อ่านข่าวย้อนหลัง ทั้งหมด หน้า 25443

เนื้อหาทั้งหมด

เนื้อหาทั้งหมด ใหม่ล่าสุด

เนื้อหาทั้งหมด
ใหม่ล่าสุด
ทีโอทียันไม่เคยทวงหนี้ผ่าน sms

ทีโอทียันไม่เคยทวงหนี้ผ่าน sms

ทีโอที เตือนให้ระวังมิจฉาชีพอ้างชื่อทีโอทีทวงหนี้ค้างชำระค่าโทรศัพท์ ยันไม่เคยทวงหนี้ผ่านเอสเอ็มเอสบนมือถือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทีโอที จ

เปิดอ่าน100
โฆษณาบนเว็บ

โฆษณาบนเว็บ

พี่ต้น เป็นชายหนุ่มวัยใกล้เกษียณ แต่ยังดูหนุ่มแน่นเหมือนเพิ่งจะ 50 พี่ต้นยังรับราชการอยู่ และมีธุรกิจล่องแพอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี พี่ต้นขอร้องไม่ให้ถ่า

เปิดอ่าน57
สมาร์ทโฟน

สมาร์ทโฟน

8 กิกะไบต์ โทรศัพท์มือถือจีเนท ไวไฟ ทัชโฟน เปลี่ยนฝาหลังได้ 7 สี สองซิม แบบเรียลไทม์ ดูทีวี เข้าถึงเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ เพิ่มหน่วยความจำได้สูงสุด 8 กิกะไ

เปิดอ่าน21
ข่าวสั้นรอบโลก วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553

ข่าวสั้นรอบโลก วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553

เตรียมสาบานตน แอนนา เยอรมัน รองประธานพรรคการเมืองของนายวิคเตอร์ ยานูโควิช เปิดเผยว่า การสาบานตนของนายยานูโควิช เพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคน

เปิดอ่าน50
สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 574.99 ลบ.

สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 574.99 ลบ.

วันนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ปิดที่ 695.66 จุด  เพิ่มขึ้น 1.83 จุด หรือ 0.26% มูลค่าการซื้อขาย 11,796.51 ล้านบาท ประเภทนักลงทุน               มูลค่าซื้อ(ลบ.)   มูลค่าขาย(ลบ.)   สุทธิ(ลบ.)  นักลงทุนสถาบัน               1,035.50            681.97                 353.53 บัญชีบริษัทหลักทรัพย์       1,364.70           1,527.81               (163.11) นักลงทุนต่างชาติ              4,019.27           3,444.28               574.99 นักลงทุนทั่วไป                 5,374.55           6,139.96               (765.41)               

เปิดอ่าน9
ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดที่33.17-33.19 บาท/ดอลล์

ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดที่33.17-33.19 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจาก ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) (CIMBT) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ระดับ 33.17-33.19 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันค่าเงินแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้คาดจะแกว่งตัวในกรอบแคบที่ระดับ 33.15-33.25 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากยังคงขาดปัจจัยใหม่สนับสนุน โดยให้ติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลดอลลาร์เป็นหลัก               

เปิดอ่าน8
วันนี้ดัชนีฯ ปิดลดลง 1.83 จุดที่ 695.66 จุด

วันนี้ดัชนีฯ ปิดลดลง 1.83 จุดที่ 695.66 จุด

วันนี้ดัชนีฯปิดที่  695.66 จุด ลดลง 1.83 จุด หรือ 0.26 %  ณ เวลา16.43 น. มูลค่าการซื้อขาย 11,453.48 ลบ. หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่1.CPF  ปิดที่ 12.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 884.49 ลบ.2.PTT   ปิดที่ 218.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 704.88 ลบ.3.PTTEP ปิดที่ 132.00 บาท ลดลง 0.50  บาท มูลค่าการซื้อขาย 626.60 ลบ.4.BBL   ปิดที่ 108.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00  บาท มูลค่าการซื้อขาย 431.48 ลบ.5.BANPU ปิดที่ 532.00 บาท ลดลง 2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 429.95 ลบ.     ส่วนวันนี้ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 209.46 จุด ลดลง 0.33 จุด หรือ 0.16% มูลค่าการซื้อขาย 113.14ล้านบาท ด้าน SET50 Index ปิดที่ 486.92 จุด ลดลง 1.02 จุด หรือ 0.21% และ SET100 Index ปิดที่ 1047.36 จุด ลดลง 2.44 จุด หรือ 0.23%

