ข่าว ข่าววันนี้ ตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาล พรีเมียร์ลีก ตรวจหวย ข่าวบันเทิง ฟังเพลงออนไลน์ วิเคราะห์บอล ทีวีออนไลน์

อ่านข่าวย้อนหลัง

เมนูข่าว

การเงิน และการลงทุนทั้งหมด

แสดง 5376 - 5,400 จาก 32,893 ข่าว

ค่าบาทเช้านี้เปิดที่ 31.54-31.56 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจาก ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 31.54-31.56 บาทต่อดอลลาร์ โดย ณ เวลา 9.15 น. ค่าเงินบาทแข็งค่ามาอยู่ที่ระดับ 31.52-31.54 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ ระหว่างวันคาดว่าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าเช่นเดียวกับค่าเงินในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวแข็งค่า ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ระดับ 31.45-31.60บาทต่อดอลลาร์ แนะนำให้ติดตามเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ที่ยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งให้ติดตามการเข้ามาแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.                

23 0

บล.ธนชาต : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 20/08/53

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้อาจมีแรงกดดันจาก DJ ที่ลดลง 1.4% ผนวกกับ SET เพิ่มขึ้นกว่า 8% WTD ขณะที่สัปดาห์หน้ามีปัจจัยของหลายกลุ่มอุตสาหกรรมให้ติดตาม กลุ่มพลังงาน–ข้อสรุปของโครงการในมาบตาพุด (23 ส.ค.) ทำให้กลุ่ม PTT กลับมาน่าสนใจ หุ้นที่จะได้รับประโยชน์หากโรงแยกก๊าซเปิดดำเนินการได้คือ PTTCH สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำให้ทยอยสะสม BIGC ราคาหุ้นขึ้นน้อยกว่ากลุ่มและ SET มีปัจจัยบวกจากการปรับเป้ากำไร ไม่ได้ผลกระทบจากปิดสาขาใหญ่ และคงเป้าหมายขยายสาขาต่อเนื่องประเด็นสำคัญวันนี้ หุ้นเด่นวันนี้ BIGC ราคายังขึ้นน้อยกว่ากลุ่มและ SET แนะนำ “ซื้อสะสม”สิ้นสุดการรายงานผลประกอบการและบริษัทหลายแห่งมีกำไรดีกว่าที่ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกซึ่งแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเมือง ยอดขายสาขาเดิม (SameStore Sale) ยังขยายตัวเฉลี่ย 2% q-q อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มฯปรับขึ้นไปรับข่าวบวกไปบ้าง แต่ BIGC ยังเพิ่มขึ้นเพียง 1% MTD เทียบ SET ที่เพิ่มขึ้น4% MTD ความน่าสนใจของ BIGC คือ 1) แม้ต้องปิดสาขาราชดำริแต่กำไรสุทธิ Q2ไม่ลดลง เพราะมีเงินชดเชยค่าสูญเสียโอกาสทางธุรกิจให้ 2) BIGC มีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แต่เจาะกลุ่มลูกค้าในชุมชุนต่างจังหวัดมากขึ้น 3) ปีหน้ามีโอกาสบันทึกกำไรทางบัญชีจากส่วนต่างค่าก่อสร้างใหม่ของสาขาราชดำริกับมูลค่าทางบัญชี ทำให้มีความเป็นไปได้ที่มีโอกาสเห็นการปรับกำไรปีหน้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาเป้าหมายจะต้องถูกปรับขึ้น (ราคาเป้าหมาย Consensus เฉลี่ยที่ 59.52บาท / แนวรับ 55 บาท แนวต้าน 60 บาท) รอรับข่าวมาบตาพุด PTTCH ยังมี Upside ถ้าพูดถึงในแง่ของผลการดำเนินงานแล้ว เราเชื่อว่ากำไรของ PTTCH ผ่านระดับต่ำสุดแล้วใน Q2 ถึงแม้ว่าแนวโน้มของspreads จะยังอ่อนแอใน Q3 แต่การบันทึกผลการดำเนินงานของโรงแยกผลิตภัณฑ์ใหม่น่าจะช่วยผลักดันกำไรได้ต่อเนื่องไปถึงปลายปี ราคาหุ้นในกลุ่ม PTT เริ่มปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลของเงินทุนไหลเข้าอีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการรอฟังการพิจารณาเรื่องโครงการในมาบตาพุดในวันที่ 23 ส.ค. ซึ่งเราเชื่อว่าโรงแยกก๊าซ 6 ของ PTT จะผ่านการตรวจสอบ EIA และ HIA ในมุมมองของเรากรณีมาบตาพุดที่เริ่มคลี่คลายปัญหาได้ ขณะที่ PTTCH จะเข้าสู่การเติบโตของกำไรรอบใหม่ โดยคาดว่ากำไรปี 2010 จะกลับไปเท่ากับปี 2007 และจะเพิ่มขึ้น3 เท่าในอีก 2 ปีข้างหน้า จึงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 117 บาทสรุปภาพตลาดวานนี้ SET ทำบวกต่ออีก 11.2 จุด มูลค่าการซื้อขายสูงถึง 4.3 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานทั้ง PTT PTTEP PTTCH กลับมามีมูลค่าซื้อขายสูงสุด นักลงทุนสถาบันกลับมาซื้อสุทธิเพิ่มมากอีก 2 พันล้านบาท ผนวกกับแรงซื้อต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติอีก 2.6 พันล้านบาท หลังจากที่ SET สามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ 880 จุด ทำให้ SET ปรับขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคที่ 4% MTDและ 21% YTD DJ รับข่าวร้าย ลบ 144.33 จุด หลังจากมีรายงานตัวเลขขอรับสวัสดิการจากการว่างงานที่เพิ่มขึ้นอีก 5 แสนรายสูงกว่าคาด อีกทั้งยังเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 3 สัปดาห์ติดต่อกัน และ เป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ถือว่าเป็นปัจจัยกดดันต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐให้ปิดลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน ที่ 10271.21 จุด สำหรับราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ลดลง 0.99 US$ ปิดตลาดที่ 74.43 US$/bbl ค่าระวางเรือปรับเพิ่มขึ้น 86 จุด ปิดที่ 2644 จุด สูงสุดในรอบ 2 เดือน

