อ่านข่าวย้อนหลัง ทั้งหมด หน้า 25449

เนื้อหาทั้งหมด

เนื้อหาทั้งหมด ใหม่ล่าสุด

เนื้อหาทั้งหมด
ใหม่ล่าสุด
กะปิใช่จะดีแต่เค็มช่วยชะลอฟันสึกกร่อน

กะปิใช่จะดีแต่เค็มช่วยชะลอฟันสึกกร่อน

ม.อ. พบแคลเซียมในกะปิ ช่วยชะลอการสึกกร่อนของเคลือบฟัน เมื่อใช้ในการปรุงร่วมกับอาหารรสเปรี้ยวที่อุณหภูมิสูง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พจนรรถ เบญจกุล

เปิดอ่าน102
ล้ำโลก วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553

ล้ำโลก วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553

แจ้งเตือนรวดเร็ว เอไอเอส ร่วมกับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนาระบบเทคโนโลยีการสื่อสาร ผ่านโครงการ i > CONNECT การสื่อสารเพื่อการศึกษา

เปิดอ่าน19
ข่าวสั้นรอบโลก วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553

ข่าวสั้นรอบโลก วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553

ผู้อยู่เบื้องหลังถล่มอินเดีย หนังสือพิมพ์ เดอะ ฮินดู ของอินเดีย รายงานเมื่อวันพุธว่า กลุ่มหัวรุนแรง ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน ที่บอกว่าแยกตัวออ

เปิดอ่าน99
จีทีเวลธ์ฯ ชี้ทองวันนี้แกว่งรับเฟดขึ้นดอก

จีทีเวลธ์ฯ ชี้ทองวันนี้แกว่งรับเฟดขึ้นดอก

จีทีเวลธ์ฯ เผยราคาทองวันนี้แกว่งตัว เพราะรับข่าวเฟดขึ้นดอกบี้ย แต่ระยะยาวยังสดใสตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัว  ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทจีที เวลธ์แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าวว่าราคาทองคำในตลาดโลกเช้านี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,105ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดตลาดยุโรป ทำให้ราคาขึ้นไปถึง 1,112 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก่อนปรับตัวลดลงอีกครั้ง โดยประเด็นสำคัญยังคงมาจากการที่ FED ประกาศขึ้นอัตรา Discount rate สำหรับสถาบันการเงินขึ้นอีก 0.25% ขึ้นมาอยู่ที่ 0.75% ขณะตลอดวันดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย ขณะเงินบานแข็งค่าขึ้น 0.02 บาทต่อดอลลาร์ อยู่ที่ 33.15 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโกลด์ฟิวเจอร์สสัญญาสิ้นสุดอายุเดือนกุมภาพันธ์ (GFG10) ปิดที่ระดับ 17,520 บาท ปริมาณการซื้อขาย 1,639 สัญญา ปริมาณการซื้อขายรวม 3,490 สัญญา ราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 17,300 บาท ราคาเสนอขาย 17,400 บาท  การประกาศเพิ่ม Discount rate ถือเป็นการส่งสัญญาณในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต แต่คาดว่าจะยังไม่ปรับขึ้นในเร็วนี้ เนื่องจากระดับหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง ถ้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่พร้อมอาจจะส่งผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาน่าพอใจซึ่งจะส่งผลต่อมุมมองของนักลงทุน ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงน่าจะกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น

เปิดอ่าน9
ค่าเงินบาทปิดเย็นนี้ปิดที่ 33.18-33.20บ.

ค่าเงินบาทปิดเย็นนี้ปิดที่ 33.18-33.20บ.

ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ 33.18-33.20 บาท/ดอลล์ คาดสัปดาห์หน้าแกว่งตัวในกรอบ 33.15-33.25 บาท/ดอลล์ นักค้าเงินจาก ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ระดับ 33.18-33.20 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 33.18 บาท อ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.25 บาท ส่วนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้าคาดจะเคลื่อนไหวตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 33.15-33.25 บาทต่อดอลลาร์      

เปิดอ่าน11
BAFS ตั้งเป้ายอดใช้น้ำมันปีนี้พุ่งกว่า 3%

BAFS ตั้งเป้ายอดใช้น้ำมันปีนี้พุ่งกว่า 3%

แหล่งข่าวแหล่งข่าวจากบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าการเติบโตปริมาณการเติมน้ำมันที่ให้บริการในปีนี้มากกว่า 3% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ปริมาณการใช้น้ำมันติดลบ 4.6% พร้อมทั้งคาดว่ารายได้จะเติบโตในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกอุตสาหกรรมการบินที่มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนประกอบกับในช่วงไตรมาส4 คาบเกี่ยวไตรมาส 1 ซึ่งเป็นช่วง Hight Season ฤดูการท่องเที่ยวที่จะส่งผลให้มีการเดินทางมากขึ้นอีกทั้ง เห็นได้จากช่วงเทศการตรุษจีนที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวในปีนี้จะสามารถขยายตัวได้ตามการแนวโน้มเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนนอกจากนี้ในส่วนลูกค้าหลักบมจ.การบินไทย (THAI) ที่มีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 40% ของรายได้รวมบริษัท ที่มีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าในแผนธุรกิจระยะ 15  ปี จะมีการเพิ่มจำนวนเครื่องบินสุทธิอีกประมาณ 13 ลำ ซึ่งเป็นโอกาสที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจของบริษัทในอนาคต

