อ่านข่าวย้อนหลัง ทั้งหมด หน้า 25822

เนื้อหาทั้งหมด

เนื้อหาทั้งหมด ใหม่ล่าสุด

เนื้อหาทั้งหมด
ใหม่ล่าสุด
อธิบดีป่าไม้สั่งให้สุรยุทธ์ออกจากเขายายเที่ยง

อธิบดีป่าไม้สั่งให้สุรยุทธ์ออกจากเขายายเที่ยง

กก.สอบข้อเท็จจริงเขายายเที่ยงเตรียมลงพื้นที่ 21 ม.ค. ชี้ดูพิกัดก็รู้ว่าอยู่ในผังหรือไม่ ก่อนสรุปผล แย้ม หลักฐานชัดพล.อ.สุรยุทธ์ขาดคุณสมบัติในการถือครองหรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว

เปิดอ่าน22,716
ฮันเตอร์หอม!!4ยักษ์พรีเมียร์ฯสนซิว

ฮันเตอร์หอม!!4ยักษ์พรีเมียร์ฯสนซิว

"เดลี เมล์" สื่อชื่อดังเมืองผู้ดี ออกมาตีข่าวว่า คลาส ยาน ฮุนเตลาร์ กองหน้าชาวฮอลแลนด์ ของ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน กำลังถูก 4 ทีมดังศึกพรีเมียร์ลีก อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, ลิเวอร์พูล และ สเปอร์ส ตามจีบให้มาร่วมทัพ ในช่วงเปิดตลาดซื้อขายยักเตะรอบ 2 นี้

เปิดอ่าน1,542
ค่าเงินบาทปิดเย็นนี้ที่ 33.00-33.03 บ.

ค่าเงินบาทปิดเย็นนี้ที่ 33.00-33.03 บ.

 นักค้าเงินจาก ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ระดับ 33.00-33.03 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า ตามค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ เช่น ยูโร และค่าเงินในภูมิภาคที่ต่างอ่อนค่า ซึ่งวันนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.025 ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสุดที่ระดับ 32.94 บาทต่อดอลลาร์  สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในวันพรุ่งนี้ มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 32.95-33.10  บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือการเคลื่อนไหวของทิศทางค่าเงินสกลุหลักอื่นๆ   

เปิดอ่าน27
**SETปิดวันนี้ที่ 718.99จุด ลดลง 12.81จุด

**SETปิดวันนี้ที่ 718.99จุด ลดลง 12.81จุด

**วันนี้ดัชนีฯ ปิดที่  718.99จุด ลดลง 12.81 จุด หรือ -1.75% มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่  18,719.52 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่1.PTT  ปิดที่  231.00  บาท ลดลง 7.00  บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,703.00 ลบ.2.BANPU   ปิดที่  590.00  บาท ลดลง 28.00  บาท  มูลค่าการซื้อขาย 1,680.89 ลบ.3.PTTEP  ปิดที่ 140.00 บาท ลดลง 4.00 บาท บาทมูลค่าการซื้อขาย 1,627.59 ลบ.4. IRPC   ปิดที่  4.56 บาท เพิ่มขึ้น  0.18  บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,193.04 ลบ.5.CPF      ปิดที่  12.20 บาท ลดลง 0.40 บาท   มูลค่าการซื้อขาย 939.51 ลบ.        **เช้าวันนี้ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 221.02 จุด ลดลง 1.32 จุด หรือ 0.59%    **เช้าวันนี้ SET50 Index ปิดที่ 506.04 จุด ลดลง 10.47 จุด หรือ 2.03%    **เช้าวันนี้ SET100 Index ปิดที่ 1089.53 จุด ลดลง 21.72 จุด หรือ 1.95%    

เปิดอ่าน20
ROJNA เตรียมเปิดตัวดอนโดฯปลายปีนี้

ROJNA เตรียมเปิดตัวดอนโดฯปลายปีนี้

นางสาวอมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) กล่าวว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวคอนโดฯมูลค่าหลายพันล้านบาทในช่วงปลายปีนี้ โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาถึงแนวโน้มและทิศทางของตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจในการดำเนินโครงการ โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการเปิดโครงการเที่ประเทศจีน 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการแรกได้เปิดให้จองตั้งแต่ปี 2551 จะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงกลางปีนี้ ส่วนอีกหนึ่งโครงการได้มีการเปิดให้จองในช่วงปลายปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จาก 2 โครงการดังกล่าวได้ทั้งหมดภายในปี 2554

เปิดอ่าน29
ผถห.จ๋อย MSC ปันผลปี52 น้อยกว่า 0.20บ.

ผถห.จ๋อย MSC ปันผลปี52 น้อยกว่า 0.20บ.

        นายณรงค์ จารุวจนะ รองประธานกรรมการ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC กล่าวยอมรับว่า บริษัทอาจจ่ายเงินปันผลปี 52 ต่ำกว่าปี 51 ที่จ่ายในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท เนื่องจากผลประกอบการในปีดังกล่าวออกมาไม่ดีนัก แต่ถือว่าดีกว่าผลตอบแทนของอัตราดอกเบี้ยในการฝากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหวังว่าผู้ถือหุ้นคงพอใจและเข้าใจ ส่วนบริษัทฯ เอง จะพยายามบริหารจัดการองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและจัดการอย่างมืออาชีพ        "แม้ปีที่ผ่านมาเราอาจจะจ่ายปันผลน้อยกว่าปีก่อน แต่ถือว่ายังจ่ายให้มากกว่าฝากแบงก์ ซึ่งน่าจะทำให้ผู้ถือหุ้นพอใจ"นายณรงค์ กล่าว        ส่วนกรณีที่ บริษัท เมโทรแวลูครีเอชั่น เข้ามาซื้อหุ้น MSC เพิ่ม 3.31% ส่งผลให้มีหุ้นในมือ 22.14%ไม่ได้มีนัยสำคัญอะไร เพียงแต่ผู้ถือหุ้นเดิมของ MSC ต้องการขายหุ้นในกระดานออกมา ซึ่งทางเมโทรแวลูครีเอชั่น เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงเข้าไปซื้อหุ้น MSC เพิ่มเติมเท่านั้นเอง ขณะเดียวกันโครงสร้างการบริหารงานหรือผู้ถือหุ้นยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง สำหรับอนาคตเมโทรแวลูครีเอชั่นจะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มอีกหรือไม่นั้น คงตอบไม่ได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับความพอใจของบริษัทดังกล่าว  