11558 0

บล.เคจีไอ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 20/08/53

ซื้อเล่นสั้นตามแนวรับ KGI คาดว่าตลาดหุ้นไทยวันศุกร์จะเปิดปรับลง เป้าหมายอยู่ที่แนวรับเทคนิค 885 และ 880 จุด ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อคืนออกมาแย่กว่าที่คาดมาก โดยดัชนีการผลิตแถบฟิลาเดลเฟียเดือน ส.ค.ร่วงลงจนติดลบ (ตลาดคาด +7.1 จุด) และยอดขอรับสวัสดิการว่างงานขึ้นสู่ระดับสูงสุดรอบ 9 เดือนที่ 5 แสนคน ซึ่งกดดันราคาน้ำมัน ดันดัชนี VIX ขึ้น และจะเป็นลบต่อตลาดสินทรัพย์ในเอเชีย อย่างไรก็ดีการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นก็อยู่ในการคาดการณ์ของตลาดพอสมควร (ดังที่เราออกบทวิเคราะห์เศรษฐกิจไปเมื่อวาน) จึงไม่น่าจะกดดันตลาดหุ้นเอเชียมากจนเกินไป นอกจากนี้กระแสของเงินทุนไหลเข้าเอเชียก็ยังอยู่ ส่วนสัปดาห์นี้มีประเด็นเศรษฐกิจให้ตามดังนี้ i) จีดีพีของไทยไตรมาส 2/53 (23 ส.ค.) ตลาดคาดโต 7-8% YoY ii) ประชุม กนง. (25 ส.ค.) คาดขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 1.75% เนื่องจากปัจจัยภายในแข็งแกร่ง และน่าจะกระตุ้นบาทแข็งต่อ iii) ตัวเลขสหรัฐฯ เกี่ยวกับยอดขายบ้านและจีดีพีไตรมาส 2 น่าสังเกตว่าตลาดคาดการรายงานจีดีพีไตรมาส 2 ครั้งที่ 2 (Second revision) จะโตเพียง 1.4% เทียบกับ 2.4% ในการรายงานครั้งแรก กลยุทธ์: กรณีเล่นในวัน ซื้อเพื่อการรีบาวด์ตามแนวรับ ไม่ถือข้ามวันหยุด ส่วนระยะกลางให้ถือครองหุ้นเพราะเรามองว่าการปรับฐานของเอเชียไม่น่ารุนแรง ราคาหุ้นที่อ่อนตัวเป็นจังหวะเข้าซื้อหุ้นหลักในกลุ่มแบงก์และพลังงาน ส่วนหุ้นที่น่าจะเด่นวันนี้ได้แก่ก่อสร้างและรับเหมาตามข่าวผู้รับเหมา 11 ราย เข้าซื้อซองประมูลรถไฟฟ้าสีแดงบางซื่อ-รังสิต เก็งกำไร CK, STEC, UNIQความเห็นข่าวเด่นจากสถาบันวิจัยฯ ยอดส่งออกรถยนต์ของไทยเดือนก.ค.53 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากยอดคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคโดยเฉพาะในเอเชีย ผลจากยอดส่งออกรถยนต์และยอดขายรถยนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นโดดเด่น ทำให้ยอดผลิตรถยนต์เดือนก.ค.53 เพิ่มขึ้น 94.4% YoY เป็น 145,771 คัน ทำให้ยอดผลิตรถยนต์รวมของไทยช่วง 7M10 เพิ่มขึ้นแล้ว 97.1% YoY เป็น 914,765 คัน เราประเมินว่ายอดผลิตรถยนต์ในงวดไตรมาส 3/53 จะเพิ่มขึ้น QoQ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของกลุ่มยานยนต์ ดังน้นเราจึงยังคงน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มเป็น “มากกว่าตลาด” และเลือก SAT และ STANLY เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม AOT* รายงานยอดผู้โดยสารเดือนก.ค.53 เพิ่มขึ้นเป็น 4.68 ล้านคน จากระดับ 4.33 ล้านคนในเดือนก.ค.52 หรือเพิ่มขึ้น 8% YoY โดยแบ่งเป็นยอดผู้โดยสารต่างชาติ 2.99 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15% YoY ขณะที่ยอดผู้โดยสารภายในประเทศลดลงเล็กน้อย 2.54% YoY เป็น 1.69 ล้านคน ในส่วนของเที่ยวบินเดือนก.ค.53 ปรับตัวสูงขึ้น 7.46% YoY เป็น 31,645 เที่ยว โดยแบ่งเป็น 17,928 เป็นเที่ยวบินต่างชาติ และเที่ยวบินภายในประเทศจำนวน 13,717 เที่ยว เพิ่มขึ้น 4.8% YoY คาดเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยว ทำให้ปริมาณการจราจรทางอากาศของ AOT ปรับสูงขึ้น YoY เรายังคงแนะนำ “ถือ” AOT ราคาเหมาะสม 38.50 บาท แนวโน้มงบกระทรวงคมนาคมปี 2554 ที่คาดจะปรับขึ้น 42% YoY เป็น 76,710 ล้านบาท ส่งผลบวกต่อภาพรวมในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง (ที่มา: บางกอกโพสต์): เราประเมินว่างบในส่วนของกระทรวงคมนาคมมีแนวโน้มผ่านการลงมติได้ เนื่องจากเม็ดเงินดังกล่าวจะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจปี 2553 ขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้ เราคาดกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะได้รับผลบวกดังกล่าว เพราะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ อาทิ ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ รวมถึงการก่อสร้างถนน เป็นต้น ผลักดันให้ปริมาณงานในมือของผู้รับเหมาปรับตัวสูงขึ้ น นอกจากนี้ การเติบโตขึ้นโดดเด่นของอุปสงค์ในส่วนของวัสดุก่อสร้างพื้นฐาน คาดจะหนุนให้บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว อาทิ SCC* และ TASCO มีผลการดำเนินงานที่ขยายตัวต่อเนื่อง และหุ้นดังกล่าวจัดเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง สภาอุตฯ รายงานดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) เดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นสู่ 108.6 จาก 103.3 ในเดือน มิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นใน 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้นสู่ 117.6 จาก 105.7 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นการย้ำมุมมองของการขยายตัวของการผลิตอุตฯ และการลงทุนเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นอีก กลุ่มที่มีสัดส่วนในการผลิตอุตฯ ของไทยสูงได้แก่อิเลกโทรนิกส์ ยานยนต์ และก่อสร้าง ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากความมั่นใจที่สูงขึ้นของภาคธุรกิจ ผ่านการลงทุนภายในประเทศรวมทั้ง FDI ด้วย                

11 0

บล.ซิกโก้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 20/08/53

SET Index ได้เปิด Gap ขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะที่ Bullish สุดขีด หลังจากที่ SET Index สามารถปิดตลาดรายสัปดาห์เหนือ 869 จุด แต่ในมุมมองของเรา การปรับตัวขึ้นครั้งนี้กลับเป็นการปรับตัวขึ้นที่ไม่มีเสถียรภาพ นั่นคือ การทำ New High ครั้งใหม่ของ SET Index ไม่สอดคล้องกับ Indicators ต่างๆที่ยังไม่ได้ New High เลย นอกจากนี้เมื่อดู Price Pattern ของ SET Index ประกอบกับการนับ Wave แล้ว เชื่อว่า SET Index กำลังจะจบการปรับตัวขึ้นใน Sub Wave 1 ของ Wave 3 โดยใน Sub Wave 1 ซึ่งประกอบด้วย Minute Wave 1 (i), 2 (ii), 3 (iii), 4 (iv), และ 5 (v) นั้น หากเรานับ Wave ไม่ผิดก็น่าจะใกล้จบ Sub Wave 1 เต็มที นักลงทุนจึงควรต้องเริ่มระมัดระวังในการลงทุนให้มากในช่วงนี้ ยิ่งเมื่อ SET Index สามารถปิดตลาดเหนือกรอบ 879-884 จุดที่เราให้ไว้ได้สำเร็จ ความเสี่ยงในการลงทุนก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนี้เราบอกว่า Dollar Index ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเป็นลำดับนั้นอีกไม่นานจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้เชื่อว่าการเปิด Gap ครั้งนี้ของ SET Index น่าจะเป็น “Exhaustion Gap” หรือ Gap เหนื่อย ซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะที่ Bullish สุดขีด หรืออีกนัยคือภาวะของความโลภสุดขีดนั่นเอง เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเริ่มทยอยลดพอร์ตการลงทุน โดยอีกไม่นานเราน่าจะได้เห็นการปรับฐานของ SET Index ใน Sub Wave 2 ของ Wave 3 ตามมา ทั้งนี้หาก SET Index เริ่มปรับฐานใน Sub Wave 2 ของ Wave 3 จริง คาดว่าจะได้เห็นการเกิด Daily Sell Signal ของ SET Index ในไม่ช้านี้ วันนี้หุ้นที่เกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ ได้แก่ CIMBT โดยมีเป้าหมายระยะสั้นอยู่ที่ 4.08 บาท และ 4.64 บาท และ QH มีเป้าหมายระยะสั้นอยู่ที่ 2.52 บาท และ 3.02 บาท วันนี้ SET Index มีแนวต้านอยู่ที่ 894-897 จุด และ 902 จุด โดยมีแนวรับอยู่ที่890-887 จุด และ 883 จุด ตามลำดับ                