เปิดอ่าน15
**SETปิดวันนี้ที่ 700.44จุด เพิ่มขึ้น 4.78จุด

**SETปิดวันนี้ที่ 700.44จุด เพิ่มขึ้น 4.78จุด

**วันนี้ดัชนีฯ ปิดที่ 700.44 จุด เพิ่มขึ้น 4.78 จุด หรือ 0.69 % มูลค่าการซื้อขาย 12,589.65 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่1.PTT  ปิดที่ 224.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,107.95 ลบ.2.CPF ปิดที่ 11.90 บาท ลดลง 0.10 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,048.66 ลบ.3.BANPU ปิดที่ 528.00 บาท ลดลง 4.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 861.32 ลบ.4.SCB  ปิดที่ 79.00 บาท ลดลง 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 713.80 ลบ.5.PTTAR ปิดที่ 25.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 692.26 ลบ.       **วันนี้ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 209.10 จุด ลดลง 0.36 จุด หรือ 0.17%**วันนี้ SET50 Index ปิดที่ 490.95 จุด เพิ่มขึ้น 4.03 จุด หรือ 0.83%    **วันนี้ SET100 Index ปิดที่ 1055.59 จุด เพิ่มขึ้น 8.23 จุด หรือ 0.79%    

เปิดอ่าน6
CPFทุ่ม6พันล.ขยายฟาร์ม-ธุรกิจ ตปท.

CPFทุ่ม6พันล.ขยายฟาร์ม-ธุรกิจ ตปท.

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวว่า วางเงินลงทุนปี 53 ที่ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในต่างประเทศ 50% และ ลงทุนในประเทศ 50% ทั้งนี้ 3,000 ล้านบาท สำหรับขยายฟาร์มหมูในรัสเซีย เพราะมองว่ามีโอกาสที่จะขยายตัว และยังมีแผนที่จะขยายฟาร์มไก่เนื้อที่ประเทศอินเดีย และขยายธุรกิจในประเทศตรุกี  ส่วนในประเทศจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดในการดำเนินงานของบริษัท

เปิดอ่าน2,895
CPFลุยเคนย่า-แทนซาเนียศึกษาธุรกิจอาหาร-เลี้ยงสัตว์

CPFลุยเคนย่า-แทนซาเนียศึกษาธุรกิจอาหาร-เลี้ยงสัตว์

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวว่า ปีนี้คาดว่าผลงานน่าจะดีต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะกิจการในต่างประเทศ และธุรกิจกุ้งในประเทศไทย รับผลดีจากผลผลิตของคู่แข่งในตลาดโลกที่ลดลง นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะตั้งบริษัทในประเทศเคนย่า และแทนซาเนีย เพื่อศึกษาโอกาสในการลงทุนดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์ และเลี้ยงสัตว์  โดยมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการขยายตัวของการเลี้ยงสัตว์ และราคาเนื้องสัตว์มีราคาสูง โดยในปีนี้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างระมัดระวังในการเรื่องการลงทุน และให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารต้นทุน เน้นการขยายธุรกิจอาหารภายใต้ตรา CP และช่องทางจัดจำหนายในไทย โดยเฉพาะกิจการไก่ย่างห้าดาว และซีพีเฟรสมาร์ทที่ตั้งเป้าขยายเพิ่มสำหรับผลงานในปี 2552 มียอดขาย 165,063 ล้านบาท จ่ายปันผลงวด 6 เดือนหลังวันที่ 20 พ.ค. 2553 จำนวน 0.50 บาทต่อหุ้น XD 29 เม.ย. 2553 รวมทั้งปีจ่ายไป 0.73 บาทต่อหุ้น

เปิดอ่าน2,849
CPFยิ้มปรับโครงสร้างธุรกิจหนุนปีนี้โตกว่า15%

CPFยิ้มปรับโครงสร้างธุรกิจหนุนปีนี้โตกว่า15%

 นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กล่าวว่า แนวโน้มยอดขายและกำไรปีนี้เติบโตกว่าปีก่อนไม่น้อยกว่า 10% หลังปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมุ่งเน้นในส่วนของอาหารสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ CP ตั้งแต่ในช่วงปีก่อน และพบว่าตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้รับความนิยมจากผู้บริโภคค่อนข้างสูงรวมถึง ซึ่งหากในปีนี้บริษัทมีกำไรมากขึ้น ก็พร้อมที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ โดยล่าสุดไปยังรัสเซีย และฟิลิปปินส์ โดยทั้ง 2 ประเทศเป็นประเทศที่ค่อนข้างใหญ่มีความต้องการและมูลค่าตลาดค่อนข้างสูง โดยบริษัทมองเห็นการเติบโตที่ดีในอนาคต ส่วนในประเทศอินเดีย บริษัทมีฐานการผลิตอยู่แล้ว และยังมองว่าเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะเติบโตและขยายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัท 'ในตุรกีนั้น เราก็ซื้อกิจการไปเมื่อหลายปีที่แล้ว ก็มีการปรับโครงสร้างธุรกิจ เช่นในไทย ที่ไปมุ่งเน้นในส่วนของอาหารสำเร็จรูป จากเดิมที่เป็นในส่วนของอาหารสัตว์ และฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในช่วง 1 - 2 เดือน โรงงานแปรรูปที่ตุรกีก็จะเริ่มผลได้แล้ว ดังนั้นฐานในต่างประเทศน่าจะเติบโตดี และในอนาคตก็เชื่อว่าจะทำกำไรกลับคืนให้กับ CPF อย่างชัดเจน'นายอดิเรก กล่าว ในส่วนของธุรกิจกุ้งก็มองแนวโน้มการเติบโตในอนาคตที่ดี เพราะไม่มีข้อจำกัดทางการค้า เช่น ธุรกิจหมูและไก่ที่ค่อนข้างมีข้อจำกัด และถูกกีดกันทางการค้าสูง รวมถึงบริษัทยังมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และลดต้นทุน ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้บริษัทเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ทีมงานของบริษัทมีประสบการณ์ และมีประสิทธิภาพ โดยทีมงานพร้อมเต็มที่ที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร อย่างไรก็ตาม ปี 52 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 165,063 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 66% ส่งออก 15% และลงทุนในต่างประเทศ 19% โดยปี 53 นี้สัดส่วนในต่างประเทศลดลงเหลือ 63-64% การลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 22-23% ที่เหลือเป็นส่งออก โดยบริษัทวางเป้าปีนี้ส่งออกกุ้งจำนวน 5.2 หมื่นตัน จากปีก่อนที่ 3.4 หมื่นตัน