เปิดอ่าน6
รองนายกฯศก.ชี้อีก 2 วันรู้ผลต่ออายุมาตรการอสังหาฯ

รองนายกฯศก.ชี้อีก 2 วันรู้ผลต่ออายุมาตรการอสังหาฯ

นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวภายหลังการเปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 22 ถึงแนวทางการต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ว่าจะต่ออายุหรือไม่ ว่า ภายใน 1-2 วันนี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรี 47 คนจะประชุมร่วมกัน และน่าจะมีความชัดเจนถึงการต่ออายุมาตรการดังกล่าวหรือไม่ จากนั้นจะนำข้อมูลการประชุมส่งไปยัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง '1-2 วันก็คงชัดเจนว่าจะต่อหรือไม่ต่อมาตรการอสังหาฯ น่าจะได้นโยบายก่อนหมดอายุ 28 มีนาคมนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบ ไม่สามารถตอบได้' นายไตรรงค์ กล่าว นายไตรรงค์ กล่าวต่อว่า ในช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวต่อออายุมาตรการดังกล่าวหรือไม่นั้น ต้องมีความระมัดระวังการเก็งกำไรสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แม้ว่าขณะนี้ยังไม่พบเห็นสถานการณ์เก็งกำไรดังกล่าวก็ตาม

เปิดอ่าน7,355
เรือใบจ่อสอยฟาเบียโน่เสริมแนวรุก

เรือใบจ่อสอยฟาเบียโน่เสริมแนวรุก

"เดอะ ซัน" สื่อจอมแฉเมืองผู้ดี ออกมารายงานข่าวว่า "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมเงินถงเงินถังศึกพรีเมียร์ลีก เตรียมที่จะคว้าตัว หลุยส์ ฟาเบียโน่ กองหน้าทีมชาติบราซิล ของ เซบีญ่า มาเสริมความคมในแนวรุก