1088 0

สรุปข่าวหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ธสน.ปล่อยกู้2สกุลสู้บาทแข็ง กสิกรฯแนะเลิกหวังกำไรค่าเงิน  ยอดส่งออกก.ค.โต 20.6% นำเข้าพุ่งสูงรอบ 23 เดือน 'พรทิวา'มั่นใจทั้งปีโตตามเป้า 20% เอ็กซิมแบงก์อุ้มผู้ส่งออกลดความเสี่ยงบาทแข็งเล็งปล่อยเงินกู้หมุนเวียนก่อนส่งออกเป็น 2 สกุลทั้งบาทและดอลลาร์ ด้านกสิกรไทยเตือนผู้ประกอบการเลิกเก็งกำไรค่าเงิน ชี้บาทส่อแข็งค่าต่อเนื่อง เอกชน จี้ ธปท.ดูแลค่าบาทผันผวน หวั่นแข่งขันด้านราคาลำบาก ด้าน ม.หอการค้าปรับจีดีพีปีนี้โต 6.9% เหตุส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง ผวาเศรษฐกิจสหรัฐ-อียูซึมยาว ส่งผลบาทแข็งค่า 30 บาทต่อดอลลาร์'ทีจี'ร่วมทุนไทเกอร์ฯป่วน 2ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายทิ้ง12% ผู้ถือหุ้นใหญ่ไทเกอร์ แอร์เวย์ส เทขายหุ้น 12.3% 'อำพน' สั่งการบินไทยตรวจสอบ กระทบฐานะการเงิน ไทย ไทเกอร์ แอร์ ด้าน 'ปิยสวัสดิ์' ชี้แค่ขายหุ้นทำกำไร ไม่กระทบแผนร่วมทุน ขณะที่ 'โสภณ' จี้การบินไทยพิจารณารอบคอบก่อนร่วมทุน ลั่นเอ็มโอยูตั้งสายโลว์คอสท์ยังไม่มีผลผูกพันคลังหวั่นงบลงทุนวิกฤติ เร่งดึงเอกชนร่วมลงขัน คลัง ผวาไทยเจอปัญหา 'ขาดงบลงทุน' เร่งเปิดทางเอกชนร่วมลงทุน เอื้อเศรษฐกิจเดินหน้า ลดช่องว่างคนรวยคนจน ด้าน สศค.เผย ไทยติดอันดับ 50 ประเทศกระจายรายได้ยอดแย่ของโลก ภาคเอกชน แนะใช้นโยบายการคลังส่งเสริมลงทุนและพัฒนาชนบทเป็นรูปธรรม ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม บจ.กำไรครึ่งปี2.9แสนล.โต34% ดัชนีหุ้นวิ่ง11จุดทำสถิติสูงสุด2ปี10เดือนต่างชาติลุยซื้ออีก 2.6 พันล้าน ดันยอดซื้อสุทธิทั้งปีกลับมาบวกครั้งแรกหลังจลาจล ตลาดหลักทรัพย์เผยผลประกอบการงวดครึ่งแรกปีนี้ของบริษัทจดทะเบียนกำไรรวมกันกว่า 2.92 แสนล้านบาท โต 34% รับยอดขายทะยาน โดยกลุ่มทรัพยากร การเงิน และอสังหาริมทรัพย์กำไรมากที่สุด ด้านดัชนีหุ้นบวกอีก 11 จุด ทุบสถิติสูงสุดรอบ 2 ปี 10 เดือน ลุ้นทดสอบแนวต้าน 900 จุดวันนี้ ต่างชาติลุยซื้อ 2.6 พันล้านบาท ดันยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีพลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิครั้งแรกนับแต่เหตุจลาจลธปท.ชงแบงก์ศึกษาระบบกันแฮคข้อมูล “แบงก์ชาติ” เตรียมให้นโยบายธนาคารพาณิชย์ศึกษาระบบป้องกัน “แฮคข้อมูล” เพิ่ม เผย แบงก์พาณิชย์ในบางประเทศมีบริการเสริม โดยดูแลไปถึงคอมพิวเตอร์ลูกค้าด้วย ชี้เป็นแนวทางที่ดีหากทำได้ พร้อมเล็งขอให้การส่ง เอสเอ็มเอส ยืนยันของแบงก์ระบุชื่อเจ้าของบัญชีด้วย เพื่อป้องกันการสับสน ไมเนอร์บุกต่างแดน-รับจ้างบริหาร เน้นกระจายรายได้ลดเสี่ยงการเมือง-ศก.ลุ้นโอนโครงการเซนทร์รีจิส 6 ยูนิต ดันกำไรสุทธิปีนี้โตกว่าปีก่อน ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลุ้นโอนโครงการเซนท์รีจิส 6 ยูนิต ดันกำไรสุทธิปีนี้โตกว่าปีที่แล้ว ส่วนทั้งปีคงเป้ารายได้โต 8-12% แม้ธุรกิจอาหาร-โรงแรมฟื้นแต่อัตราค่าเข้าพักเฉลี่ยยังต่ำ พร้อมปรับแผนกระจายรายได้ลดเสี่ยงจากการเมือง-เศรษฐกิจในประเทศ ยันปิดการเจรจาซื้อโรงแรมและอาหารในต่างประเทศภายในปีนี้ซีพีเอฟชี้บาทแข็งไม่กระทบ 'ซีพีเอฟ' มั่นใจบาทแข็งไม่กระทบธุรกิจ เนื่องจากมีทั้งนำเข้า-ส่งออกในปริมาณใกล้เคียงกัน จึงสามารถรักษาสมดุลได้อีกทั้งการส่งออกบริษัทได้ประกันความเสี่ยงค่าเงินล่วงหน้าส่วนธุรกิจกุ้งยังส่งผลดีต่อบริษัท เพราะราคาสดใสกลุ่มมณียารับ'ทุนซีพี'ต่อท่ออสังหาฯ ตั้ง บ.ร่วมทุนฟื้นรอยัลราชประสงค์มูลค่า 5 พันล้าน กลุ่มมณียาฯ ได้แมกโนเลียฯ ทุนอสังหาฯ ซีพีต่อท่อธุรกิจ ปัดฝุ่นโครงการรอยัล ราชประสงค์ หลังกลุ่มซีแลนฯ ทุนมาเลเซียและทีอาร์ซีฯ ถอนตัว เดินหน้าพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส มูลค่ากว่า 5,000 ล้านส่งออกรถยนต์ก.ค.สร้างสถิติสูงสุดรอบ22ปี ส่งออกยานยนต์ ก.ค.เติบโต 139% สร้างสถิติสูงสุดในรอบ 22 ปี ระบุสิทธิประโยชน์ด้านภาษีกลุ่มอาเซียน และการลดขั้นตอนกรมศุลกากรช่วยหนุนด้านการผลิต 7 เดือน รถยนต์ 9.1 แสนคัน จักรยานยนต์ 1.5 ล้านไอศกรีม'ครีโม'แตกไลน์ธุรกิจ ผุดคอนโด'เอสโทร'แจ้งวัฒนะ นายสอ ซี ยง ประธาน บริษัท จอมธนา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายไอศกรีมแบรนด์ “ครีโม” ซาลาเปาแบรนด์ “สตาร์” และ กรรมการ บริษัท เอ-สตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการก่อตั้งบริษัทลูกขึ้นใหม่ ภายใต้ชื่อ บริษัทเอ-สตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ทุนจดทะเบียน 120 ล้านบาท ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บิ๊กซีขยายพื้นที่เช่าลดต้นทุนเพิ่มกำไร ปิดสาขาราชดำริฉุดรายได้พลาดเป้า บิ๊กซี ปรับลดสัดส่วนไฮเปอร์มาร์เก็ต เพิ่มพื้นที่เช่า ระบุต้นทุนบริหารจัดการต่ำ กำไรสูง พร้อมเดินหน้าขยายร้านขนาดเล็กทั้ง มินิบิ๊กซี-เพียว-บิ๊กซี จูเนียร์ เผยรายได้พลาดเป้า เหตุปิดสาขาราชดำริ ด้านข่าวซื้อคาร์ฟูร์ ปัดให้บริษัทแม่ชี้แจงที่มา หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ                

1718 0

ราคาน้ำมันดิบไลท์ปิดร่วง 99 เซนต์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า    ราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนกันยายน วันที่ 19 ส.ค. 53   ที่ตลาดนิวยอร์ค ปิดตลาดที่ราคา 74.43  ดอลลาร์/บาร์เรล  ลดลง 99 เซนต์ หรือ 1.31%       

14 0

สรุปภาวะการลงทุนนอก

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ค:ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 10271.21 จุด  ลดลง 144.33 จุดหรือ -1.39%ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ค: ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ  2178.95 จุด ลดลง 36.75 จุด หรือ -1.66% ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน :ดัชนี FTSE ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ระดับ 5211.29 จุด ลดลง 91.58 จุด  หรือ -1.73%ภาวะตลาดหุ้นฝรั่งเศส : ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ระดับ 3572.40 จุด ลดลง 75.53 จุดหรือ -2.07% ภาวะตลาดหุ้นเยอรมัน : ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ระดับ 6075.13 จุด ลดลง 111.18 จุดหรือ -1.80%

8 0

KBANK คาด สิ้นปีเงินบาทแตะ 31.00 บาท/ดอลลาร์

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) เปิดเผยว่า ได้ปรับการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสิ้นปีนี้ใหม่เป็น 31.00 บาท/ดอลลาร์ จากเดิมที่คาดไว้ 31.50 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสาเหตุสำคัญเกิดจาก ค่าเงินสกุลดอลลาร์อ่อนค่าลง หลังการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/53 ส่งผลให้นักลงทุนขายเงินสกุลดอลลาร์ออกมาอีกรอบหนึ่ง ประกอบกับสกุลเงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินที่มีหนี้สาธารณะค่อนข้างมาก ดังนั้นค่าเงินในแถบภูมิภาคเอเชีย รวมถึงค่าเงินบาทจึงแข็งค่าขึ้นโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศ คือ ดุลบัญชีการค้าในปีนี้เกินดุลประมาณ 6-7 พันล้านเหรียญ ซึ่งจะทำให้ตลาดมีความต้องการขายเงินสกุลดอลลาร์ออกมาเพิ่มเติม ส่วนแนวโน้มในปีหน้า ค่าเงินบาทมีโอกาสจะหลุด 31.00 บาท/ดอลลาร์ได้ หากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นยังคงอยู่ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ชัดเจน และสะท้อนออกมายังการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจในแต่ละเดือน ดังนั้นจึงต้องติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ สำหรับภาคการส่งออก ผู้ประกอบการอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนั้น เนื่องจากเป็นการแข็งค่าขึ้นทั้งภูมิภาค แต่ขณะที่บางอุตสาหกรรม อาทิ ภาคการเกษตร อาจต้องพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ หลังการแข่งขันสูงขึ้น จากที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศคู่แข่งทางภาคเกษตร ประกาศลดค่าเงินด่องลงไปอีก 2%                 ส่วนนายวีระชัย อมรรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจการค้าต่างประเทศ สายงานธุรกรรมการเงิน ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB เปิดเผยว่า มีโอกาสที่ในสิ้นปีนี้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินในแถบภูมิภาคเอเชีย โดยเกิดจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ มีเงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดทุนในช่วงนี้พอสมควร ประกอบกับภาคการส่งออกที่ขยายตัวสูงในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้มีเงินสกุลดอลลาร์อยู่ในระบบจำนวนมาก ซึ่งยังมีแนวโน้มที่จะมีออเดอร์จากต่างประเทศเข้ามายังภาคการผลิตในภูมิภาคเอเชียเพิ่มเติม ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเข้ามาดูแลและทำให้ค่าเงินบาทชะลอการแข็งค่าลงได้บ้าง                