เปิดอ่าน2,900
ราคาน้ำมันดิบไลท์สิงคโปร์บ่ายร่วง1.28ดอลล์

ราคาน้ำมันดิบไลท์สิงคโปร์บ่ายร่วง1.28ดอลล์

          สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไลท์สัญญาส่งมอบเดือนมีนาคมที่ตลาดสิงคโปร์ครึ่งวันบ่ายลดลง 1.28 ดอลลาร์ อยู่ที่ 77.78 ดอลลาร์/บาร์เรล         ขณะที่ราคาน้ำมันเตาลดลง 2.75 เซนต์ มาอยู่ที่ 2.024 ดอลลาร์/แกลลอน ราคาน้ำมันเบนซินลดลง 3.19 เซนต์ มาอยู่ที่ 2.037 ดอลลาร์/แกลลอน และราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 1 เซนต์ มาอยู่ที่ 5.16ดอลลาร์/1 พันลูกบาศก์ฟุต          ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง เป็นผลมาจากนักค้าน้ำมันหวั่นเกรงว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยดิสเคาท์เรตของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟดจะนำไปสู่การยกเลิกมาตรการพิเศษเพื่อช่วยเหลือภาคการเงินสหรัฐฯและนำไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ เฟดฟันด์เรตในที่สุด  

เปิดอ่าน8
PTT ปันผลครึ่งหลังหุ้นละ 4.50 บ.

PTT ปันผลครึ่งหลังหุ้นละ 4.50 บ.

         นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการ ปตท. ครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 ได้มีมติเห็นชอบในเรื่องต่างๆ ดังนี้                1. กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2553 ในวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2553 เวลา 09.30 น.  ณ ห้องเพลนารี 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เลขที่ 60 ถนนรัชดาภิเษกตัดใหม่ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร                2. กำหนดให้ วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2553 เป็นวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เข้าร่วมประชุม สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2553 และมีสิทธิในการรับเงินปันผล โดยจะรวบรวมรายชื่อตามมาตรา225 ของ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551)  โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันอังคารที่ 9 มีนาคม 2553 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2553 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน                3. กำหนดระเบียบวาระการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2553 จำนวน 8 วาระ ดังต่อไปนี้                ระเบียบวาระที่ 1 พิจารณารับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2552 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2552                                   ความเห็นของคณะกรรมการ : เห็นสมควรรับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2552 เมื่อวันที่ 10  เมษายน 2552                  ระเบียบวาระที่ 2 พิจารณารับรองรายงานผลการดำเนินงานในรอบปี 2552 และพิจารณาอนุมัติงบการเงินประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552                                    ความเห็นของคณะกรรมการ : เห็นสมควรรับรองรายงานผลการดำเนินงานในรอบปี 2552 และอนุมัติงบการเงินประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ของ ปตท. ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี และผ่านการสอบทานจากคณะกรรมการตรวจสอบแล้วว่าถูกต้องรวมทั้งคณะกรรมการ ปตท. ได้เห็นชอบแล้ว              ระเบียบวาระที่ 3           พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกำไรสุทธิประจำปี 2552 และการจ่ายเงินปันผล                                   ความเห็นของคณะกรรมการ : เห็นสมควรอนุมัติการจัดสรรเงินกำไรสุทธิประจำปี 2552 และการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการ ประจำปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท โดยแบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการของ ปตท. และบริษัทย่อยงวด 6 เดือนแรกของปี 2552 ในอัตรา หุ้นละ 4.00 บาทจากกำไรสะสมของ ปตท.  ซึ่งเสียภาษีในอัตรา ร้อยละ 30 และ 0 จำนวน 1.60 และ 2.40 บาทต่อหุ้นตามลำดับ โดยจ่ายเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2552 แล้ว อนึ่ง สำหรับเงินปันผลงวด 6 เดือนหลังของปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 4.50 บาทจากกำไรสะสมของ ปตท. ซึ่งเสียภาษีในอัตราร้อยละ 25 และ 0 จำนวน 2.50 และ 2.00 บาทต่อหุ้นตามลำดับ โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดสิทธิ ผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผล วันที่ 8 มีนาคม 2553 และ กำหนดจ่ายในวันที่ 30 เมษายน 2553             ระเบียบวาระที่ 4           พิจารณาแต่งตั้งผู้สอบบัญชีและกำหนดค่าตอบแทนผู้สอบบัญชี ประจำปี 2553                                           ความเห็นของคณะกรรมการ : เห็นสมควรอนุมัติแต่งตั้ง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นผู้สอบบัญชีของปตท. ประจำปี 2553 และกำหนดค่าตอบแทนผู้สอบบัญชี เป็นเงิน 3,265,000 บาท (ไม่รวมค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการ ค่าปฏิบัติงานนอกเวลา และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ ภายในวงเงินไม่เกิน 2,000,000 บาท) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการตรวจสอบที่ได้พิจารณากลั่นกรองอย่างเหมาะสม และคณะกรรมการ ปตท. ได้เห็นชอบแล้ว            ระเบียบวาระที่ 5           พิจารณากำหนดค่าตอบแทนคณะกรรมการ ปตท. ประจำปี 2553                                          ความเห็นของคณะกรรมการ : เห็นสมควรอนุมัติการกำหนดค่าตอบแทนคณะกรรมการและคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง ประจำปี 2553 เท่ากับปี 2552 ตามที่คณะกรรมการกำหนดค่าตอบแทน เสนอ และคณะกรรมการ ปตท. ได้เห็นชอบแล้ว                ระเบียบวาระที่ 6           พิจารณาเลือกตั้งกรรมการแทนกรรมการที่ออกจากตำแหน่ง ซึ่งในปี 2553 มีกรรมการครบวาระ จำนวน 5 ท่าน ได้แก่ (1) นางเบญจา หลุยเจริญ   (2) นายพิชัย ชุณหวชิร (3) นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช (4) คุณพรทิพย์ จาละ และ    (5) คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม (ลาออกก่อนครบวาระเนื่องจากอายุครบ 65 ปี    เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2553)             ความเห็นของคณะกรรมการ : เห็นควรอนุมัติแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการ ปตท. แทนกรรมการที่ครบวาระ จำนวน 5 ท่าน ได้แก่ (1) นางเบญจา หลุยเจริญ (2) นายพิชัย ชุณหวชิร (3) นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา (4) นายนนทิกร กาญจนะจิตรา และ (5) นายปิยวัชร  นิยมฤกษ์ โดยคณะกรรมการสรรหาได้พิจารณาคุณสมบัติแล้วว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของ ปตท.   ซึ่งกรรมการลำดับที่ (4) และ (5) จะเป็นกรรมการอิสระด้วย เนื่องจากมีคุณสมบัติสอดคล้องกับนิยามกรรมการอิสระของตลาดหลักทรัพย์ฯ และของ ปตท. ทั้งนี้กรรมการที่มีส่วนได้เสียในเรื่องนี้ไม่ได้ออกเสียงลงคะแนน             ระเบียบวาระที่ 7           พิจารณาอนุมัติแผนการจัดหาเงินกู้ 5 ปี (2553-2557)             ความเห็นของคณะกรรมการ : เห็นสมควรอนุมัติแผนการจัดหาเงินกู้ 5 ปี โดยการจัดหาเงินทุนจากแหล่งภายนอกเพื่อใช้ในการลงทุนและ/หรือ เป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป และ/หรือเพื่อ Refinance เงินกู้ เพิ่มเติมเป็นวงเงินรวมประมาณ 80,000 ล้านบาท ในระยะ เวลา 5 ปี (ปี 2553 - 2557)               ระเบียบวาระที่ 8                พิจารณาเรื่องอื่น ๆ (ถ้ามี)