เปิดอ่าน72
ROJNAรับยอดขายปี52 เข้าเป้า 400-500ไร่

ROJNAรับยอดขายปี52 เข้าเป้า 400-500ไร่

นางสาวอมรา เจริญกิจวัฒนกุล กรรมการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA กล่าวว่า ยอดขายที่ดินในปี 52 คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่ 400-500 ไร่ อีกทั้งมีโอกาสที่บริษัทจะมียอดขายที่ดินสูงสุดในกลุ่มผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามียอดขายรวมอยู่ที่ 420 ไร่ ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาซื้อที่ดินของบริษัทจะมาจากลูกค้าในปีประเทศโดยเฉพาะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจคือโรงงานยาสูบที่มีการขยายการลงทุนมากขึ้นในปีที่ผ่านมา

เปิดอ่าน1,089
CEN-W2เทรดต้น ก.พ.-เอื้อวิทยาเข้าตลาดปีนี้

CEN-W2เทรดต้น ก.พ.-เอื้อวิทยาเข้าตลาดปีนี้

บอสใหญ่ บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN) เข็น CEN-W2 ลงกระดานหุ้นเทรดต้นเดือน ก.พ. 53 พร้อมเล็งเข็น 'เอื้อวิทยา' เข้าตลาดฯปีนี้ ส่วนรายได้ปีนี้เข้าเป้า 2 พันล้านบาท จากปี 52 คาดทำได้ 1.6 พันล้านบาท        นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการ บริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ CEN กล่าวว่า บริษัทเตรียมเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 2 หรือ CEN-W2 คงสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ได้ราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 โดยล่าสุด บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) ได้รับเป็นนายทะเบียนเรียบร้อยแล้ว        'น่าจะเข้าเทรดในตลาดหุ้นได้ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ นี้ แต่ไม่ได้คาดหวังว่านักลงทุนจะให้การตอบรับอย่างคึกคักเฉยๆ ไม่ได้หวังอะไร เพราะการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นคงต้องปล่อยไปตามกลไกตลาดฯ ส่วนบริษัทคงได้รับเงินทุนเพิ่มขึ้น หากผู้ถือหุ้นใช้สิทธิแปลงวอร์แรนต์ทั้งหมด'นายวุฒิชัย กล่าว        ขณะเดียวกันคาดว่าภายในปีนี้บริษัทคงสามารถผลักดันบริษัทลูกคือ บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทยได้ เนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีอนาคตที่ดี แต่บริษัทขอเวลาศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก่อน หากมีความชัดเจนจะชี้แจงให้ทราบในภายหลัง อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2553 ที่ 2,000 ล้านบาท หรือขยายตัวไม่ต่ำกว่า 15% จากปี 2552 ที่คาดทำได้ประมาณ 1,600 ล้านบาท เพราะบริษัทลูก ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด ,บริษัท เอื้อวิทยา จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็นเนซอล จำกัด มีผลประกอบการที่ดีขึ้น นอกจากนี้บริษัท เอื้อวิทยา ยังมีงานในมืออยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2552 ไปแล้วมูลค่า 200 ล้านบาท และในปีนี้จะทยอยรับรู้รายได้อีก 500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป

เปิดอ่าน70
TU-PFเผยศาลยกคำร้องพีซีซี-นัดชี้สองสถาน 22ก.พ.

TU-PFเผยศาลยกคำร้องพีซีซี-นัดชี้สองสถาน 22ก.พ.

รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ( บริษัทจัดการ ) ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียล คอมเพล็กซ์ (TU-PF ) แจ้งว่าตามที่ ได้แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงการฟ้องคดีของบริษัทพีซีซี ดีเวลล๊อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ( พีซีซี ) ต่อกองทุนรวมโดยพีซีซีได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีดังกล่าวนั้นด้วย บริษัทจัดการมีความประสงค์จะแจ้งความคืบหน้าของคดีดังต่อไปนี้ในวันที่ 18 มกราคม 2553 ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในคดีดังกล่าวโดยมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเนื่องจากเห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตตามคำร้อง และศาลได้มีคำสั่งกำหนดวันนัดชี้สองสถาน ตามเดิม คือ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 09.00 นาฬิกา ศาลแพ่ง กรุงเทพมหานคร