1078 0

EXIM BANK ช่วยผู้ส่งออกลดความเสี่ยงค่าบาทแข็ง

EXIM BANK ช่วยผู้ส่งออกไทยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในภาวะเงินบาทแข็งค่าด้วย สินเชื่อเพื่อเตรียมการส่งออก 2 สกุล เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐหรือเงินบาท พร้อมรับทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) เพื่อเป็นหลักประกันให้กำไรของผู้ส่งออกไม่ผันผวนตามภาวะการขึ้นลงของอัตรา แลกเปลี่ยน ดร.นริศ  ชัยสูตร ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ในภาวะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นจนอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจภาคการส่งออก EXIM BANK พร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ส่งออกไทยโดยการให้สินเชื่อเพื่อนำไปใช้หมุน เวียนในกิจการช่วงก่อนส่งออกเป็น 2 สกุลเงิน ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐหรือบาท ทั้งนี้ ผู้ส่งออกสามารถเลือกใช้การกู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและ นำเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลบาทตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่ต้องรอการแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐหลังการส่งออก และนำเงินดอลลาร์สหรัฐที่ได้รับจากการขายสินค้ามาชำระหนี้เงินกู้ได้ทันที โดยไม่ต้องแปลงเป็นสกุลเงินบาท เป็นการช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้แก่ผู้ส่ง ออก ประธานกรรมการ EXIM BANK เปิดเผยต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม หากผู้ส่งออกเลือกใช้เงินกู้สกุลเงินบาท ผู้ส่งออกสามารถทำการขายเงินตราต่างประเทศที่จะได้รับจากการส่งออกเป็นการ ล่วงหน้าได้ โดยการทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) ซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ผู้ส่งออกไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเพราะได้ทำสัญญาจองอัตรา แลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้าแล้ว ผู้ส่งออกจึงสามารถคำนวณต้นทุนและกำไรที่แน่นอนได้ตั้งแต่วันที่ทำ Forward Contract “Forward Contract ช่วยให้ลูกค้าของ EXIM BANK ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับเงินค่าสินค้าต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ทำให้กำไรของธุรกิจส่งออกไม่ผันผวนไปตามภาวะการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยน ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง” ดร.นริศกล่าว

17 0

KBANK แจง สถานการณ์เอสเอ็มอีช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น

กสิกรไทยจับมือ สสว. และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือ รายงานสถานการณ์ SMEs เผยครึ่งปีแรกรุ่ง ผลจากการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น การลงทุนภาคเอกชนดีขึ้น เห็นได้จากกิจการ SMEs ตั้งใหม่กว่า 25,000 กิจการ เพิ่มขึ้น 29.6 การส่งออกมีมูลค่าเกือบ  9 แสนล้านบาท ขณะที่สินเชื่อ SMEs ผ่านการอนุมัติถึง 99,947 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 67% แต่คาดการณ์ครึ่งปีหลังชะลอตัว ผลจากเศรษฐกิจโลก เงินบาทแข็งค่า อัตราดอกเบี้ยเพิ่ม แนะทางออก SMEs ต้องระมัดระวังการกู้ แสวงหาโอกาสเพิ่มรายได้ เจรจายืดเวลาชำระหนี้ หรือขอใช้อัตราดอกเบี้ย Fix rate    นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยในงานรายงานสถานการณ์ SMEs ครั้งที่ 2/2553 เรื่อง “การปรับตัวของ SMEs ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น” จัดโดย สสว. ร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (TNSC) ว่า จากภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีทิศทางการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยอัตราการขยายตัวของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศ ในปี 2553 ไตรมาส 1/2553 ราคาปัจจุบัน มีมูลค่า 2,567,050.0 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.0 ขณะที่ GDP SMEs มีมูลค่า ณ ราคาปัจจุบัน 955,249.4 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.0 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37.2 ของมูลค่า GDP ทั้งประเทศ โดยคาดการณ์ครึ่งปีแรกคาดว่า GDP ของประเทศ จะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 10 ใกล้เคียงกับ GDP SMEs “เศรษฐกิจโดยภาพรวม และ SMEs ใน ช่วงครึ่งปีแรก 2553 (ม.ค.-มิ.ย.) มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ผลจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศคู่ค้า ความต้องการสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งมาตรการภาครัฐทั้งไทยเข้มแข็งและมาตรการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อของ ธนาคาร ทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น”  ผอ.สสว. กล่าวโดยเมื่อพิจารณาในด้านการจัดตั้งและสิ้นสภาพกิจการนิติบุคคลในส่วนของ SMEs พบว่า กิจการจัดตั้งใหม่มีจำนวน 25,092 ราย ขยายตัวร้อยละ 29.6 กิจการที่จัดตั้งใหม่ในสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ การก่อสร้างอาคารทั่วไป บริการนันทนาการ อสังหาริมทรัพย์ บริการด้านธุรกิจอื่น และขายส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตร ส่วนการสิ้นสภาพกิจการมีจำนวน 5,457 ราย หดตัวลงร้อยละ 80.6 กิจการที่สิ้นสภาพสูง 5 ลำดับแรก ได้แก่ การก่อสร้างอาคารทั่วไป อสังหาริมทรัพย์ บริการด้านธุรกิจอื่น ธุรกิจการท่องเที่ยวและผู้จัดนำเที่ยว และขายส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนด้านการส่งออก จากตัวเลขการส่งออกรวมทั้งประเทศมีมูลค่า 3,020,593.2 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 27.29 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า เป็นการส่งออกของ SMEs คิดเป็นมูลค่า 891,207.6 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 14.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีผลจากการขยายตัวด้านการส่งออกไปในประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น และจีน ขณะที่ประเทศที่มีอัตราการขยายตัวด้านการส่งออกสูง คือ อินโดนีเซีย ขยายตัวถึงร้อยละ 100.4 และอินเดีย ขยายตัวร้อยละ 69.4 เป็นต้น ส่วนสินค้าที่มีอิทธิพลต่อการขยายตัวของการส่งออกของ SMEs ได้แก่ สินค้าในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ยางและผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยยาง รวมทั้งพลาสติกและผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยพลาสติก “ในปี 2553 คาดการณ์ว่า SMEs สาขาต่างๆ สามารถสร้างมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นค่อนข้างเด่นชัด แต่จะมีทิศทางที่ชะลอตัวลงเล็กน้อยในครึ่งปีหลัง แม้ว่าภาคการส่งออกและภาคบริการจะมีการขยายตัวต่อเนื่อง แต่เป็นอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก เนื่องจากค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งตัวมากขึ้น และเป็นช่วง low season ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 3 – ต้นไตรมาส 4 รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสจะปรับสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจของ SMEs ในปี 2553 จะขยายตัวร้อยละ 5.2 ขณะที่การส่งออกจะขยายตัวอยู่ที่ 11.7 “ ผอ.สสว. กล่าวอย่างไรก็ดี แม้ว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อ SMEs มากนัก  แต่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากขึ้น เกิดการชะลอการลงทุนขนาดใหญ่ ในส่วนธุรกิจที่มีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินจะมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น มีกำไรสุทธิลดลงจากต้นทุนการประกอบการที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นแนวทางการปรับตัว ผู้ประกอบการต้องเพิ่มความระมัดระวังในการกู้ยืมเงินโดยเฉพาะการกู้เพื่อการลงทุนขนาดใหญ่ แสวงหาโอกาสในการเพิ่มรายได้ เช่น ขยายตลาดใหม่ ขยายประเภทสินค้าและบริการ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ รวมทั้งทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น นอกจากนี้ควรมีการเจรจากับสถาบันการเงิน ในการยืดระยะเวลาการชำระหนี้ หรือขอใช้อัตราดอกเบี้ยแบบ Fix rateนายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกธนาคารได้ปล่อยกู้สินเชื่อ SMEs ไปแล้วเกือบหนึ่งแสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยในครึ่งแรกของปี 2553 มีสินเชื่อ SMEs ผ่านการอนุมัติถึง 99,947 ล้านบาท ขยายตัว 67% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งขยายตัวได้ดีทั้งกลุ่มลูกค้า SMEs ขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยธุรกิจที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อ SMEs สูง ได้แก่ ภาคการก่อสร้างทั้งรับเหมาก่อสร้างและค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งได้รับผลดีจากโครงการไทยเข้มแข็ง และการลงทุนของภาคเอกชนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า ที่ยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553ด้านผลกระทบที่มีกับผู้ประกอบการ SMEs กับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น พบว่า เงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นส่งผลต่อแรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ย ทำให้ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.25% ไปอยู่ที่ระดับ 1.50% ซึ่งธนาคารพาณิชย์ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ตามไปแล้ว ซึ่งในปีนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.50% ไปอยู่ที่ระดับ 2.00% ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์เช่นกันทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโทรคมนาคมจะได้รับผลกระทบมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมและการขนส่ง ซึ่งมีการลงทุนใน Fixed Asset สูง ทั้งนี้ ธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่ จะเป็นภาคการค้าและบริการ ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการ SMEs ที่ตอนนี้ใช้สินเชื่อดอกเบี้ยลอยตัว ควรมีการเตรียมแผนธุรกิจเพื่อรับมือกับอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น โดยควรจะเตรียมปรับแผนใน 2 ส่วน ได้แก่ การบริหารจัดการธุรกิจ โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุน ซึ่งควรจะมีการควบคุมต้นทุนในธุรกิจให้รัดกุมยิ่งขึ้น และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับธุรกิจ ซึ่งถ้าหากสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วยแล้ว ย่อมทำให้ธุรกิจสามารถผ่านช่วงสภาวการณ์เช่นนี้ไปได้นายไพบูลย์  พลสุวรรณา ประธาน สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สภาผู้ส่งออก) กล่าวว่า ถึงแม้ว่าภาพรวมของการส่งออกของประเทศไทยจะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ผู้ประกอบการไม่ได้มีกำไรมากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงไม่แน่นอน ทำให้ลูกค้ายังคงกดราคาสินค้าให้ต่ำที่สุด ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องของการขาดแคลนแรงงานทำให้ต้องจ่ายค่าจ้างสูง ขึ้น เรื่องของระวางเรือไม่เพียงพอ ทำให้ค่าระวางเรือสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่มีอัตราสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยต่างๆ ล้วนแล้วแต่ทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการสูงขึ้นด้วย”นายไพบูลย์  พลสุวรรณา ยังได้กล่าวถึงการปรับตัวของ  SMEs จากผลกระทบด้านอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ว่า ผู้ประกอบการ SME ของไทย ควรจะต้องมีการพัฒนาประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องโดยเริ่มต้นจากการให้ความรู้แก่พนักงาน นำการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานมาช่วยในการลดต้นทุนขององค์กร เน้นการรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจการต่อรองกับคู่ค้า และควรมีการศึกษาหาข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อให้ได้คู่ค้าที่ดี