เปิดอ่าน1,434
CPFปันผลครึ่งหลังอีก 0.50บ.-จ่าย 20พ.ค.นี้

CPFปันผลครึ่งหลังอีก 0.50บ.-จ่าย 20พ.ค.นี้

               นางสาวพัชรา ชาติบัญชาชัย เลขานุการ บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 มีมติเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2553 เพื่อพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งพิจารณาจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในงวดครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยมีรายละเอียดของการจ่ายเงินปันผลดังนี้             (1) เงินปันผลจ่ายจำนวน 1,409,787,565.20 บาท หรือเท่ากับ 0.20 บาทต่อหุ้น เป็นการจ่ายจากกำไรที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยผู้รับเงินปันผลไม่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และ             (2) เงินปันผลจ่ายจำนวน 2,114,681,347.80 บาท หรือเท่ากับ 0.30 บาทต่อหุ้น เป็นการจ่ายจากเงินปันผลที่บริษัทฯ ได้รับจากบริษัทย่อยซึ่งจัดสรรมาจากกำไรที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 โดยผู้รับเงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย อย่างไรก็ตาม ผู้รับเงินปันผลที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับเครดิตภาษีตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร             ทั้งนี้ เงินปันผลจ่ายข้างต้นเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่บริษัทฯ ได้จ่ายไปในระหว่างปี 2552ในอัตราหุ้นละ 0.23 บาท เป็นเงิน 1,621,255,699.98 บาท จะรวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 5,145,724,612.98 บาท หรือเท่ากับ 0.73 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิประจำปี 2552 ตามงบการเงินเฉพาะกิจการในการนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้เสนอให้วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลเป็นวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 โดยให้บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อการปฏิบัติตามมาตรา225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พฤษภาคม 2553           อย่างไรก็ตาม กำหนดวันประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2553 ในวันที่ 21 เมษายน 2553 เวลา 14.00 น. ณ ห้องเวิลด์บอลรูม ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เลขที่ 999/99 ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โดยกำหนดให้วันที่ 19 มีนาคม 2553 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม และให้บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด รวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้น เพื่อการปฏิบัติตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียน ในวันที่ 22 มีนาคม 2553 และกำหนดระเบียบวาระการประชุมเป็นดังนี้           วาระที่ 1  พิจารณารับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2552           วาระที่ 2  รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของบริษัท ประจำปี 2552           วาระที่ 3  พิจารณาอนุมัติงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552           วาระที่ 4  รับทราบการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในปี 2552           วาระที่ 5  พิจารณาอนุมัติการจัดสรรกำไรและการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2552           วาระที่ 6  พิจารณาอนุมัติการแต่งตั้งกรรมการแทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ และแต่งตั้ง กรรมการอิสระเพิ่มเติม           วาระที่ 7  พิจารณาอนุมัติการกำหนดค่าตอบแทนกรรมการ           วาระที่ 8  พิจารณาอนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีและกำหนดค่าตอบแทน สำหรับปี 2553           วาระที่ 9  พิจารณาอนุมัติการรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท โภคภัณฑ์อะควอเท็ค จำกัด           วาระที่ 10 ตอบข้อซักถาม