เปิดอ่าน20
THAI เร่งเครื่องปรับกลยุทธ์การโฆษณา

THAI เร่งเครื่องปรับกลยุทธ์การโฆษณา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)  (THAI) แจ้งว่า THAI เร่งปรับแผนและกลยุทธ์การโฆษณา ทั้งในและต่างประเทศให้ใช้งบประมาณที่มีอยู่ได้ตรงเป้าหมายและเกิดประโยชน์ทั้งในด้านการขายและภาพลักษณ์องค์กร  พร้อมแต่งตั้ง  นายธีรพล โชติชนาภิบาล ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนา  และสนับสนุนการพาณิชย์ เป็นรักษาการผู้อำนวยการบริหารตราผลิตภัณฑ์และสื่อสารการพาณิชย์  อีกตำแหน่งหนึ่ง แทนนางรัตนาวลี  โลหารชุน ซึ่งได้ถูกโอนย้าย เนื่องจากมีการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จเรียบร้อย และขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนทางวินัย ก่อนจะมีการสรรหาผู้อำนวยการ  บริหารตราผลิตภัณฑ์และสื่อสารการพาณิชย์คนใหม่ ซึ่งจะดำเนินการตามขั้นตอนและมีการสรรหาอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม นายธีรพล โชติชนาภิบาล ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายพัฒนา   และสนับสนุนการพาณิชย์  และรักษาการผู้อำนวยการบริหารตราผลิตภัณฑ์และสื่อสารการพาณิชย์  กล่าวถึงแนวทางและนโยบายการดำเนินการโฆษณาของฝ่ายบริหารตราผลิตภัณฑ์และสื่อสารการพาณิชย์ว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การบินไทยยังคงดำเนินการตามที่บริษัทฯได้มีพันธสัญญากับบริษัทเอเจนซี่โฆษณาต่อไป และจะเน้นให้ เจ้าหน้าที่ภายในได้ปฏิบัติงานมากขึ้น  เพราะเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพควบคู่ไปกับการทำงานของเอเจนซี่ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทฯ การซื้อสื่อโฆษณา การบินไทยจะซื้อตรงกับสื่อต่างๆ เพราะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบการซื้อสื่ออยู่แล้ว โดยจะเพิ่มการใช้ระบบ BARTER (ต่างตอบแทน) มากขึ้น  และจะมีการแบ่งงานระหว่างประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์องค์กร และการโฆษณาเพื่อการส่งเสริมการพาณิชย์ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับปัญหาการจ่ายเงินกับคู่ค้าที่เป็นเอเจนซี่โฆษณาทั้งหลาย  บริษัทฯ จะเร่งตรวจสอบให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะดำเนินการ ในเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนทุกเรื่องไห้จบโดยเร็วที่สุด ส่วนเรื่องงบประมาณของการโฆษณา ยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของสายการพาณิชย์  และบริษัทฯ มิได้มีนโยบายให้โอนย้ายมาอยู่ในความรับผิดชอบของกรรมการผู้อำนวยการใหญ่แต่ประการใด นายธีรพล กล่าวในที่สุดว่า  ระหว่างที่รักษาการในตำแหน่งนี้จะเร่งรัดการโฆษณาให้สอดคล้องกับนโยบายบริษัทฯ  ที่มุ่งเน้นการบริการผู้โดยสาร  โดยมีเป้าหมายให้การบินไทยเป็นสายการบินที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของเอเชีย  และ 1 ใน 5 ของโลก  โดยจะมีการประสานงานกับหน่วยงานภายในซึ่งกันและกันมากขึ้น เพื่อสร้างสรรค์โฆษณาเป็นภาพรวมขององค์กรที่จะต้อง  เดินไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน  และการโฆษณาจะต้องตอบโจทย์ ที่การบินไทยเป็นสายการบินที่มีประวัติศาสตร์ และเป็นที่เชื่อถือทั้งด้านการให้บริการ  ด้านความปลอดภัย และองค์ประกอบอื่นๆ  มายาวนานถึง  50 ปี  และเราจะต้องก้าวไปสู่ 100 ปีอย่างมั่นคงตามแนวนโยบาย “MISSION TG 100’ ต่อไป               