เปิดอ่าน101
BAY รายได้-กำไรปี52 เข้มแข็ง

BAY รายได้-กำไรปี52 เข้มแข็ง

          รายงานข่าวจากธนาคาร กรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยว่าสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ธนาคารและบริษัทย่อยมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษีเงินได้ จำนวน 18,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,089 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.3 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 5,802 ล้านบาท หรือร้อยละ 72.8  สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ จำนวน 1,969 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากเงินลงทุนจำนวน 1,005 ล้านบาท ขณะที่ปีก่อนมีการบันทึกขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมสำหรับเงินลงทุนในตราสาร CDOs  จำนวน 2,294 ล้านบาท ด้านค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 2,563 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.1 ส่วนใหญ่เกิดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและค่าใช้จ่ายในการเข้าซื้อกิจการ เมื่อหักสำรองค่าเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 10,216 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนการกันเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 74.3  และภาษีเงินได้จำนวน 1,504 ล้านบาท ส่งผลให้ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 6,657 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,359 ล้านบาท หรือร้อยละ 54.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน           ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 782,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34,155 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.6 เมื่อเปรียบเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 สาเหตุหลักเกิดจากเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 46,431 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.3  ส่วนใหญ่เกิดจากการเข้าซื้อกิจการทั้ง 3 แห่งของ AIG และ GEMT            หนี้สินรวมมีจำนวน 689,455 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27,903 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.2 เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2551 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน จำนวน 27,412 ล้านบาท  หรือร้อยละ 137.0 และหนี้สินอื่น จำนวน 14,475 ล้านบาท ในขณะที่เงินรับฝากลดลง 16,839 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.1 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยตลาด  ส่งผลให้ผู้ฝากเงินนำเงินบางส่วนไปลงทุนด้านอื่น            สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 92,585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,252 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.2 เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2551 สาเหตุหลักเกิดจากกำไรสุทธิของปี 2552 จำนวน 6,657 ล้านบาท สุทธิจากการจ่ายเงินปันผลในระหว่างปี 2552 จำนวน 1,822 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นของส่วนเกินทุนจากการตีราคาที่ดินและอาคาร และส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 1,695 ล้านบาท และ 62 ล้านบาท ตามลำดับ และส่วนเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 271 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2552 ธนาคารได้นำมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 12  เรื่อง ภาษีเงินได้ มาใช้ก่อนมาตรฐานการบัญชีมีผลบังคับใช้ ซึ่งได้ปรับปรุงงบการเงินงวดปัจจุบันและงวดก่อน ทำให้ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีที่บันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง 611 ล้านบาท

เปิดอ่าน17
SEAFCO ลุ้นรายได้ปี53แตะ2พันล.

SEAFCO ลุ้นรายได้ปี53แตะ2พันล.

นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ รองประธานกรรมการ บมจ. ซีฟโก้ (SEAFCO) กล่าวว่าแนวโน้มรายได้ของบริษัทปี 53 นี้มีโอกาสแตะ 2,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเป้าหมายเดิมที่ 1.8 พันล้านบาททั้งนี้เนื่องมาจากบริษัทได้รับงานเสาเข็มโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 จาก บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK โดยมูลค่างานเสาเข็มรวมกับราคาวัสดุอยู่ที่ประมาณเกือบ 2 พันล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีลุ้นที่จะได้งานเสาเข็มโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 2 จาก บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ภายหลังได้ยื่นเสนอราคาไปแล้ว โดยคาดว่า STEC จะกระจายงานให้แก่หลายบริษัท มากกว่าที่จะจ้างเพียงบริษัทเดียว อีกทั้งปีนี้มีงานประมูลภาครัฐและเอกชนอีกจำนวนมาก ซึ่งบริษัทก็พร้อมที่จะเข้าร่วมประมูล โดยตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 1/53 บริษัทได้เตรียมเข้าร่วมประมูลโครงการ มูลค่าประมาณ 400-500 ล้านบาท

เปิดอ่าน24
SCC ลุยซื้อกิจการเห็นภาพ Q1

SCC ลุยซื้อกิจการเห็นภาพ Q1

 นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าซื้อกิจการ ซึ่งปัจจุบันมีการเจรจาในหลายๆธุรกิจ ทั้งบริษัทในประเทศและต่างประเทศ อาทิ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กระดาษ เคมิคอล แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะมีบางบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดต่างประเทศ โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 1/2553 น่าจะปิดได้ 1 ดีล แต่จะเป็นกลุ่มใดนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่มีมูลค่าราว 1-2 พันล้านบาท    

เปิดอ่าน7,030
**SETปิดเช้านี้ที่ 725.56จุด ลดลง 6.24จุด

**SETปิดเช้านี้ที่ 725.56จุด ลดลง 6.24จุด

**เช้าวันนี้ดัชนีฯ ปิดที่  725.56 จุด ลดลง 6.24จุด หรือ -0.85% มูลค่าการซื้อขาย 9,312.62 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่1.PTT ปิดที่  234.00  บาท ลดลง 4.00  บาท มูลค่าการซื้อขาย 971.48 ลบ.2.IRPC  ปิดที่  4.62 บาท ลดลง  0.12บาท  มูลค่าการซื้อขาย  803.35ลบ.3.BANPU  ปิดที่ 602.00  บาท ลดลง 16.00 บาท  บาทมูลค่าการซื้อขาย 732.73ลบ.4. CPF ปิดที่ 12.20 บาท ลดลง 0.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 656.34ลบ.5.PTTEP    ปิดที่  142.00บาท  ลดลง 2.00บาท  มูลค่าการซื้อขาย 624.97 ลบ.      **เช้าวันนี้ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 222.70 จุด เพิ่มขึ้น 0.36 จุด หรือ 0.16%    **เช้าวันนี้ SET50 Index ปิดที่ 511.10 จุด ลดลง 5.41 จุด หรือ 1.05%    **เช้าวันนี้ SET100 Index ปิดที่ 1100.10 จุด ลดลง 11.15 จุด หรือ 1.00%    

เปิดอ่าน18
บล.ทรีนีตี้ แนะซื้อ HEMRAJ เป้า 1.3บ.

บล.ทรีนีตี้ แนะซื้อ HEMRAJ เป้า 1.3บ.