เปิดอ่าน2,854
CAWOW รายได้วูบทำปี52 ขาดทุนเพิ่ม

CAWOW รายได้วูบทำปี52 ขาดทุนเพิ่ม

นายวิลเลียม อเลน ดอปสัน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและบัญชี บมจ.แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์(CAWOW )เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริษัทฯ ได้พิจารณาอนุมัติงบการเงิน สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 บริษัทฯ มีผลประกอบการขาดทุนจำนวน 274.1 ล้านบาท เมือเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีผลประกอบการขาดทุน 120.6 ล้านบาท หรือขาดทุนเพิ่มขึ้น 153.5 ล้านบาท เป็นผลมาจาก           1. การเพิ่มขึ้นของรายการที่ไม่เป็นตัวเงินที่เกี่ยวกัยการตัดจำหน่ายและการตั้งค่าเผื่อด้อยค่า สินทรัพย์จำนวน 87.4 ล้านบาท           2. ขาดทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 66.1 ล้านบาทเนื่องจากยอดขายลดลง (264.8 ล้านบาท) และรายได้อื่นลดลง (34.3 ล้านบาท)           3. การลดลงของต้นทุนในการให้บริการ (63.3 ล้านบาท)           4. การลดลงของค่าใช้จ่ายในการขาย บริหารและค่าตอบแทนผู้บริหาร (167.9 ล้านบาท)           5. การลดลงของดอกเบี้ยจ่าย (1.8 ล้านบาท)

เปิดอ่าน36
KBANK คาดค่าบาทกลางปีแตะ32.20บ./ดอลล์

KBANK คาดค่าบาทกลางปีแตะ32.20บ./ดอลล์

 นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ประเมินว่าในระยะยาวทิศทางค่าเงินสกุลดอลลาร์จะยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสหรัฐฯยังคงมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ แม้ว่าในระยะสั้นค่าเงินสกุลดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงกลางปีค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 32.20 บาทต่อดอลลาร์ และในช่วงปลายปีจะแข็งค่าต่อเนื่องแตะ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อื่นๆที่อาจมากระทบต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินได้ ดังนั้นท่ามกลางความผันผวนที่ค่อนข้างมาก และหากผู้ประกอบการยังไม่มีมุมมองที่ชัดเจนต่อภาวะเศรษฐกิจโลกก็ควรจะทำการป้องกันอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับมาตรการผ่อนเกณฑ์เงินทุนไหลออกของธปท. ที่ออกมาเชื่อว่าแม้ไม่ได้ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แต่จะช่วยสร้างความคล่องตัวแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น ดังนั้นจึงจะเห็นบทบาทที่ชัดเจนของมาตรการดังกล่าวในช่วงที่ค่าเงินมีความผันผวนอย่างมาก นายธิติ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันลูกค้าของธนาคารได้ทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้น หากเป็นลูกค้าขนาดใหญ่ก็จะปิดความเสี่ยงในสัดส่วนที่มากกว่าลูกค้ารายย่อยในระดับ 60-70% ของมูลค่าธุรกิจ แต่หากเป็นลูกค้ารายย่อยจะปิดอยู่ที่ 30-40% แต่ก็นับว่าสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากในอดีต สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ การเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลดอลลาร์และภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์กับค่าเงินในภูมิภาคอย่างมาก จะแตกต่างกันเพียงแค่ดีกรีการเคลื่อนไหวเท่านั้น ซึ่งการเคลื่อนไหวกับค่าเงินในภูมิภาคก็มีค่าเงินสกุลดอลลาร์เป็นตัวกำหนดทิศทาง ขณะที่เป้าหมายธุรกรรมในตลาดทุนในปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน แต่ไม่สามารถเปิดเผยฐานในส่วนของธุรกิจตลาดทุนได้ อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมจตลาดทุนในช่วงปี 2552 ที่หดตัวลง เนื่องจากในช่วงปี 2551 ธุรกรรมจตลาดทุนเติบโตอย่างก้าวกระโดดทำให้มีฐานที่สูง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง ด้านทิศทางการส่งออกในเดือนมกราคมมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถไว้ใจได้ เนื่องจากช่วงเดือนดังกล่าวเป็นปัจจัยตามฤดูกาล  'ค่าเงินวันนี้ไม่มีผลอะไรเลยเรื่องการชุมนุม มันค่อยๆทยอยขึ้นมาเรื่อยๆ เหตุผลเพราะข่าวเมืองจีนตอนแรกที่ห่วงว่าสินเชื่อโตขึ้นเยอะ และกังวลฟองสบู่ รวมทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลกทำให้ดอลลาร์ฯวิ่งลงมา แถมยังมีข่าวกรีซมีปัญหาด้านการฟื้นตัวทำให้ค่าเงิาเราขึ้นต่อ ล่าสุดเฟดขึ้นดอกเบี้ย Discount Rate แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แค่ปรับกลไกให้สู่ภาวะปกติเท่านั้น'