เปิดอ่าน21
บล.โกลเบล็กโกยสัญญาTFEXเพิ่มกว่า1.1แสนสัญญา

บล.โกลเบล็กโกยสัญญาTFEXเพิ่มกว่า1.1แสนสัญญา

นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า จากต้นปี 2553 ถึงสิ้นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553ที่ผ่านมา โกลเบล็กมีปริมาณการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าทั้งหมด 117,325 สัญญา คิดเป็น 14.73% หรือเป็นมูลค่า 71348.22 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น Set 50 Index Futures ประมาณ 53% , Gold Futures  39%  , Single Stock Futures 5% และ Options อีก 3 % ทั้งนี้ หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถือว่าปริมาณการซื้อขายมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัว จากปี2552ที่บริษัทปิดสัญญาการซื้อขายที่ 444,209 สัญญา   “ สาเหตุที่ SET 50 Index Futures ยังได้รับความนิยมสูง  เนื่องนักลงทุนสามารถเข้ามาเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาได้ดีเมื่อเทียบกับสินค้าอื่นๆ  ในทางกลับกันแม้ปริมาณการซื้อขายสัญญาทองคำล่วงหน้าหรือโกลด์ฟิวเจอร์สจะเป็นรอง Set 50 Index Futures แต่บริษัทฯยังครองแชมป์โกลด์ฟิวเจอร์สได้ตลอด จะเห็นได้จากต้นปี 2553 มีการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สไปแล้วทั้งสิ้น 44,857 สัญญา หรือ 21.45% ของทั้งตลาด ” นายสัญญา กล่าว  นอกจากนี้ นายสัญญา ยังได้กล่าวถึง มินิ-โกลด์ฟิวเจอร์ส หรือ สัญญาทองคำล่วงหน้า ขนาด 10 บาทว่า  จากการคาดการมองว่ามินิ-โกลด์ฟิวเจอร์ อาจจะเข้ามาซื้อขายอย่างช้าที่สุดคงไม่เกินไตรมาส3/2553 นอกจากนี้ยังได้มีการหารือถึงกรณีเปิดขยายเวลาการซื้อขายสัญญาทองคำล่วงหน้าจนถึงกลางคืน เพื่อให้นักลงทุนในโกลฟิวเจอร์ส สามารถลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำ ในช่วงที่ตลาดฝั่งยุโรปและอเมริกา เปิดซื้อขายด้วย อย่างไรก็ตามคาดว่าภายในไตรมาส 4/2553 อาจจะได้เห็นสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยที่จะเป็นสินค้าน้องใหม่ปิดท้ายในปี 2553 นี้ให้กับนักลงทุน ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ก็มีแผนที่จะออกหน่วยลงทุนทองคำจากกองทุนเปิดหลายๆแห่งนำ Gold ETFs เข้ามาให้ซื้อขายภายในปีนี้เช่นกัน ทั้งนี้จากกรณีที่โกลเบล็ก เป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตให้สามารถซื้อขายได้ในทุกสินค้า และตราสาร จึงมีโครงการจัดโปรโมชั่นรวมถึงกิจกรรม และการสัมมนาให้ความรู้แก่นักลงทุน เพื่อความพร้อมลงทุนในสินค้าทุกประเภท ส่งผลให้โกลเบล็กเติบโตในตลาดตราสารอนุพันธ์ ส่วนหนึ่งมาจากการจัดทำโปรโมชั่น ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกค้ากล้าที่จะลงทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์มากขึ้น   “เมื่อปีที่แล้ว โกลเบล็กจัดโปรโมชั่นแพคเกจทัวร์ และโปรโมชั่นแข่งขันซื้อขายสัญญาทองคำล่วงหน้า ภายใต้ “โครงการโคตรเซียนโกลด์ฟิวเจอร์ส” แถมตบท้ายด้วยการทำโปรโมชั่นของบริษัทแม่อย่าง บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ ที่ทำให้นักลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์สที่โกลเบล็กเป็นแห่งเดียวในประเทศที่สามารถมีการส่งมอบหรือแปลงสัญญาฟิวเจอร์สไปเป็นทองคำได้จริงเหมือนตลาดล่วงหน้าในต่างประเทศ”นายสัญญา กล่าว อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทฯยังคงจัดทำโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม  เพื่อเป็นการตอบแทนนักลงทุนที่ไว้ใจโกลเบล็ก ซึ่งปีนี้จะมีโปรโมชั่นทั้งสินค้าในตลาดหุ้น ตลาดตราสารอนุพันธ์ และตลาดทองคำแท่งทั้งหมด นอกจากโปรโมชั่นแล้ว โกลเบล็กจะยังเน้นถึงการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าทุกประเภทแก่นักลงทุนของบริษัทฯ และการทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับนักลงทุน เพื่อให้นักลงทุนเตรียมพร้อมกับสินค้าใหม่ๆที่กำลังเข้ามายังในตลาด

เปิดอ่าน19
ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินต่ำสุดรอบ 16 เดือน

ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินต่ำสุดรอบ 16 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า มาสเตอร์การ์ดเผยปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินในสหรัฐฯสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 8.84 ล้านบาร์เรล/วัน ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน หรือ นับแต่สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 10 ตุลาคมปี 2008 หลังพายุหิมะที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ยานพาหนะ 'ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลงดังกล่าวมาจากทั้งปัจจัยระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้นคือพายุหิมส่งผลให้การขับขี่ลดลง ระยะยาวถือความต้องการใช้น้ำมันยังไม่ฟื้นตัว และแม้ขณะนี้เศรษฐกิจของเราจะพ้นเหวแล้ว แต่ดูเหมือนเรายังคงไม่พ้นจากป่าที่รก' นายซานเดอร์ โคเฮนนักวิเคราะห์ที่อิเนอร์จี้ซิเคียวริตี้กล่าว ทั้งนี้ มาสเตอร์การ์ดเปิดเผยว่า ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินในนิวยอร์คและเพนซินวาเนียอยู่ในระดับต่ำที่สุด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถูกพายุหิมะพัดถล่ม

เปิดอ่าน12
FIDF ยัน ดีลซื้อขายหุ้น SCIB เสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้

FIDF ยัน ดีลซื้อขายหุ้น SCIB เสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้

นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้จัดการ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน  เปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณา ขายหุ้นธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB ) ว่าคาดจะส่งข้อสรุปเงื่อนไขให้แก่ผู้ซื้อได้ในสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันว่าการซื้อขายหุ้น SCIB จะเสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้ สำหรับร่างสัญญานั้น จะมีส่วนที่เกี่ยวข้อง 4 ส่วน ได้แก่คำจำกัดความ, กระบวนการ ขั้นตอนการทำงาน การจ่ายเงินหรือการแลกหุ้น, บทบาทหน้าที่ของผู้ซื้อและผู้ขาย และเรื่องการขอผ่อนผันต่างๆโดยกองทุนฟื้นฟูฯ จะพิจารณาให้ตามที่ทางผู้ซื้อขอมาเท่าที่ได้ตามกฎระเบียบข้อกฎหมายต่างๆแต่ราคายังต้องมีการหารือต่อไป                

เปิดอ่าน19
บลจ.ทิสโก้ ตั้งเป้า AUM กองทุนปีนี้ที่ 1.9 หมื่นล.

บลจ.ทิสโก้ ตั้งเป้า AUM กองทุนปีนี้ที่ 1.9 หมื่นล.

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในส่วนของกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคลที่บริษัทฯ ดูแลอยู่ในปี 2553 ไว้ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่บริษัทฯ มี AUM อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทฯ จะเน้นการออกกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น (FIF) โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง และอยู่ในภูมิภาคที่บริษัทฯ ยังไม่ได้มีการออกกองทุน อาทิ ในกลุ่มประเทศยุโรป และรัสเซีย รวมถึงการขายกองทุนเดิมที่บริษัทฯ ได้มีการออกในปี 2552 จำนวน 23 กองทุน โดยในปีนี้คาดว่าจำนวนกองทุนใหม่จะลดลงจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ค่อนข้างที่จะครบถ้วน ล่าสุด บริษัทฯ เตรียมที่จะเสนอขาย 'กองทุนเปิด ทิสโก้ ละติน อเมริกา' ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) โดยเน้นลงทุนใน 5 ประเทศ ประกอบด้วย บราซิล ชิลี เม็กซิโก โคลัมเบียและเปรู ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติจาก ก.ล.ต. โดยคาดว่าจะสามารถเสนอขายครั้งแรกประมาณวันที่ 22 ก.พ. - 5 มี.ค. นี้ สำหรับสาเหตุที่เลือกลงทุนในภูมิภาคดังกล่าว หากพิจารณาจากตัวเลขผลตอบแทนของ MSCI EM Latin America Index เทียบกับ SET Index, MSCI World Index และ MSCI Emerging Market Index ผลตอบแทนในภูมิภาคลาติน อเมริกาถือว่าสูงที่สุดและเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของโลก และนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะบราซิลที่เป็นแหล่งส่งออกน้ำตาล โดยนโยบายการลงทุนจะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Lyxor ETF MSCI EM Latin America ซึ่งเป็นกองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ สำหรับกองทุนหุ้นที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap)