บล.ทรีนีตี้ : HEMRAJ แนะนำซื้อ โดยมีราคาเป้าหมาย 1.3 บาท ต้นปี 2553 ขายที่ได้แล้วกว่า 400 ไร่              แนะนำซื้อโดยมีราคาเป้าหมาย 1.3 บาท โดยมีประเด็นพิจารณาดังนี้ (1) ผลประกอบการไตรมาส 4/52 คาดมีรายได้ 483 ล้านบาท ลดลง 37% YoY และมีกำไรสุทธิ 107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% YoY (2) คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำไปแล้วในปี 2552 หลังต้นปี 2553 ขายที่ดินได้แล้วกว่า 400 ไร่ (ปี 2552 ขายได้เพียง 144 ไร่) คิดเป็น 50% จากเป้าหมายการขายที่ดินปี 2553 ที่บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 800 ไร่ นอกจากรายได้จากการขายที่ดินในปี 2553 จะเพิ่มขึ้น ยังมีรายได้จากขายคอนโดมิเนียมเพิ่มเข้ามาด้วย คาดปี 2553 มีรายได้ 3,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.7% YoY และมีกำไรสุทธิ 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114% YoY               คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/52 โต 40% YoY ผลประกอบการไตรมาส 4/52 คาดมีรายได้ 483 ล้านบาท ลดลง 37% YoY และมีกำไรสุทธิ 107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% YoY รวมทั้งปี 2552 คาดมีรายได้ 2,363 ล้านบาท ลดลง 54% YoY และมีกำไรสุทธิ 530 ล้านบาท ลดลง 61% YoY สาเหตุที่รายได้และกำไรสุทธิปี 2552 ปรับตัวลดลงมากเนื่องจากในปี 2552 รายได้จากการขายที่ดินลดลงมากหลังบริษัทขายที่ดินได้เพียง 144 ไร่ ต่ำที่สุดในกลุ่ม (AMATA ขายได้ 250 ไร่ ROJNA ขายได้ 400 ไร่)              ผลประกอบการปี 2553 จะกลับมาฟื้นตัว จากรายได้จากการขายที่ดินและรายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่มขึ้น หลังไตรมาส 1/53 บริษัทสามารถขายที่ดินได้แล้วว่า 400 ไร่ คิดเป็น 50% จากเป้าหมายการขายที่ดินปี 2553 ที่บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 800 ไร่ เทียบกับปี 2552 ที่ขายที่ดินได้เพียง 144 ไร่ นอกจากรายได้จากการขายที่ดินที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีคอนโดมิเนียมที่ชิดลมที่บริษัทเริ่มเปิดขายใหม่แล้วในช่วงไตรมาส 4/52 โดยมีมูลค่าที่เหลือรอขายอีกจำนวน 1,492 ล้านบาท ซึ่งในปี 2552 บริษัทไม่มีรายได้จากการขายคอนโดมิเนียม ดังนั้นจึงคาดว่าผลประกอบการของบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2552 คาดปี 2553 มีรายได้ 3,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.7% YoY และมีกำไรสุทธิ 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114% YoY             แนะนำซื้อโดยมีราคาเป้าหมายที่ 1.3 บาทต่อหุ้น เนื่องจากผลประกอบการปี 2553 ที่จะฟื้นตัวกลับมาดี รวมถึงข่าวดีในเรื่องการขายที่ดินในช่วงไตรมาส 1/53ได้ถึง 400 กว่าไร่ โดยเราปรับประมาณยอดขายที่ดินขึ้นจากเดิม 400 ไร่ เป็น 600 ไร่ ทำให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2553 ขึ้น 40% เนื่องจากบริษัทสามารถขายที่ดินได้มากกว่าที่เราคาดไว้เดิม แต่ยังคงราคาเป้าหมายตามเดิมที่ 1.3 บาท (PBV 1.4 เท่า)    

เปิดอ่าน15
SINGER เชิดหน้าปี53กำไรพุ่ง-รายได้ทะลุ10%

SINGER เชิดหน้าปี53กำไรพุ่ง-รายได้ทะลุ10%

นายบุญยง ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ. ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ บริษัทจะมีกำไรต่อเนื่องจากปี 52 ที่คาดว่าจะมีกำไรครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังผลกำไรในช่วง 9 เดือนปี 2552 อยู่ที่ 35.35 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการลดค่าใช้จ่ายภายในบริษัทฯ และปรับกระบวนการต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะลุยกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้สำหรับรายได้ในปี 2553 คาดโตไม่ต่ำกว่า 10%จากปี2552ที่คาดทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน โดยเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้ในปี 2553 และด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

เปิดอ่าน9
SCC ชี้ภาพรวมตลาดซีเมนต์ปี53โต5%

SCC ชี้ภาพรวมตลาดซีเมนต์ปี53โต5%

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC กล่าวว่า บริษัทฯคาดว่าปริมาณการใช้ปูนซีเมนต์ไทยในปี 2553 น่าจะเติบโต 5% จากปีก่อนเนื่องจากภาวะะเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น โดยเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีต่างๆ ล่าสุดความเชื่อมั่นก็มีทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้คาดว่าแนวโน้มการใช้วัสดุก่อสร้างโดยทั่วไปน่าจะมีทิศทางดีขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/2552 แล้ว ขณะที่ธุรกิจกระดาษ โดยเฉพาะการผลิตกล่องที่มีการส่งออกก็เริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยคาดการณ์ว่าสถานการณ์ในปีนี้น่าจะดีขึ้น สำหรับปัจจัยเสี่ยง คือ เรื่องความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการเมืองภายในประเทศ ซึ่งอยากให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีหลายโครงการที่ติดในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดยมี 5 โครง การแบ่งเป็นโครงการของ SCC โครงการ และของพาร์ทเนอร์ดาวเคมิคอล 1 โครงการ ซึ่งโครงการดังกล่าวบริษัทได้ยื่นต่อศาลฯเพื่อให้สั่งการระงับโครงการดังกล่าว โดยโครงการที่ยื่นไปเป็นโครงการที่ลดมลพิษ และทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของการยกเลิกคำสั่งระงับโครงการเหมือนกับ 10 โครงการก่อนหน้าที่ศาลฯยกเลิกคำสั้งสั่งระงับ ทั้งนี้ยังมีอีก 1โครงการ ซึ่งได้รับ EIA แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับความกรุณาจากศาลฯ ส่วนโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างบริษัทฯก็จะขอยื่นต่อศาลฯเพื่อให้สามารถให้ดำเนินการก่อสร้างได้ต่อ เพราะโครงการดังกล่าวยังไม่ก่อให้เกิดมลพิษเรื่องเคมี แต่เป็นเพียงมลพิษทั่วไปของการก่อสร้าง ซึ่งหากเป็นไปตามกระบวนการบริษัทพร้อมปฎิบัติตามกฎ HIA และ EIA    