เปิดอ่าน1,076
ปธ.สภาอุตฯคาดจีดีพี Q1 โต4%

ปธ.สภาอุตฯคาดจีดีพี Q1 โต4%

 นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ของไทยในปี 2553 น่าจะขยายตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หากเศรษฐกิจโลกไม่ผันผวนมากนัก และราคาน้ำมัน ไม่ปรับตัวสูงขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยคาดว่าไตรมาสแรกของปีนี้จีดีพีจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณร้อยละ 4 เนื่องจากแนวโน้มการส่งออก การท่องเที่ยว และสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น  ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.5 แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐ เริ่มฟื้นตัวขึ้น และมีแนวโน้มที่ยุโรปจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเช่นกัน ขณะที่ประเทศไทยเชื่อว่าคงจะมีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในครั้งถัดไป เพราะขณะนี้ยังคงมีสภาพคล่องในระบบเป็นจำนวนมาก ส่วนการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. วันนี้ รวมทั้งกรณีการพิจารณาคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เชื่อว่าจะไม่มีการใช้ความรุนแรง  หากทุกฝ่ายยอมรับคำตัดสินของศาล เพราะการชุมนุมที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศพร้อมแนะให้เรียกร้องผ่านกระบวนการรัฐสภา  อย่างไรก็ตามหากการชุมนุมมีความรุนแรงถึงขั้นที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น มองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ เพราะนำมาใช้เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย  ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวยอมรับว่า การชุมนุมทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อรถยนต์ในประเทศให้ชะลอตัวออกไป แต่ยอดขายในประเทศปีนี้ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมียอดขาย 600,000 คัน ขยายตัวจากปีที่ผ่านมาร้อยละ9 หากจีดีพีปี 2553 ขยายตัวร้อยละ 3.5-4 เพราะรัฐบาลมีการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง การท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของประชาชนที่ฟื้นตัวดีขึ้น    

เปิดอ่าน8
**SETปิดเช้านี้ที่ 695.18จุด ลดลง 0.48จุด

**SETปิดเช้านี้ที่ 695.18จุด ลดลง 0.48จุด

**เช้าวันนี้ดัชนีฯ ปิดที่ 695.18 จุด ลดลง 0.48 จุด หรือ 0.07% มูลค่าการซื้อขาย 5,641.88 ล้านบาทหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่1.CPF ปิดที่ 12.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 524.49 ลบ.2.BANPU ปิดที่ 522.00 บาท ลดลง 10.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 446.70 ลบ.3.PTTAR ปิดที่ 24.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 403.06 ลบ.4.PTT  ปิดที่ 220.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 370.53 ลบ.5.PTTEP ปิดที่ 132.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 339.70 ลบ. **เช้าวันนี้ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 209.90 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด หรือ 0.21%**เช้าวันนี้ SET50 Index ปิดที่ 486.44 จุด ลดลง 0.48 จุด หรือ 0.10%    **เช้าวันนี้ SET100 Index ปิดที่ 1046.26จุด ลดลง 1.10 จุด หรือ 0.11%    

เปิดอ่าน10
ราคาน้ำมันดิบไลท์สิงคโปร์เช้าแตะ 78.15ดอลล์

ราคาน้ำมันดิบไลท์สิงคโปร์เช้าแตะ 78.15ดอลล์

          สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ราคาน้ำมันดิบไลท์สัญญาส่งมอบเดือนมีนาคมที่ตลาดสิงคโปร์ครึ่งวันเช้าลดลง 91 เซนต์ มาอยู่ที่ 78.15 ดอลลาร์/บาร์เรล         ขณะที่ราคาน้ำมันเตาลดลง 2 เซนต์ มาอยู่ที่ 2.032 ดอลลาร์/แกลลอน ราคาน้ำมันเบนซินลดลง 2.25 เซนต์ อยู่ที่ 2.0467 ดอลลาร์/แกลลอน และราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 1.9 เซนต์ มาอยู่ที่ 5.15 ดอลลาร์/1 พันลูกบาศก์ฟุต          ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง เป็นผลมาจากนักค้าน้ำมันหวั่นเกรงว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยดิสเคาท์เรตของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟดจะนำไปสู่การยกเลิกมาตรการพิเศษเพื่อช่วยเหลือภาคการเงินสหรัฐฯและนำไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ เฟดฟันด์เรตในที่สุด

เปิดอ่าน12
ลุ้น! IRCP พลิกกำไรปี52 ส่วนปีนี้ปั้นรายได้พุ่ง 30%

ลุ้น! IRCP พลิกกำไรปี52 ส่วนปีนี้ปั้นรายได้พุ่ง 30%

        นายจำรัส สว่างสมุทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP กล่าวถึงแนวโน้มพลิกกำไร ปี 52 จากปี 51 ขาดทุน 83.35 ล้านบาท ว่า ส่วนตัวยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ อาจต้องรอประกาศตัวเลขที่ชัดเจนหลังปิดงบเรียบร้อย        ส่วนแนวโน้มผลงานปีนี้ ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน เนื่องจากปัจจุบันยังคงมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 400 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในปีนี้เกือบทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเตรียมเข้าประมูลงานใหม่อีก 1,600 ล้านบาท ซึ่งหากได้รับงานดังกล่าวเข้ามา คงช่วยสนับสนุนให้ผลประกอบการในอนาคตเติบโตอย่างต่อเนื่อง        'ปีนี้เราเน้นรับงานเทเลคอมของภาครัฐ เพราะที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาในการทำงาน 20 ปี นับว่าบริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีบุคลากรที่มีความรู้มีประสบการณ์ที่ดี ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของ IRCP ' นายจำรัส กล่าว

