่งจะประกาศในวันจันทร์นี้ ส่วนการประชุมกนง. จะเป็นวันพุธที่ 25 ส.ค. ปัจจัยดังกล่าวล้วนแต่ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มหลักอย่างพลังงาน, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: KimEng เสนอ “ถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ”  รวมถึง “ทยอยสะสม AOT/ QH” การลงทุนทางเลือก: แนะนำให้นักลงทุน “อาจพิจารณาปิดสถานะ Long ใน S50U10 บริเวณ 615 จุดหรือสูงกว่า และถือเงินสด” Stop Loss: S50U10 <  600 จุด ปิด Long และ เปิด Short  Portfolio Hold: CPF/ TASCO / MCOT/ BEC/ BBL/ PTT/PTTEP/ BANPU/ TPC/ MINT/ THAI/ AOT/ MAJOR/ BTS/ TVO/ AP/ LH / QH / CPALL/ HEMRAJ / TTA/ HANA/ THCOM/ PTTCH Accumlative Buy: AOT/ QH Technical View     แนวรับ 888 จุด, 880 จุด และ 860 จุด ส่วนแนวต้าน 905 จุด และ 925-930 จุด ทั้งนี้แนะนำให้พิจารณาที่เส้นค่าเฉลี่ย 888 จุดเป็นสำคัญ

2077 0
อ่านข่าวถัดไป
Sanook.commenu