1096 0

แคทเปิดช่องทางเติมเงินผ่าน ATM กรุงไทย

ธนาคารกรุงไทย จับมือแคท เทเลคอม ให้บริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ แคท ซีดีเอ็มเอ ผ่าน  ATM  กรุงไทยทั่วประเทศ พร้อมโบนัสโทรฟรี 10% ของมูลค่าเติมเงิน จนถึง 18 พฤศจิกายนนี้ และเตรียมขยายช่องทางเติมเงินผ่านอินเทอร์เน็ต เอาใจคนรุ่นใหม่ นางศรีประภา พริ้งพงษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจภาครัฐ บมจ.ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ให้บริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือ แคท ซีดีเอ็มเอ กับลูกค้าของ กสท. โทรคมนาคม หรือ แคท เทเลคอม ผ่านเครื่อง ATM  ของธนาคารกรุงไทย โดยลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่เครื่อง ATM กว่า 6,400 เครื่อง และเครื่อง ADM อีกกว่า 700 เครื่อง ซึ่งกระจายตามจุดต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งจะติดตั้งเพิ่มในปีนี้ อีก 1,000 เครื่อง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้บริการได้ที่เครื่อง ATM บนรถบริการเคลื่อนที่  KTB on the Move อีก 88 คัน ซึ่งให้บริการลูกค้าในแหล่งชุมชน แหล่งท่องเที่ยว งานเทศกาลต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย เพิ่มทางเลือกในการเติมเงิน และสามารถรองรับลูกค้าของแคท เทเลคอมทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี “ลูกค้าแคท เทเลคอม สามารถเติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยระบบจะเติมเงินให้ทันทีหลังทำรายการ  และจะได้รับสลิป  รวมทั้ง SMS แจ้งยืนยันผลการทำรายการเป็นหลักฐาน นอกจากนี้ ธนาคารเตรียมขยายช่องทางการให้บริการเติมเงินโทรศัพท์มือถือผ่านอิน เทอร์เน็ต เพื่อสนองตอบ Life Style ของคนรุ่นใหม่” นางศรีประภา พริ้งพงษ์  กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่วันนี้จนถึง 18 พฤศจิกายน 2553 ผู้ใช้บริการ แคท ซีดีเอ็มเอ จะได้รับสิทธิ์พิเศษ 2 ต่อ ต่อแรก รับโบนัสค่าโทรฟรี 10% ของมูลค่าเติมเงิน โดยสามารถเลือกกำหนดค่าโทรได้ด้วยตัวเองตามสไตล์การใช้งานทั้งแบบ 50 บาท ใช้งานได้ 7 วัน แบบ 100 บาท ใช้งานได้ 15 วัน แบบ 300 บาท ใช้งานได้ 90 วัน แบบ 500 บาท ใช้งานได้ 150 วัน  และแบบ 1,000 บาท ใช้งานได้ถึง 200 วัน โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม และต่อที่สอง รับพวงกุญแจตุ๊กตา KTB  เมื่อเติมเงินครบทุก 3 ครั้ง โดยธนาคารจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์ 

178 0

BLS เตรียมขายวอร์แรนท์อนุพันธ์ภายในก.ย.นี้

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)บัวหลวง จำกัด(มหาชน)หรือ BLS กล่าวว่า บริษัทได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ให้สามารถออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ(วอร์แรนต์)อนุพันธ์ ได้เมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สามารถเสนอขายวอร์แรนต์อนุพันธ์ได้เร็วขึ้น จากเดิมที่คาดจะเสนอขายได้ภายในเดือนต.ค.53 เป็นภายในสิ้นเดือนก.ย.นี้ โดยบริษัทได้เตรียมแผนเดินหน้าให้ความรู้เจ้าหน้าที่การตลาด และนักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวอร์แรนต์อนุพันธ์ให้มากที่สุดก่อนเริ่มซื้อขายจริง สำหรับหุ้นที่อ้างอิงวอร์แรนต์อนุพันธ์ในระยะแรกนั้น จะพิจารณาหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอ้างอิงของ Single Stock Futures อยู่แล้ว เช่น บมจ.ปตท.(PTT), บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP), ธ.กสิกรไทย(KBANK),ธ.ไทยพาณิชย์(SCB) และบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC) โดยบริษัทมีแผนทยอยออกวอร์แรนต์อนุพันธ์ เพื่อให้นักลงทุนคุ้นเคยก่อน ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าวอร์แรนต์อนุพันธ์จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ทั้งยังเป็นสินค้าที่ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นอ้างอิง แต่ให้ผลตอบแทนเหมือนกับการลงทุนในหุ้นอ้างอิง และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้นอ้างอิงด้วย                

7045 0

บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้มหุ้นขาขึ้นดันผลงานถึงเป้าหมาย

บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้ม “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10%” ผลงานเข้าเป้า รับอานิสงส์หุ้นขาขึ้น ดันผลตอบแทนถึงเป้าหมาย 10% ในเวลาเพียงแค่ 4 เดือนครึ่ง เผยรับซื้อคืนอัตโนมัติเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2553 ที่มูลค่าหน่วยลงทุน 11.2699 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 12.70% (ช่วง 2 เมษายน 2553 – 17 สิงหาคม 2553) โดยดัชนีเปรียบเทียบ (SET Index) เท่ากับ 8.07% ซึ่งถือเป็นผลความสำเร็จของการบริหารแบบ Active Management ผสมผสานกับเทคนิคด้านจับจังหวะ     & nbsp;     การลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ยอมรับรอจังหวะหุ้นไทยปรับฐานรอบใหม่ จึงพิจารณาออกกองทุนทริกเกอร์ 10% กอง 2 นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจาก บลจ.ไอเอ็นจี ได้เสนอขายกองทุนใหม่ ได้แก่ “กองทุนเปิด  ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10%” ซึ่งเป็นกองทุนตราสารทุนที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนใน             ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี และมีแนวโน้มการเติบโต  สูง และเน้นการใช้เทคนิคเรื่องการเข้า-ออกตลาดในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย ค ือ มูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) เพิ่มขึ้นจากราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 10 บาท ไปอยู่ที่ 11.20 บาทต่อหน่วย ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วันทำการ กองทุนก็จะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมด พร้อมเลิกกองทุน ล่าสุด บลจ.ไอเอ็นจี ได้แจ้งให้ผู้ถือหน่วยลงทุนทราบว่า บริษัทได้ดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนจากผู้ถือหน่วยทุกราย ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 5,6,9,10 และ 11 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10%” มีมูลค่าหน่วยลงทุนสูงกว่า 11.20 บาทต่อหน่วย ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วันทำการ  ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในวันที่ 17 สิงหาคม 2553 นั้น มูลค่าหน่วยลงทุน อยู่ที่ 11.2699 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 12.70% ในระยะเวลา 4 เดือนครึ่ง นับตั้งแต่วันที่เริ่มลงทุนเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553 ซึ่งสูงกว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เพิ่มขึ้น 8.07% ในระยะเวลาเดียวกัน สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลตอบแทนถึงเป้าหมายได้อยู่ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เข้าลงทุนนั้น  พบว่าระดับดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ไทย   ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับทั้งดัชนีหลักทรัพย์ในอดีต และเมื่อเทียบกับมูลค่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ภูมิภาค โดย  คาดว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี เรโช) ในปี 2553 จะอยู่ที่ 11.1 เท่า ต่ำกว่าพีอี เรโช ของตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) ในปีนี้ที่คาดว่า จะอยู่ที่ 13.3 เท่า และคาดว่ากำไรข องบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  จะเติบโตได้ประมาณ 15% ในปี 2553 อีกทั้งจากการที่เห็นนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง และแม้ระดับราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง แต่ยังมีหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีโอกาสเติบโตสูงจากผลดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย    นอกจากนี้ ด้วยการบริหารการลงทุนแบบ Active ซึ่งเป็นการบริหารจัดการด้วยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพในลักษณะการวิเคราะห์และคาดการณ์ภาวะตลาดในอนาคต รวมถึงการจับจังหวะการลงทุนที่ถูกต้องเหมาะสม ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ “หลังจากกองทุนประสบความสำเร็จ โดยให้ผลตอบแทนกับผู้ถือหน่วยสูงถึง 12.70% ไปแล้ว ขณะนี้ก็มีเสียงเรียกร้องให้บริษัทออกและเสนอขายกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10% กองที่ 2 ซึ่งแม้ว่าเรามองว่าทิศทางของตลาดหุ้นยังมีสัญญาณที่ดีในระยะปานกลาง แต่ด้วยระดับดัชนี 880 - 890 จุดในขณะนี้ค่อนข้างลำบากในการที่จะสร้างผลตอบแทนให้ได้อีก 10% ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น จึงน่าจะรอจังหวะและโอกาสการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐาน หรือมีปัจจัยใหม่ๆ ที่ค่อนข้างชัดเจนที่จะสนับสนุนให้ตลาดไปต่อได้มากๆ ตอนนี้น่าจะเป็นจังหวะของการออกกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย อีควิตี้ ทริกเกอร์ 10% กองที่ 2” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน  บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าว