เปิดอ่าน15
KBANK ตั้งเป้าขยับมาร์เก็ตแชร์ปีนี้แตะ 29%

KBANK ตั้งเป้าขยับมาร์เก็ตแชร์ปีนี้แตะ 29%

นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารฯยังคงมั่นใจว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดกลุ่มลูกค้าสินเชื่อเอสเอ็มอีเป็นอันดับ 1 ได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งตั้งเป้าขยับส่วนแบ่งทางการตลาดให้อยู่ที่ 29% เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ 27% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2551 ที่ 25% เนื่องจากมองว่าธนาคารสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างรอบด้าน และมีผู้ให้คำปรึกษาหากผู้ประกอบการต้องการการช่วยเหลือ ทั้งนี้ ธนาคารยังคงตอกย้ำเป้าสินเชื่อเอสเอ็มอีสุทธิขยายตัว 8-10% หรือคิดเป็นวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ยอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีอยู่ที่ 3.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 3.7 แสนล้านบาท โดยในช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมามีลูกค้ามาขอสินเชื่อประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีลูกค้ามาขอสินเชื่อ 6 พันล้านบาท โดยคิดเป็นจำนวนผู้มาขอสินเชื่อจำนวน 3 พันราย จากปีก่อนที่อยู่ 2 พันราย เนื่องจากความต้องการสินเชื่อปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งในส่วนของธนาคารคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้จะอยู่ที่ 2.5-3.5% รวมทั้งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในโครงการไทยเข้มแข็ง ลูกค้าธุรกิจรับเหมาค้าวัสดุก่อสร้าง สาธารณูปโภคต่างๆ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงลูกค้ากลุ่มเกษตร แปรรูปอาหาร ยางพารา มันสำปะหลัง การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเงินทุนหมุนเวียนในส่วนสินเชื่อคงค้างในเดือนม.ค. 2553 แม้ว่าจะหดตัวลงประมาณ 4 พันล้านบาท หรือคิดเป็นติดลบ 1.2% จากสิ้นปีก่อน แต่ถือว่าน้อยกว่าในช่วงเดือน ม.ค. 2552 ที่หดตัวลงประมาณ 6 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2551 ทั้งนี้ไม่นับว่ามีความผิดปกติ แต่เป็นเพราะลูกค้ามีการชำระคืน โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มเกษตรที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาล ขณะเดียวกันการชะลอตัวที่ลดลงได้แสดงถึงว่ามีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจอื่นๆ มากขึ้นด้วย นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ธนาคารคาดว่าจะมีลูกค้าเอสเอ็มอีรีไฟแนนซ์มาอยู่ที่ธนาคารเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วน 50% ของสินเชื่อที่จะขยายตัว ซึ่งในปี 2552 สัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 30% และขอยืนยันว่าธนาคารไม่เคยใช้การแข่งขันด้านราคาในการดึงดูดลูกค้า สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มองว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งธนาคารจะรักษาให้อยู่ในระดับ 3.5-4% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมายังไม่เห็นสัญญาณความผิดปกติในเรื่อง NPL ขณะที่ปัจจัยที่ต้องจับตามองได้แก่ ประเด็นทางการเมืองซึ่งต้องติดตามสถานการณ์คดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ซึ่งธนาคารได้เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในด้านการขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไปหากเกิดความรุนแรง รวมทั้งต้องติดตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงประมาณไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2553 แต่การขยับขึ้นนั้นคงจะไม่มากนัก ขณะเดียวกันต้องติดตามความเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยนในระยะนี้ที่มีความผันผวนพอสมควร ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ

เปิดอ่าน1,078
เช้าวันนี้ดัชนีฯ ปิด เพิ่มขึ้น 0.92 จุดที่ 698.41จุด

เช้าวันนี้ดัชนีฯ ปิด เพิ่มขึ้น 0.92 จุดที่ 698.41จุด

เช้าวันนี้ดัชนีฯปิดที่  698.41จุด เพิ่มขึ้น 0.92 จุด หรือ 0.13% มูลค่าการซื้อขาย 6,195.41 ลบ. หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่1.CPF ปิดที่ 12.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.30บาท มูลค่าการซื้อขาย 539.94 ลบ.2.PTT ปิดที่ 218.00  บาท ไม่เปลี่ยนแปลง  มูลค่าการซื้อขาย 408.65ลบ.3.PTTEPปิดที่ 132.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 392.49ลบ.4.DTAC  ปิดที่ 34.75 บาท เพิ่มขึ้นมูลค่าการซื้อขาย 293.90 ลบ.5.BANPU ปิดที่ 540.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 274.47 ลบ.ส่วนเช้าวันนี้ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 210.65 จุด เพิ่มขึ้น 0.86 จุด หรือ 0.41% ด้าน SET100 Index ปิดที่ 1051.12 จุด เพิ่มขึ้น 1.32 จุด หรือ 0.13% และ SET50 Index ปิดที่ 488.62 จุด เพิ่มขึ้น 0.68จุด หรือ 0.14%

เปิดอ่าน10
ผู้ปกครองน้องนกจ่อฟ้องวิมเบิลดัน

ผู้ปกครองน้องนกจ่อฟ้องวิมเบิลดัน

ผู้ปกครอง น้องนก เตรียมยื่นเรื่องประท้วงต่อคณะกรรมการจัดการแข่งขันวิมเบิลดัน หลังเปลี่ยนกฎให้แชมป์เยาวชนวิมเบิลดัน ได้สิทธิ์ลงเล่นวิมเบิลดันอาชีพเพียงแค่ในรอบไวด์การ์ด

เปิดอ่าน86
สุเทพ ชี้ เสถียรภาพรัฐบาลแน่น ยัน ไม่ยุบสภาพ

สุเทพ ชี้ เสถียรภาพรัฐบาลแน่น ยัน ไม่ยุบสภาพ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง  เปิดเผยว่า ยังมั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลจะสามารถบริหารประเทศต่อไปได้มากกว่า 1 ปี  และขณะนี้รัฐบาลไม่มีแนวคิดยุบสภา ส่วนสถานการณ์ต่างๆที่รุมเร้านั้น จะสามารถควบคุมได้ รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลยังเข้มแข็ง