เปิดอ่าน1,091
บล.โกลเบล็ก: รายงานภาวะตลาดหุ้น 19/02/53

บล.โกลเบล็ก: รายงานภาวะตลาดหุ้น 19/02/53

บล.โกลเบล็ก : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 19/02/53 แนวโน้มตลาดวันนี้          วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับลง  ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 695.66 จุด ลดลง 1.83 จุด (-0.26%) มูลค่าการซื้อขายเบาบางที่ 1.2 หมื่นล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 575 ล้านบาท          แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ทางฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก คาดมีแนวโน้มแกว่งตัว 680-702 เป็นการแกว่งตัวในกรอบแคบ เพื่อรอดูพัตนาการของปัจจัยกดดันระยะสั้นโดยเฉพาะการขยายตัวของการชุมนุมในวันนี้ที่สนญ. ธนาคารกรุงเทพ ในขณะที่กระทรวงการคลังจะมีการเปิดเผยตัวเลขมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาสสี่(+1%)ในวันจันทร์ที่ 22 ก.พ. ส่วนของตลาดอนุพันธ์ S50H10 มีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 472-488 SET50 กรอบการเคลื่อนไหว 478-494 ด้านGold Future GFG10 เก็งกำไรระยะสั้นในกรอบ 17,350-17,560 GFJ10 เก็งกำไรระยะสั้นในกรอบ 17,410-17,650            กลยุทธ์  ยังเน้นขึ้นขายลงซื้อหากปริมาณการซื้อขายเพิ่มไม่มากกว่า 2 หมื่นล้าน แรงซื้อเก็งกำไรกระจายไปหุ้นที่คาดว่าจะออกงบมาดี กลุ่มอาหาร/เกษตร GFPT CPF CFRESH วันนี้กลุ่มพลังงาน กลุ่มโรงกลั่นประกาศผลประกอบการอาจมีการกลับเข้าเก็งกำไร ลงซื้อขึ้นขายทำรอบ สำหรับหุ้นเก็งกำไรทางเทคนิคดูรายละเอียดใน Short-Term Trade เช่น SEAFCO TUF หรือเลือกใน Stocks in Trend นักลงทุนระยะกลาง ถือ          ดัชนี SET ระดับดัชนีทดสอบแนวต้าน 702 ไม่ผ่านยืนเป็นแท่งเทียนที่ 3 แสดงถึงแรงขายทำกำไรระยะสั้น หรือการแกว่งตัวเพื่อสร้างฐานราคา ระหว่างวันเน้นยืนแนวรับSMA5วันและ10วัน 695 ต่ำกว่าเป็นสัญญาณขายแนวโน้มเป็นการปรับตัวทดสอบNeck Line 687 เป็นแนวรับพิจารณาซื้อเก็งกำไรเมื่อยืนเหนือ เน้นยืน 695 ต่ำกว่ารอซื้อรอบใหม่ที่แนวรับ 687          ดัชนีนิกเกอิ บรรยากาศการซื้อขายเบาบางโดยมีปริมาณการซื้อขายต่ำสุดในรอบปี คาดนักลงทุนชะลอการซื้อขายจนกว่าตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้จะเปิดทำการอีกครั้งหลังช่วงวันหยุดตรุษจีน เพื่อรอดูผลกระทบจากมาตรการเพิ่มเพดานการกันสำรอง ดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวทดสอบแนวรับ 10,000 อีกครั้ง         ดัชนีฮั่งเส็ง ทดสอบแนวต้านจุดสูงเดิม 20,780(21,000)ไม่ผ่านเป็นสัญญาณลบ แนวโน้มปรับตัวลง คาดยังมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นจากการปรับตัวขึ้นมามาก และมีโอกาสทดสอบแนวรับจิตวิทยา 20,000 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายของจีน (Analyst - ธวัชชัย  tawatchai@globlex.co.th) Stocks in trend         BCP (ราคาปิด 14.80 แนะนำ ซื้อเก็งกำไร เป้าหมาย 15.80) ประกาศผลประกอบการเย็นวันนี้ คาดจะมีการประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H52 อีกราว 0.70-1 บาทต่อหุ้น ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการปี 53 คาดว่าจะได้ประโยชน์จากโครงการ PQI เต็มปี       CPF (ราคาปิด 12 แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสมตาม Consensus 14.60) คาดผลประกอบการ 4Q52 ยังคงเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการรับรู้รายได้ที่มากขึ้นจากธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่คาดว่าจะประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H52 อีกราว 0.50-0.55 บาทต่อหุ้น โดยจะประกาศผลประกอบการในวันนี้       PTTAR (ราคาปิด 24.30 แนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 35.50) ประกาศกำไร 4Q52 มีกำไรสุทธิราว 1.5 พันล้านบาท น้อยกว่าที่คาดเล้กน้อย โดยลดลงจาก 3Q52 ที่มีกำไร 1.7 พันล้านบา แต่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท สำหรับผลประกอบการรวมทั้งปี 52 มีกำไร 9,162 ล้านบาท ดีกว่าปี 51 ที่ขาดทุน 8,465 ล้านบาท       CPALL (24.20 แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสมตาม Consensus 25.65) ประกาศผลประกอบการปี 52 ราว 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 119% YoY และจ่ายเงินปันผลงวดปี 52 ที่ 0.80 บาทต่อหุ้น (XD 28 เม.ย.53, จ่ายเงินปันผล 17 พ.ค.53) ขณะที่ในปี 53 CPALL มีการตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10-15% จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ตั้งเป้าขยายปี 53 เพิ่มอีก 400-500 สาขา       SEAFCO (ราคาปิด 4.28 แนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 6.10) ได้งานใหม่ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นโครงการออกแบบและก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงงานอุโมงค์รถไฟฟ้า มูลค่าโครงการ 123 ล้านบาท ทั้งนี้ SEAFCO ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 53 ที่ 2 พันล้านบาทจากปี 52 ที่คาดว่าจะทำได้ 1.7-1.8 พันล้านบาท และมีเป้าหมายกำไรสุทธิเติบโตในระดับ 10%        PT (ราคาปิด 1.31 แนะนำ ซื้อเก็งกำไร) แม้ผลประกอบการปี 52 จะขาดทุน และประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 52 ที่หุ้นละ 0.10 บาทต่อหุ้น (Dividend Yield 7.6%)(Analyst - อำนาจ  amnart@globlex.co.th) ปัจจัยบวก      + อังกฤษรายงานยอดการผลิตยานยนต์เดือนม.ค. 53 ที่ 101,190 คัน พุ่งขึ้น 65%YoY โดยมีปัจจัยหนุนจากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลที่ให้ส่วนลด 2,000 ปอนด์ในการนำรถเก่าอายุเกิน 10 ปีมาแลกซื้อรถใหม่      + FED สาขาฟิลาเดลเฟียรายงานดัชนีภาคการผลิตเพิ่มขึ้นแตะระดับ 17.6 จุด ในเดือนก.