12 0

ไชน่าโมบายล์ เผย งบครึ่งปีแรกกำไรเพิ่มขึ้น 4.2%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ไชน่าโมบายล์ ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของโลกแจ้งผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกของปี 2010 โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4.2% มาอยู่ที่ 57.6 พันล้านหยวน (8.4 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่รายได้ของบริษัทในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มขึ้น 7.9% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 229.8 พันล้านหยวน (33.6 พันล้านดอลลาร์) โดยปัจจัยที่ทำให้ไชน่าโมบายล์มีกำไรมากขึ้น เป็นผลมาจากความต้องการและจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตบนมือถือของบริษัทเพิ่มขึ้น แต่ไชน่าโมบายล์ระบุว่าการแข่งขันในตลาดสูงขึ้น หลังรัฐบาลปรับปรุงโครงสร้างอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ด้วยการรวมกลุ่มผู้ประกอบการเป็น 3 กลุ่มในปี 2008 เพื่อกระตุ้นการแข่งขันและการพัฒนาอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทได้รับผลดีจากความพยายามของรัฐบาลจีนที่ต้องการพัฒนาพื้นที่ชนบทและพื้นที่ทุรกันดารทางฝั่งตะวันตกของประเทศ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนลดการพึ่งพาภาคส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศได้

15 0

ทิสโก้ เดินหน้าลุยตลาดสินเชื่อทะเบียนรถยนต์เต็มสูบ

ทิสโก้รุกตลาดสินเชื่อจำนำทะเบียนเต็มสูบ ชูจุดเด่นลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์ดีกว่าตลาด พร้อมเปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด “เงินหมุน 0% งวดแรก” มั่นใจกระแสตอบรับล้นหลาม เพราะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตลาดขณะนี้  ด้านภาพรวมธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ปีนี้คาดโตทะลุเป้า 15% แน่นอน  หลังรับอานิสงส์ตลาดรถยนต์ทำยอด New High  ชี้การแข่งขันในตลาดยังมีอย่างต่อเนื่อง  แม้ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น นายศักดิ์ชัย  พีชะพัฒน์  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)(TISCO)   (Mr. Sakchai Peechapat, Senior Executive Vice President, TISCO Bank Plc.) เปิดเผยว่า  ภาพรวมของตลาดสินเชื่อเช่าซื้อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ การแข่งขันในตลาดจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของรถยนต์ใหม่และเก่า เนื่องจากปีนี้ตลาดรถยนต์ในประเทศมีอัตราการขยายตัวที่ดีมาก คาดทำยอดได้สูงสุดถึง 725,000 -750,000 คัน   ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด อีกทั้งเพื่อเป็นการรักษาฐานลูกค้า ในส่วนสินเชื่อเช่าซื้อของทิสโก้ ก็ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของตลาดรถยนต์เป็นอย่างมาก อีกทั้งจากความร่วมมือกับพันธมิตรมาสด้า  ฟอร์ด และเชฟโรเลต ที่มีอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้ยอดสินเชื่อเช่าซื้อในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการขยายตัวถึง 13% จากเป้าหมายทั้งปี 10-15%  และมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทั้งรถใหม่และเก่าไม่ถึง 1.5% นายชลิต  ศิลป์ศรีกุล  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่  ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr. Chalit Silpsrikul,  Executive Vice President, TISCO Bank Plc.)  กล่าวว่า   เพื่อเป็นการตอกย้ำแผนการบุกตลาดสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ (ทิสโก้ ออโต้ แคช) อย่างต่อเนื่อง  ธนาคารจึงได้เปิดตัวแคมเปญ  “เงินหมุน 0% งวดแรก”  เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ารายย่อยหรือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  ซึ่งแคมเปญดังกล่าวจะช่วยลูกค้าที่ใช้บริการมีสภาพคล่องมากขึ้น สำหรับแคมเปญ “เงินหมุน  0% งวดแรก” นี้มีเงื่อนไขง่าย ๆ เพียงลูกค้านำทะเบียนรถยนต์ที่เป็นเจ้าของและยื่นขอสินเชื่อทะเบียนรถยนต์กับทิสโก้ ในระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2553 นี้  และมีวงเงินขอสินเชื่อตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไปเท่านั้น  ทั้งนี้จุดเด่นของสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ของทิสโก้ คือบริการที่รวดเร็วโดยลูกค้าจะได้รับเงินภายใน 1 วันหลังได้รับการอนุมัติ  นอกจากนี้ลูกค้ายังได้ชำระค่างวดที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับค่างวดเช่าซื้อทั่วไป และยังไม่ต้องโอนเล่มทะเบียนอีกด้วย “ตามแผนงานของเราในปีนี้ ที่จะมุ่งเน้นการทำธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถยนต์มากขึ้น ซึ่งหากนับตั้งแต่เราได้เริ่มแผนงานนี้ขึ้นมาถือว่าผลลัพธ์ที่ได้อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจมาก โดยที่ผ่านมาเราได้ทำการออกแคมเปญ “สินเชื่อเงินสด ลุ้นรถมาสด้า” เพื่อกระตุ้นตลาดให้เราเป็นที่รู้จักในตลาดทั่วประเทศมากขึ้น ซึ่งผลปรากฎว่าผลตอบรับดีมาก ๆ  และยังทำให้ยอดสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากว่า 52% เมื่อเทียบช่วงเวลาปกติ  ดังนั้นจากการออกแคมเปญดอกเบี้ย 0% ในครั้งนี้เราก็มั่นใจว่าจะได้รับผลตอบรับจะดีไม่แพ้กัน แม้ว่าในตลาดจะมีการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยกันอยู่แล้ว แต่หากเปรียบเทียบถึงผลประโยชน์ในด้านอื่น ๆ  รวมกับข้อเสนอของแคมเปญนี้ก็ยังถือว่าดีที่สุดในตลาดขณะนี้”  

14 0

BIGC คาด ยอดขายปีนี้โตเพียง 3%

นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BIGC กล่าวว่า คาดว่ายอดขายในปี 2553 จะเติบโตเพียง 3% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 4-5% เพราะได้รับผลกระทบกรณีเหตุการณ์ไฟ้ไหม้ที่ราชดำริ แต่ในแง่ของกำไรเชื่อว่าจะเติบโตอย่างต่ำ 10% จากปีก่อน เพราะแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการปิดสาขาราชดำริ แต่บริษัทฯ จะได้รับการชดเชยประกันที่บริษัทแม่ได้ทำไว้ ซึ่งจะรับเงินชดเชยเต็มจำนวน  นางสาวรำภา  กล่าวอีกว่า  ไม่ได้กังวลแม้จะสูญเสียรายได้จากการเปิดสาขาราชดำริ จากกรณีไฟไหม้ เพราะบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับเงินประกันภัยไฟไหม้ทั้งจำนวน โดยประกันคุ้มครองตั้งแต่กรณีเกิดเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. ด้วยวงเงินประมาณ 413 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสินทรัพย์ 276 ล้านบาท สินค้า 95 ล้านบาท และความสูญเสียหลังจากธุรกิจหยุดชะงัก 42 ล้านบาท ซึ่งตามแผนบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเปิดสาขาที่ราชดำริได้ประมาณไตรมาส 1/2554 โดยในส่วนของประกันก็จะยังคงครอบคลุมไปเรื่อยๆ จนกว่าสาขาราชดำริจะกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่เกิน 18 เดือนตามสัญญา ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ได้รับเงินชดเชยมากกว่าจำนวนเงิน 42 ล้านบาท สำหรับสาขาราชดำริปัจจุบันก็เริ่มซ่อมแซมแล้ว ซึ่งบริษัทฯ เตรียมเงินลงทุนสำหรับรีโนเวท ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นความตั้งใจเดิมที่จะรีโนเวทสาขาราชดำริอยู่แล้ว แต่ในส่วนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงอื่นๆ ประกันก็จะเป็นผู้จ่าย        