เปิดอ่าน7
คลัง เผย ฐานะการคลังQ1/53 รัฐขาดดุลลดลง

คลัง เผย ฐานะการคลังQ1/53 รัฐขาดดุลลดลง

นายสาธิต รังคสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยฐานะการคลังของภาครัฐบาล ตามระบบ สศค (Government Finance Statistics : GFS) ในไตรมาสแรก (ตุลาคม-ธันวาคม  2552) ประจำปีงบประมาณ 2553  ภาครัฐบาล (รัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) มีรายได้ทั้งสิ้น 532,621 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.6 ของ GDP เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว 95,855 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.9 ขณะที่รายจ่ายภาครัฐบาลมีจำนวน 648,984 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 39,306 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.4 ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุลการคลังจำนวน 116,363 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดดุลลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 34.2 เกิดจากการเพิ่มสูงขึ้นของรายได้ที่มากกว่ารายจ่ายเป็นจำนวนมาก สะท้อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างเด่นชัด ฐานะการคลังภาครัฐบาล (รัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ตามระบบ สศค. ไตรมาสแรก (ตุลาคม – ธันวาคม 2552) ประจำปีงบประมาณ 2553 ฐานะการคลังของภาครัฐบาลตามระบบ สศค.1 (ระบบ Government Finance Statistics : GFS) ในไตรมาสแรก (ตุลาคม-ธันวาคม  2552) ประจำปีงบประมาณ 2553 ภาครัฐบาล (รัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น2) อัดฉีดเงินสุทธิเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหรือขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 112,623 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP3 ขาดดุลลดลงจากระยะเวลาเดียวกันปีที่แล้ว 58,422 ล้านบาท ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน และเป็นไปตามเป้าหมายของการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ ฐานะการคลังของภาครัฐบาลตามระบบ สศค. ในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2553 1.       รายได้ภาครัฐบาล มีจำนวนทั้งสิ้น 532,621 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.6 ของ GDP (ช่วงเดียวกันปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 4.9 ของ GDP) และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีที่แล้ว 95,855 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.9 ทั้งนี้เนื่องจากการจัดเก็บภาษีส่วนใหญ่ของรัฐบาลเพิ่มขึ้น (ภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีสรรพสามิต และ อื่นๆ) ส่งผลให้รายได้รัฐบาล สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 71,083 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.5 และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 25,366 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.3 ส่วนบัญชีนอกงบประมาณ (กองทุนนอกงบประมาณ และเงินฝากนอกงบประมาณ) มีรายได้ต่ำกว่าเดียวกันปีที่แล้ว 594 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.6 2.       รายจ่ายของภาครัฐบาล (รวมการให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาล) ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง มีจำนวน 645,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 34,433 ล้านบาท  หรือร้อยละ 6.2เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลมีจำนวน 443,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 43,939 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.0 ขณะที่ อปท. คาดว่าจะมีรายจ่ายจำนวน 73,473 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.7  และรายจ่ายจากเงินนอกงบประมาณและเงินให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาลรวม 127,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 0.5 ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเบิกจ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนประกันสังคม ส่วนรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศที่เบิกจ่ายจำนวน 256 ล้านบาท ลดลง 160 ล้านบาท 1 ระบบ สศค. : ระบบสถิติเพื่อการศึกษาและวิเคราะห์นโยบายการคลัง หรือ Government Finance Statistics (GFS) เป็นระบบสถิติที่รวบรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมด โดยครอบคลุมการใช้จ่ายตามระบบงบประมาณ เงินฝากนอกงบประมาณ กองทุนหมุนเวียนนอกงบประมาณ เงินกู้ต่างประเทศและเงินช่วยเหลือต่างประเทศ 2 เป็นการประมาณการดุลการคลังโดยใช้ข้อมูลสิทธิเรียกร้องจาก อปท. ในระบบธนาคาร (Net Claims of Banking System on Local Government) 3 คาดการณ์ GDP ปีงบประมาณ 2552 และ GDP ปีงบประมาณ 2551 เท่ากับ 8,993.8 และ 9,578.4 พันล้านบาท ตามลำดับ 3.   ดุลการคลังภาครัฐบาล จากการที่รายจ่ายสูงกว่ารายได้ทำให้ภาครัฐบาลขาดดุลการคลังจำนวน 112,623 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.2 ของ GDP) ขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วที่ขาดดุลจำนวน 171,045 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.9 ของ GDP) ซึ่งเป็นการขาดดุลลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 34.2เกิดจากการเพิ่มสูงขึ้นของรายได้ที่มากกว่ารายจ่ายเป็นจำนวนมาก สะท้อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างเด่นชัด สำหรับดุลการคลังเบื้องต้นของรัฐบาล (Primary Balance) ซึ่งหมายถึงดุลการคลังของรัฐบาลที่ ไม่นับรวมรายรับและรายจ่ายจากดอกเบี้ยในไตรมาสแรก ของปีงบประมาณ 2553 ขาดดุลทั้งสิ้น 106,530 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.1 ของ GDP) ในขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วขาดดุล 138,321 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 1.5 ของ GDP)

เปิดอ่าน42
BGT ขายหุ้นที่ซื้อคืน 1.16 ล้านหุ้น

BGT ขายหุ้นที่ซื้อคืน 1.16 ล้านหุ้น

นายนพดล ธรรมวัฒนะ ประธานกรรมการบริษัท บริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ  BGT เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2553 บริษัทฯ ขายหุ้นที่ซื้อคืน จำนวน 1,160,900 หุ้น ราคาหุ้นละ 0.02 บาท มูลค่า 2,345,018 บาท คงเหลือ หุ้นที่ซื้อคืนที่ยังมิได้จำหน่าย 0 หุ้น   ร้อยละ 0  ของทุนชำระแล้วมูลค่ารวม 0 ล้านบาท วันที่ครบกำหนดระยะเวลาที่ต้องจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน 1 มิถุนายน 2555   (ไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ซื้อหุ้นคืนเสร็จสิ้น)                ที่มา ก.ล.ต.

เปิดอ่าน53