เปิดอ่าน7,069
MILLเหมาทุกโปรฯทั้งแตกพาร์-เพิ่มทุน

MILLเหมาทุกโปรฯทั้งแตกพาร์-เพิ่มทุน

บอร์ด MILL ลงมติงัดทุกเม็ด แตกพาร์เหลือ 0.40 บาท-เพิ่มทุน ขายหุ้นให้ DEG ราคา 3.84 บาท-กัน 499.30 ล้านหุ้น เสนอขายพีพี-ไฟเขียว BRPซื้อสินทรัพย์ลงทุนในโครงการ Green Mill มูลค่า 2.9 พันล้านบาท งานนี้หวังลดต้นทุนการผลิต ป้องกันความเสี่ยงในการขาดแคลนวัตถุดิบ ขยายผลิตภัณฑ์สินค้าได้หลากหลายมากขึ้น ตรงตามความต้องการ ลูกค้ามากขึ้น และสามารถแข่งขันได้ในอนาคต นอกจากนี้ยังจัดสรรหุ้นบุริมสิทธิ์ขายให้ผู้ถือหุ้น BRP พร้อมตั้งบริษัทย่อย ลุยธุรกิจขนส่ง-ล้มแผนขายหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่าไม่เกิน 1.2 พันล้านบาท                  นางภิรมย์ เศาภายน กรรมการ บมจ. มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ (MILL) เปิดเผยว่า มติคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่1/53เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2553 ได้พิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นโดยลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากหุ้นเดิมหุ้นละ 1 บาท เป็นหุ้นละ 0.40 บาท ทำให้จำนวนของบริษัทเพิ่มจากเดิม 692,599,996 หุ้น เป็น 1,731,499,990 หุ้น และอนุมัติแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4 .เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นของบริษัทและให้เสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุม  วิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2553 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป                ทั้งนี้ ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นดังกล่าวข้างต้น บริษัทจะมีทุนจดทะเบียน เท่าจำนวนเดิม692,599,996 บาท หุ้น และมีหุ้นทั้งหมดเป็นจำนวน 1,731,499,990 หุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นที่จดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน  1,432,499,990 หุ้น และหุ้นที่ออกไว้เพื่อหุ้นรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิตามที่กล่าวในข้อ 3 ข้างต้น จำนวน  299,000,000 หุ้น              พิจารณาอนุมัติพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน จากเดิมทุนจดทะเบียน 692,599,996 บาท เป็น 1,215,787,164 บาท โดยการออกหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุนของบริษัท จำนวน 544,608,960 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.40 บาท   และออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 763,358,960 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.40 บาท และอนุมัตแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4. เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทและให้เสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/53 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป              พิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกโดยบริษัท จำนวน 1,307,967,920 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 0.40 บาท และให้เสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2553 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้       1)     จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 218,750,000 หุ้น โดยมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 0.40 บาท ให้แก่ DEG ในราคาหุ้นละ 3.84 บาท              หมายเหตุ : ราคาเสนอขายหุ้นละ 3.84 บาท เป็นราคาเสนอขายที่คิดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ภายหลังการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากหุ้นละ 1 บาท เป็นหุ้นละ 0.40 บาท โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับราคา 9.60 บาท กรณีที่บริษัทมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ ณ วันที่ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติให้เสนอวาระเพิ่มทุนและจัดสรรหุ้นต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้ราคาเสนอขายดังกล่าวเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละเก้าสิบของราคาตลาด       อย่างไรก็ตามDEG ซึ่งเป็นสมาชิกของ KfW Bankengruppe เป็นหนึ่งในสถาบันทางการเงินเพื่อการพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการลงทุนพัฒนาโครงการระยะยาวต่างๆ รวมถึงการลงทุนในบริษัทเอกชนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามายาวนานกว่า 45 ปี DEG มีนโยบายลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพในการทำกำไรและสนับสนุนการพัฒนาในทุกภาคธุรกิจตั้งแต่ภาคเกษตรกรรม โครงการโครงสร้างพื้นฐาน ภาคการผลิต รวมไปถึงภาคการบริการ       2)     จัดสรรหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 499,300,000 หุ้น โดยมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 0.40 บาท ให้แก่บุคคลในวงจำกัดตามคำนิยามที่กำหนดในข้อ 24 ของประกาศคณะ กรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 28/2551  เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) ในราคาหุ้นละไม่ต่ำกว่า 