8639 0

ม.หอการค้า คาด จีดีพี ปี 54 โต 4-5%

ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจและคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ของไทยในปี 2554 จะอยู่ในกรอบ 4-5% ภายใต้การส่งออกในปี 2554 จะขยายตัวในกรอบ 8-13% ซึ่งสาเหตุที่ทำให้การขยายตัวของการส่งออกในปี 2554 ชะลอลง เนื่องจากฐานการส่งออกในปี 2553 อยู่ในระดับสูง ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2554 ยังคงมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เริ่มเห็นสัญญาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ภายหลังตัวเลขการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นและชะลอการบริโภคสินค้าคงทนอย่าง การซื้อที่อยู่อาศัย และรถยนต์ลดลง ขณะที่ปัญหาหนี้ในยุโรปยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอย่างชัดเจน ซึ่งอาจมีผลทำให้เม็ดเงินที่จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจลดน้อยลง ซึ่งทำให้คาดการณ์ว่าจีดีพีโลกจะขยายตัวเพียง 3.5-4% อย่างไรก็ตามยังคงคาดการณ์ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 จะมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งหากรัฐบาลมีการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากปัจจุบันที่ระดับ 206 บาท เป็น 220 บาท ซึ่งถือเป็นระดับที่เหมาะสม รวมถึงการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการจะช่วยกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อในประเทศเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเม็ดเงินลงทุนโครงการไทยเข้มแข็งที่เข้ามาในปี 2554 ก็จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญอีกปัจจัยหนึ่ง 'คาดการณ์จีดีพีในปี 2554 จะขยายตัวในกรอบ 4-5% ซึ่งหากการส่งออกยังคงขยายตัวได้ 8-13% ตามเป้าหมายประกอบกับการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัว และงบประมาณไทยเข้มแข็งกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ดีหากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้อย่างเด่นชัด และมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาสูงถึง 16 ล้านคน และไม่มีปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้ชะลอตัวลงมากอย่างที่คิด ก็น่าจะทำให้จีดีพีในปี 2554 มีโอกาสที่จะขยายตัวใกล้เคียงที่ 5% ได้'ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าว                

26 0

SCIB ส่งสินเชื่อบ้านพิเศษลุยตลาด

ธนาคารนครหลวงไทยเสนอแคมเปญสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษแบบลอยตัว 2 ปีแรก  MLR ลบ 3.25% ต่อปี พร้อมทั้งมอบส่วนลดดอกเบี้ยอีก 0.50% นานถึง 12 เดือน เมื่อทำประกันชีวิต MRTA Plus ที่คุ้มครองวงเงินกู้ทั้งจำนวน วงเงินกู้สูงสุดถึง 95% ของราคาประเมิน ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี เฉพาะลูกค้าที่ขอสินเชื่อภายในงาน ‘Home Buyer’s Expo 2010’ เพื่อขยายฐานสินเชื่อรายย่อยอย่างต่อเนื่อง นายอภิชาติ อรรฆย์ฐากูร ผู้จัดการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายสินเชื่อเคหะ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารเสนอโปรโมชั่น “สินเชื่อบ้านธนาคารนครหลวงไทย” (SCIB Home Loan) สำหรับลูกค้ารายย่อยที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยสำหรับบ้านใหม่หรือรีไฟแนนซ์ (Refinance) ภายในงาน “โฮม บายเออร์ เอ็กโป 2010” (Home Buyer’s Expo 2010) ระหว่างวันที่ 19-22 สิงหาคม 2553 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กับดอกเบี้ยลอยตัว ปีที่ 1-2 คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) ลบ 3.25% ต่อปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ย MLR ลบ 1.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ส่วนบ้านสั่งสร้างและบ้านมือสองคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรกเท่ากับ 3.99% ต่อปี หลังจากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ย MLR ลบ 0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา วงเงินกู้สูงสุดถึง 95%  ของ ราคาประเมิน ระยะเวลาการกู้สูงสุด 30 ปี พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้ 0.25% ของวงเงินกู้และค่าธรรมเนียมในการจัดทำนิติกรรมสัญญาจำนองอีกด้วย โดยผู้กู้ต้องจดจำนองให้เสร็จสิ้นเพื่อรับเงื่อนไขพิเศษดังกล่าวภายในวันที่ 30 กันยายน 2553 เท่านั้นนอกจากนี้ ธนาคารยังมอบส่วนลดดอกเบี้ยในปีแรกลงอีกสูงสุด 0.50% เป็นเวลา 12 เดือน จากทุกเงื่อนไขสำหรับลูกค้าที่กู้สินเชื่อเคหะพร้อมทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินกู้ MRTA Plus ทั้ง จำนวน และอายุกรมธรรม์ไม่ต่ำกว่าอายุสัญญาเงินกู้หรือไม่ต่ำกว่า 10 ปี โดยธนาคารยังให้วงเงินสินเชื่อเพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตสูงสุดทั้ง 100% ของค่าเบี้ยประกัน โดยไม่นับรวมกับวงเงินสินเชื่อเคหะอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายฐานสินเชื่อกลุ่มลูกค้ารายย่อยของธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในช่วงสิ้นปีนี้จะมียอดคงค้างสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นรวมเป็นประมาณ 8 หมื่นล้านบาท“ใน ช่วงที่เหลือของปีนี้ธนาคารคาดว่าจะสามารถเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่ อาศัยได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจำนวนหนึ่งที่เร่งตัดสินใจซื้อที่อยู่ อาศัยเร็วกว่าเดิมจากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของขา ขึ้นและความกังวลว่าแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยในอนาคตอาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้นโดย ธนาคารยังคงใช้แนวคิดการเสนออัตราดอกเบี้ยต่ำเฉลี่ย 2-3 ปีแรกเป็นหลัก ซึ่งมองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้กู้ในระยะยาวมากกว่า เนื่องจากทำให้ผู้กู้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ในการขอลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็ม ที่ โดยไม่เสียสิทธิประโยชน์ทางภาษีปีใดปีหนึ่งเท่านั้น รวมทั้งยังทำให้ลูกค้าสามารถวางแผนการชำระเงินกู้ได้ง่ายขึ้นและไม่เป็นภาระ สำหรับผู้กู้มากเกินไปในช่วงเริ่มต้นของการชำระหนี้อีกด้วย” นายอภิชาติ กล่าว

6041 0

ibank เปิดตัวโครงการสินเชื่อรากหญ้า

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ibank) จัดพิธีเปิดให้บริการโครงการสินเชื่อรากหญ้า Islamic Micro Finance  อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีนายภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)       เป็นประธานในพิธี  ณ ร.ร.ตันหยง จ.นราธิวาส นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ibank) กล่าวภายหลังพิธีเปิดโครงการสินเชื่อรากหญ้า Islamic Micro Finance   ว่า โครงการสินเชื่อรากหญ้า ibank เป็นหนึ่งในโครงการที่ธนาคารขอเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความยากจนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้  และสานต่อนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนารายได้และคุณภาพชีวิตของพี่น้องในพื้นที่ ให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 120,000 บาทต่อคนต่อปี ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารได้เชิญกลุ่มแม่บ้าน  ที่ประกอบอาชีพเครื่องแต่งกายมุสลิม กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มร.ร.สอนศาสนา มาชี้แจงปัญหาในการประกอบอาชีพ โดยธนาคารได้หาแนวทางแก้ไขและช่วยเหลือให้พี่น้องในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ และมีความมั่นคงในชีวิต โดย ibank ได้ดำเนินโครงการสินเชื่อรากหญ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสินเชื่อ จุลภาค ibank มาให้บริการนำร่องกับพี่น้องในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเป็นจังหวัดแรก โดยเป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำสุดของประเทศ และธนาคารยังคงจะขยายโครงการสินเชื่อรากหญ้าไปสู่จังหวัดอื่นๆต่อไปในอนาคตอันใกล้ “ibank มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งหลังจากที่เราได้รับทราบถึงปัญหาของพี่น้องในจ.นราธิวาส ทำให้ธนาคารเร่งดำเนินการปล่อยสินเชื่อในโครงการสินเชื่อรากหญ้า เพื่อจะได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น โดยธนาคารเริ่มปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา  ซึ่งมีลูกค้าแจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อ จำนวน 1,095 ราย  และได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว จำนวน 254 ราย คิดเป็นเงิน 4.49 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการดำเนินการ และตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จสิ้นในเร็ว ๆ นี้  “ นายธีรศักดิ์กล่าว

52 0

นายกฯ เผย จีดีพีโค้งสองยังเจอพิษท่องเที่ยวทรุด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ของไทย ในไตรมาส 2/53  ไม่ได้ขยายตัวเป็นตัวเลขสองหลัก หลังภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา  ซึ่งเติบโตน้อยกว่าไตรมาส1/2553 ที่ขยายตัว 12% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน                