พ. จากระดับ 15.2 จุดในเดือนม.ค.        + บริษัทในกลุ่มค้าปลีกในสหรัฐ อาทิ วอล-มาร์ท  และฮิวเล็ต-แพคการ์ด เปิดเผยผลประกอบการเพิ่มขึ้นเกินคาด        + สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยฐานะการคลังของรัฐบาลในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 53 มียอดขาดดุล 116,363 ล้านบาท ลดลง34.2%YoY         + HSBC คาด GDP ไทยโต 4.6%  จาก4 ปัจจัยหนุน 4  ประการได้แก่การบริโภค การลงทุน การส่งออก และการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้น แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเรื่องการเมือง ปัจจัยลบ        - FED ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน 0.25% เป็น 0.75%  มีผลบังคับใช้ 19 ก.พ. 53 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเนื่องจากตลาดการเงินและภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นจาก GDP ในช่วง 4Q52  5.7% แสดงถึงการขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี ทำให้ FED เห็นว่าจำเป็นต้องคุมเข้มด้านการเงินและยังย้ำว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง        - FED คาดอัตราว่างงานของสหรัฐปี 53 ราว 9.5-9.7% และคาดว่าอัตราว่างงานจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีก 2 ปีจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้ภาคเอกชนของสหรัฐระมัดระวังเรื่องการจ้างงาน และคาดตลาดจ้างงานจะกลับคืนสู่ภาวะปกติต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง         - สหรัฐเปิดเผยยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้น 31,000 คน เป็น 473,000 คนในสัปดาห์ที่แล้ว         - อังกฤษมียอดขาดดุลงบประมาณ 4.3 พันล้านปอนด์ในเดือนม.ค. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเกินดุล 2.8 พันล้านปอนด์จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีหดตัว 11.8%YoY แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการจ่ายเงินสวัสดิการคนว่างงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ อังกฤษคาดว่าหนี้สาธารณะปีนี้ จะปรับตัวสูงขึ้นถึง 1.78 แสนล้านปอนด์คิดเป็น 12.6% ของ GDP          - สถานการณ์ด้านการเมืองที่ไม่แน่นอนมีน้ำหนักมากขึ้นในการกดดันตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้ จับตาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงวันนี้ที่ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ ถ.สีลม ปัจจัยที่ต้องจับตา        * คืนนี้สหรัฐจะรายงาน 1) ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนก.พ. นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้น 2) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนม.ค.          * 22 ก.พ. สภาพัฒน์ ฯ จะประกาศตัวเลข GDP ในช่วง 4Q52          * 26 ก.พ. ธปท. จะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทย เดือน ม.ค.53 (Analyst - วิลาสินี  wilasinee@globlex.co.th) Wall Street:  ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 83.66 จุด ตลาดยังขานรับข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง         ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 83.66 จุด ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 โดยตลาดยังได้แรงหนุนจากการประกาศตัวเลขภาคการผลิตที่แข็งแกร่งทำให้นักลงทุนคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามดัชนีไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเนื่องจากนักลงทุนส่วนหนึ่งยังกังวลกับปัญหาการว่างงานหลังจากที่กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการการว่างงานในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 31,000 คน เป็น 473,000 คน นอกจากนี้ตลาดยังถูกกดดันจากข่าวรายงานยอดขายที่ลดลงของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอย่างวอล-มาร์ท ทำให้ปิดตลาดดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดเพิ่มขึ้นเพียง 83.66 จุด หรือ 0.81% แตะที่ 10,392.90 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 7.24 จุด หรือ 0.66% ปิดที่ 1,106.75 จุด และดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 15.42 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 2,241.71 จุด ราคาน้ำมัน  : NYMEX เพิ่มขึ้น 1.73 เหรียญ ตลาดให้น้ำหนักตัวเลขภาคการผลิตที่สดใสมากกว่าสต๊อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น        ราคาน้ำมันดิบที่ตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 1.73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยนักลงทุนให้น้ำหนักกับการรายงานตัวเลขภาคการผลิตที่แข็งแกร่งมากกว่าการเปิดเผยสต๊อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น โดยเมื่อวานนี้กระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 12 ก.พ. พุ่งขึ้น 3.1 ล้านบาร์เรล แตะที่ระดับ 334.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.2 ล้านบาร์เรล อย่างไรก็ดีเนื่องจากนักลงทุนคาดว่าตัวเลขภาคการผลิตที่สดใสจะทำให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นในอนาคตจึงทำให้นักลงทุนยังคงเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบ โดยปิดตลาดราคาน้ำมันดิบที่ตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค.เพิ่มขึ้น 1.73 ดอลลาร์ หรือ 2.24% ปิดตลาดที่ 79.06 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาดกรุงลอนดอนส่งมอบเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น 1.51 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 77.78 ดอลลาร์/บาร์เรล (Analyst -อาทิตย์   artit@globlex.co.th)      

เปิดอ่าน8