26 0

แบงก์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯจ่อถูกบังคับซื้อคืนหนี้เน่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิทช์เรทติ้งส์ หรือ ฟิทช์คาดการณ์ว่า สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯสหรัฐฯอาจถูกบังคับให้ต้องซื้อคืนหนี้สินเชื่อจำนองที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ราว 180 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของแฟนนี่แมและเฟรดดี้แมค โดยฟิทช์ระบุว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน หนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารในโครงการช่วยเหลือภาคสถาบันการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯมีจำนวนอยู่ที่ 355 พันล้านดอลลาร์ และกึ่งหนึ่งเป็นของธนาคารขนาดใหญ่ 4 แห่งได้แก่แบงก์ออฟอเมริกา เจพีมอร์แกนเชสแอนด์โค ซิตี้กรุ๊ปอิงค์ และเวลล์สฟาร์โกแอนด์โค 'ฟิทช์หวั่นเกรงว่า การที่ต้องซื้อคืนหนี้เสียในจำนวนที่สูงอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของธนาคารทั้ง 4 แห่งและอาจประสบผลขาดทุนในอนาคต อีกทั้งอาจกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับอยู่ในขณะนี้' ในรายงานของฟิชท์ระบุ

9 0

CPF นำหุ้นกลุ่มส่งออกพุ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้นในกลุ่มส่งออก อาทิ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ,  บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)TUF  บริษัทฮานาไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน)(HANA)   และ บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)หรือ SAT พบว่าราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ แม้ค่าเงินบาท ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องอยู่ที่ 31.55 บาท/US$ ซึ่งแข็งค่าสูงสุดตั้งแต่ เม.ย. 2551 ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่าในช่วงนี้มีเงินทุนไหลเข้าไทยค่อนข้างมาก โดยมีเงินทุนไหลเข้าแล้วประมณ 5 หมื่นล้านบาท จากที่ไหลออกเกือบหมดในช่วงเดือนพ.ค. โดยช่วงเดือนก.ค.-ส.ค. พบว่ามีปริมาณเงินไหลเข้ามาค่อนข้างสูง เฉลี่ยเดือน 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่นายทวี ปิยะวัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ยอมรับว่า เงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกอย่างมาก ทั้งเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน และกำไรหดตัวลง หากเงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯก็จะเป็นปัญหาใหญ่ต่อผู้ส่งออก ทำให้เสียโอกาสทางการตลาด นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง ประเมินกราฟเทคนิคราคาหุ้นในกลุ่มส่งออก อาทิ TUF  -HANA และ STA พบว่าที่จะสามารถซื้อเล่นรอบได้ โดยสำหรับ TUF นักลงทุนสามารถที่จะซื้อเล่นรอบและซื้อลงทุนระยะกลาง โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 55-59 บาท หากผ่านได้มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นไปที่แนวต้านถัดไปที่ 61-65 บาท ส่วนแนวรับประเมินไว้ที่ 53-51 บาท สำหรับ  HANA มีแนวต้านอยู่ที่ 27-28.50 บาท หากผ่านได้จะอยู่ที่ 30.50 บาท แนวรับประเมินไว้ที่ 25.50-24.50 บาท ส่วน STA ให้แนวต้าน 22.30-23.00 บาท หากผ่านได้มีแนวต้านถัดไปที่ 23.70-25.00 บาท แนวรับอยู่ที่ 21.50-21.00 บาท บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าวว่า เมื่อประเมินตามเส้นกราฟเทคนิคราคาหุ้น CPF มองว่าระดับราคากำลังจะดีดกลับขึ้นมาทำ New Hihg อีกครั้ง โดยหากวันนี้ราคาไม่หลุดจุดต่ำกว่าระดับราคาที่ 25.25 บาท ทั้งนี้ประเมินแนวต้านไว้ที่ 25.75-26.50 บาท แนวรับ 25.25 บาท และจุดตัดขาดทุนที่ 25.00 บาท

2910 0

CNS เก็บหุ้นคืนอีก 2.6 หมื่นหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) (CNS) รายงานผลการซื้อหุ้นคืนกรณีเพื่อการบริหารทางการเงิน ว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2553 ได้ซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 26,000 หุ้น ราคาสูงสุดหุ้นละ 28.75 บาท ต่ำสุดหุ้นละ 28.50 บาท รวมเป็นเงิน 747,000.00 บาท ส่งผลให้จำนวนรวมของหุ้นที่ซื้อคืนในโครงการจนถึงปัจจุบัน 2,322,400 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 3.24 ของทุนชำระแล้ว มูลค่ารวม 67,243,375.00 บาท    

16 0

บล.ธนชาต : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 19/08/53

แนวโน้มตลาดหุ้นคาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 880 – 885 จุด แรงซื้อจากต่างชาติยังเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ยังดูน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารฯที่น่าจะตอบรับในเชิงบวกช่วงการประชุม กนง. ในสัปดาห์หน้าที่เชื่อว่าน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกรอบ KBANK เด่นทั้ง NIM และ Loan growth ส่วนกลุ่มสื่อสาร ยังให้ซื้อสะสมหุ้นใหญ่มากกว่าเก็งกำไรหุ้นเล็ก การผ่อนผันเกณฑ์การครอบงำกิจการของต่างด้าวเพื่อให้สอดคล้องกับพันธสัญญากับ WTO เป็นบวกต่อ DTACประเด็นสำคัญวันนี้ “ซื้อสะสม” กลุ่มธนาคารฯ (KBANK BBL) ต่อ นอกจากจะได้รับประโยชน์จาก Fund Flow มากที่สุดในช่วงนี้แล้ว ยังมีประเด็นบวกในระยะสั้นที่พอน่าจะสนับสนุนราคาหุ้นในช่วงสัปดาห์หน้า จากการประชุม กนง. ในวันที่ 25 ส.ค. ที่ TNS คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอีก 0.25% เป็น 1.75% จะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ของธนาคารขนาดใหญ่นอกจากนี้เรายังเห็นการอนุมัติเงินกู้ยืมให้บริษัทขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังได้ดี แนะนำให้ “ซื้อสะสม” หุ้นเด่น BBL (ราคาเป้าหมาย 170 บาท) และ KBANK (ราคาเป้าหมาย 140 บาท) ข้อสรุปแปรสัมปทานไม่กระทบ ผ่อนผันเกณฑ์ครอบงำกิจการเป็นบวก ช่วงนี้กลุ่มสื่อสารค่อนข้างร้อนแรง แม้ว่าสัปดาห์หน้า (24 ส.ค.) ไอซีทีจะยื่นสรุปความเห็นเรื่องแปรสัมปทานให้กับ ครม. พิจารณา แต่ไม่ว่าข้อสรุปจะเป็นอย่างไรไม่มีผลกระทบต่อเอกชนเพราะการแปรสัมปทานต้องยินยอมทั้งสองฝ่าย และเชื่อว่าคงไม่ทันกับการประมูลใบอนุญาต 3G เชื่อว่าทุกบริษัทจะเดินหน้าเข้าประมูลใบอนุญาตในวันที่ 20–28 ก.ย. หลังจากยื่นคำขอเข้าประมูลใบอนุญาต 3G เพิ่มเป็น13 ราย ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่ กทช. จะเปิดประมูลทั้ง 3 ใบพร้อมกัน ส่วนเกณฑ์ครอบงำกิจการโดยต่างด้าวที่จะทำประชาพิจารณ์วันที่ 20 ส.ค. อาจปรับเกณฑ์ให้ผ่อนปรนมากเพราะอาจขัดกับข้อผูกพัน WTO ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัทเอกชนที่มีต่างชาติเป็นผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ DTAC ซึ่งเป็น Top Pickของกลุ่มสื่อสาร (ราคาเป้าหมายที่รวม 3G เท่ากับ 62 บาท)สรุปภาพตลาดวานนี้ SET ทำ New High บวก 1.64% การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยกลับมาร้อนแรงอีกครั้งกว่า 4 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะ กลุ่มเกษตร กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มสื่อสารหนุนให้ SET ปิดที่ระดับสูงสุดของวัน ที่ 880.02 จุด Fund Flow จากต่างประเทศถือเป็นปัจจัยหนุนสำคัญโดยนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิ 1.2 พันล้านบาท และในที่สุดนักลงทุนสถาบันกลับมาซื้อสุทธิครั้งแรกในรอบ 13 วันทำการ DJ บวกเล็กน้อย โดยเพิ่มเพียง 9.69 จุด หรือ 0.09% ปิด 10,415.54 จุดเนื่องจากขาดปัจจัยใหม่หลังจากการประกาศผลประกอบการสิ้นสุดลง มีเพียงตัวเลขยอดค้าปลีกที่รายงานออกมาดีกว่าคาดจึงช่วยผ่อนคลายความวิตกต่อระดับอุปสงค์ของผู้บริโภคได้ชั่วคราว ตัวเลขสำคัญที่จะประกาศคืนนี้ คือ ยอดขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ส่วนราคาน้ำมันดิบไนเม็กซ์ลดลง 0.35US$ เป็น 75.42 US$/bbl ดัชนีระวางเรือ (BDI) ปรับเพิ่มขึ้น 43 จุด เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 10

10426 0
อ่านข่าวถัดไป
Sanook.commenu