4.00 บาท              หมายเหตุ : ราคาเสนอขายหุ้นละไม่ต่ำกว่า 4.00 บาท เป็นราคาเสนอขายที่คิดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ภายหลังการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากหุ้นละ 1 บาท เป็นหุ้นละ 0.40 บาท โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับราคาหุ้นละไม่ต่ำกว่า 10.00 บาท ในกรณีที่บริษัทมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ ณ วันที่ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติให้เสนอวาระเพิ่มทุนและจัดสรรหุ้นต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้ราคาเสนอขายดังกล่าวเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละเก้าสิบของราคาตลาด         3)     (ก) จัดสรรหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุน จำนวน 33,608,960 หุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทบี อาร์ พี สตีล จำกัด (BRP) จำนวน 17 ราย (โปรดพิจารณารายชื่อผู้ถือหุ้นของ BRP จำนวน 17 ราย ในสิ่งที่ส่งมาด้วย 2) ในราคาหุ้นละ 4.20 บาท ในอัตราส่วน 4.45 หุ้นของบริษัท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ หุ้นละ 0.40 บาท ต่อ 1 หุ้น ของ BRP มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท       (ข) จัดสรรหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุน จำนวน 11,700,000 หุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ BRP จำนวน 7 ราย (โปรดพิจารณา รายชื่อผู้ถือหุ้นของ BRP จำนวน 7 ราย ในสิ่งที่ส่งมาด้วย 2) ในราคาหุ้นละ 4.00 บาท ในอัตราส่วน 4.68 หุ้นของบริษัท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.40 บาท ต่อ 1 หุ้น ของ BRP มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท       โดยผู้ถือหุ้นของ BRP ดังกล่าวข้างต้น จะนำหุ้น BRP มาชำระเป็นค่าหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุนของบริษัท ทำให้บริษัทจะได้รับชำระค่าหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุนเป็นทรัพย์สินอื่นนอกจากตัวเงิน       หมายเหตุ : ราคาเสนอขายหุ้นละ 4.45 บาท และ 4.00 บาทข้างต้น เป็นราคาเสนอขายที่คิดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ภายหลังการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากหุ้นละ 1 บาท เป็นหุ้นละ 0.40 บาท โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับราคา 10.50 บาท และ 10.00 บาทตามลำดับ ในกรณีที่บริษัทมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าหุ้นที่ต ราไว้ ณ วันที่ ที่ประชุ มคณะกรรมการมีมติใ ห้เสนอวาระเพิ่มทุนและจัด สรรหุ้นสามัญต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้ราคาเสนอขายดังกล่าวเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละเก้าสิบของราคาตลาด           อนึ่ง  ราคาตลาด  หมายถึง ราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นสามัญของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้อนหลังสิบห้าวันทำการติดต่อกันก่อนวันที่คณะกรรมการมีมติให้เสนอวาระต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2553เพื่อขออนุมัติให้บริษัทเสนอขายหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญเพิ่มทุน คือ ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2552 ถึง 19 มกราคม2553 ซึ่งจะเท่ากับ 7.07 บาท วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน และการใช้เงินทุนในส่วนที่เพิ่ม         1.  เพื่อนำไปซื้อหุ้นสามัญของ BRP                  จากผู้ถือหุ้นเดิม ในจำนวน 10,052,574  หุ้น คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 187,983,133.80 บาท         2. เพื่ อ ให้ BRP ซึ่ ง เป็ น บริ ษั ท ย่ อ ย นํ า ไปซื้ อ สิ น ทรั พ ย์ ล งทุ นในโครงการ Green   Mill ในราคาไม่ เ กิ น2,900,000,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งในไตรมาส 1 ปี 2553 และเริ่มดำเนินการได้ในปี 2555 โดยโครงการเตาหลอมมีวัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อผลิต billet ทั้งระดับ commercial grade ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเหล็กเส้น เหล็กข้ออ้อย และ billet ระดับ special grade เพื่อสร้างสินค้าที่เป็น high value added   ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยยังคงต้องนำเข้า billet อยู่ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงความขาดแคลนวัตถุดิบ จึงวางแผนลงทุนในโครงการนี้ขึ้น โดยประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทคือ ลดต้นทุนการผลิต ป้องกัน   ความเสี่ยงในการขาดแคลนวัตถุดิบ ขยายผลิตภัณฑ์สินค้าได้หลากหลายมากขึ้น ตรงตามความต้องการ ลูกค้ามากขึ้น และสามารถแข่งขันได้ในอนาคต    ส่วนประโยชน์ที่บริษัทจะพึงได้รับจากการเพิ่มทุนและการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน     1.  ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการซื้อหุ้นสามัญ BRP               ปัจจุบันบริษัท ถือหุ้นอยู่ใน BRP ในสัดส่วนร้อยละ 83.78 การตัดสินใจเข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญที่เหลือของ BRP อีกร้อยละ 10.10 จากผู้ถือหุ้นของ BRP ที่ตกลงแลกหุ้นนั้น จะทำให้บริษัทมีโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการที่ชัดเจน เนื่องจากมีบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการมีความคล่องตัวมากขึ้น ปราศจาก ความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต     2.       ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการซื้อสินทรัพย์ลงทุนในโครงการ Green Mill               -       ช่วยลดต้นทุนในกระบวนการผลิตของบริษัท               -       บริษัทสามารถนำเศษเหล็ก (Scrap) มาหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ ซึ่งถือเป็นการใช้ประโยชน์จากเศษเหล็กได้คุ้มค่า               -       เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน               -       ช่วยลดมลภาวะที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตเดิม               -       ช่วยลดการนำเข้าวัตถุดิบ ซึ่งบริษัทต้องพึ่งพิงจากแหล่งวัตถุดิบในต่างประเทศ  นอกจากนี้บอร์ดฯยังได่พิจารณาอนุมัติรายการได้มาซึ่งทรัพย์สิน      รายการที่ 1:พิจารณาอนุมัติให้ BRP ซื้อสินทรัพย์ลงทุนในโครงการ Green Mill     BRP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นร้อยละ 83.78 ของทุนจดทะเบียน จะดำเนินการซื้อ สินทรัพย์ลงทุนในโครงการซึ่ง ได้แก่ เตาหลอมอาร์คไฟฟ้า ( Electronic Arc Furnance: EAF ) เป็นมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 2,900,000,000 บาท      รายการที่ 2:        พิจารณาอนุมัติให้บริษัทซื้อหุ้น BRP จากผู้ถือหุ้นของ BRP จำนวน 10,052,574 หุ้น หรือ คิดเป็นร้อยละ 10.10 ของทุนจดทะเบียนของ BRP     บริษัทจะเข้าซื้อหุ้น BRP จำนวน 10,052,574 หุ้น จากผู้ถือหุ้นของ BRP โดยในการชำระค่าซื้อหุ้น BRP ให้แก่ผู้ถือหุ้น BRP นั้น บริษัทชำระด้วยการออกหุ้นบุริมสิทธิเพิ่มทุนของบริษัท จำนวน 45,308,960 หุ้น ตามรายละเอียดที่ปรากฏใน     ข้อ 6 (3) ซึ่งราคาดังกล่าวนี้เป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทและไม่ต่ำกว่าร้อยละเก้าสิบของราคา ตลาด โดยรายละเอียดของการซื้อหุ้น BRP จากผู้ถือหุ้นของ BRP มีรายละเอียดตามที่ปรากฏในสิ่งที่ส่งมาด้วย 2             โดยภายหลังจากการซื้อหุ้น BRP จากผู้ถือหุ้นของ BRP ทุกรายแล้ว บริษัทจะถือหุ้นใน BRP จำนวน 93,414,825 หุ้นหรือคิดเป็นร้อยละ 93.88 ของทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของ BRP    อนึ่ง ในการเข้าทำรายการในรายการที่ 1 และ รายการที่ 2 นั้น ถือเป็นรายการประเภทได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัท และ     เมื่อนับรวมขนาดรายการของทั้ง 2 รายการแล้ว ขนาดของรายการมีมูลค่าเท่ากับร้อยละ 46.69 ซึ่งเป็นขนาดรายการ     สูงสุดตามเกณฑ์การคำนวณที่ 3 ตามข้อ 7 ของประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การ เปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ .ศ. 2547 คือ ซึ่งคำนวณตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทนซึ่งเป็นวิธีที่มีขนาดรายการสูงสุดจากทุกเกณฑ์การคำนวณ โดยจากการคำนวณรายการดังกล่าวเข้าข่ายเป็นรายการประเภทที่ 2 ตามประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยฉบับดังกล่าว และประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 21/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน ซึ่งบริษัทจะต้องดำเนินการเปิดเผยข้อมูลตามที่ประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยฯ กำหนด โดยจัดทำรายงานและเปิดเผยรายการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทันทีเมื่อมีการตกลงเข้าทำรายการ และจัดส่งหนังสือแจ้งผู้ถือหุ้นภายใน 21 วันนับแต่วันที่เปิดเผยรายการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย          นอกจากนี้มติคณะกรรมการบริษัทฯได้พิจารณาอนุมัติการจัดตั้งบริษัทย่อยของบริษัท เพื่อดำเนินธุรกิจขนส่ง โดยมีทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาทและพิจารณาอนุมัติยกเลิกมติ (1) การออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพมูลค่ารวมไม่เกิน1,200,000,000 บาท และการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนเพื่อรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพ จำนวนไม่เกิน 166,400,004 หุ้น         และ (2) การจัดสรรหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัดตามคำนิยามที่กำหนดในข้อ 24 ของประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 28/2551 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ (รวมทั้งที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม) ในกรณีที่มีหุ้นเหลือจากการรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพหรือบริษัทมิได้มีการออกและเสนอขายหุ้นกู้แปลงสภาพ ตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2551 เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 และให้เสนอเรื่องนี้ต่อที่ประชุมวิสามัญ ผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2553 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป

เปิดอ่าน183
บล.ธนชาต: รายงานภาวะตลาดหุ้น 21/01/53

บล.ธนชาต: รายงานภาวะตลาดหุ้น 21/01/53

บล.ธนชาต : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 21/01/53             “719 จุด” คือแนวรับวันนี้ที่คาดว่า SET จะลงมาทดสอบ เพราะการเมืองส่อเค้ารุนแรงมากขึ้นหลังสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุบอมบ์ (แต่ปิดข่าว) ห้องทำงานของผู้บัญชาการทหารบก (แต่พลาด) นอกจากนั้นตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ก็แดงเถือกจาก China Effect ที่เมื่อจีนรัดเข็มขัดแล้วอาจกระทบเป็นลูกโซ่ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วน KCE วันนี้ต้องระวังเพราะอาจติด Cash Balance ประเด็นสำคัญวันนี้ Banking: 4Q09 Results Preview          อิง 5 เหตุการณ์ดังในอดีต สะท้อนมาเป็นแนวรับรอบนี้ของ SET @ 719 จุด จากการนำ 5 สถานการณ์สำคัญในอดีตในช่วงปี 2006-2009 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญพบว่าการปรับตัวลงแรงของ SET เฉลี่ยประมาณ 3.8% ก่อนที่จะเห็นรีบาวน์เพราะฉะนั้นรอบนี้น่าจะเห็น SET ปรับลงมา 28 จุด มาอยู่ที่ 718.74 จุด (vs. 746.89 จุด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา) แต่เนื่องจาก 2 วันลงไปแล้ว 15 จุด ดังนั้นหากจะลงต่อก็อีก 13 จุด ก่อนจะเห็นรีบาวน์ (ดูตารางข้างล่างประกอบ) ดังนั้นกลยุทธ์ระยะสั้นคือขายก่อนแล้วลงมารอซื้อที่แนวรับ ส่วนนักลงทุนระยะยาวหากไม่หวั่นไหวกับการเมืองก็ถือต่อเพราะเราประเมิน SET สิ้นปีนี้ที่ 820 จุด (อ้างอิง Siam Senses ฉบับวันที่ 15 ม.ค.10)           KTB คือแบงก์ล่าสุดที่ส่งงบ กำไรตามคาด แต่อาจโดนขาย (ดูตารางบนสุดขวามือ) เพราะปัจจัยการเมืองที่ไม่เอื้อ แต่ในเชิงพื้นฐานระยะยาว (12 เดือน) KTB (ปิด 10, เป้า 14,Upside 40%) คือ Top Pick ของเรา เพราะถูก (เทรดแถว BV) ดี (คาดกำไรในช่วง 2 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ยปีละ 20%) และมีปันผล (เฉลี่ยปีละ 5%) ส่วนแนวรับวันนี้ @ 9.70 บาท สรุปภาพตลาดวานนี้           SETเหวี่ยงจนมึนไป/กลับ 17 จุด แต่สุดท้ายปิดเหนือ 730 จุดได้ แต่ยังน่ากลัวเพราะ 3 รุม 1 ภาคเช้า SET ไป High @ 740.05 (+4 จุด) แต่ภาคบ่ายลงไป Low @ 723.15 (-13 จุด) จาก 2 เหตุผลหลักเดิม คือ กลัวจีนใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินมากเกินไป และกลัวการเมืองไทยวุ่นวาย แต่สุดท้ายปลายตลาดมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นใหญ่ (RPC CPF BANPU BBL ADVANC & AOT เป็นต้น) ดันให้ SET ปิดลบแค่ 5 จุด (0.6%) @ 731.80 จุด เทรดไปเฉียด 2 หมื่นลบ. แต่ทั้งนี้มีข้อสังเกต คือ นักลงทุนสถาบัน (ทั้งกองทุนในประเทศ พอร์ตโบรกเกอร์ และฝรั่ง) พร้อมใจกันขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 รวมอีกเฉียด 2 พันลบ. ในขณะที่รายย่อยเก็บอย่างเดียว (ซึ่งน่ากลัวเพราะ 3 รุม 1) นอกจากนั้นฝรั่งยังขาย (short)สุทธิในตลาด Futures อีก 261 ลบ. (12 สัญญา)             China Overheating? = Unsustainable Recovery? ความร้อนแรงเกินไปของเศรษฐกิจจีน(คาด GDP 4Q09 โตถึง 10.5% y-y ส่วนทั้งปี 2009 โต 8.5%) จนต้องออกหลายมาตรการมาควบคุมทำให้ระยะสั้นตลาดหุ้นทั่วโลก (MSCI World Index) ลบไป 1.6% เช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับลงถ้วนหน้า (NYMEX -2% @ USD77.62/bbl)

เปิดอ่าน9,956
บล.ซิกโก้ แนะ ”ซื้อ” SCB เป้า 98บ.

บล.ซิกโก้ แนะ ”ซื้อ” SCB เป้า 98บ.

บล.ซิกโก้ : SCB แนะนำ ”ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 98 บาท กำไรสุทธิ 4Q09A ลดลง 8.0% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 26.0% YoY                SCB ประกาศกำไรสุทธิใน 4Q09A อยู่ที่ 4,780 ลบ. ลดลง 8.0% QoQ เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 14.7% QoQ จากค่าใช้จ่ายทางการตลาดตามฤดูกาล และเงินโบนัสของพนักงาน อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 20.6% YoY โดยมีสาเหตุมาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นถึง 19.7% YoY เพราะการเติบโตที่แข็งแกร่งของรายได้ค่าธรรมเนียม โดยได้รับผลดีมาจากธุรกิจบัตร, ธุรกิจการจัดการกองทุน และธุรกิจ Bancassurance และมีกำไรจากเงินลงทุนมูลค่า 48 ลบ. เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีขาดทุนจากเงินลงทุนถึง 792 ลบ. ประกอบกับมีการตั้งค่าเผื่อสำรองหนี้สูญที่ลดลง 7.0% YoY ตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายภาษีที่ลดลงถึง 36.9% YoY เนื่องจากไตรมาสนี้มีอัตราภาษีเพียง 20.2% ซึ่งต่ำกว่าอัตราภาษีที่ SCB เสียตามปกติที่ 30% ทั้งนี้ NIM ใน4Q09A อยู่ที่ 3.45% ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากไม่มีเงินปันผลรับจากวายุภักดิ์ แต่ลดลงเมื่อเทียบกับ 4Q08A อยู่ที่ 3.93% จากการลดลงของอัตราดอกเบี้ย และปริมาณสภาพคล่องส่วนเกิน สินเชื่อ 4Q09A เติบโตได้ดี 4.5% QoQ และ FY09A ฟื้นตัวได้ที่ 2.5% YoY               ภาพรวมสินเชื่อของ SCB ใน 4Q09A อยู่ที่ 940,238 ลบ. เพิ่มขึ้น 4.5% QoQ และ2.5% YoY โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่เติบโตถึง 9.4% YoY และสินเชื่อบุคคลที่เติบโต 3.7% YoY โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อเคหะที่เติบโตที่ 4.6% YoY เนื่องจากได้รับผลดีจากนโยบายภาษีของภาครัฐฯเพื่อกระตุ้นการซื้อบ้านใหม่ส่งผลให้สินเชื่อรวมใน FY09A มีการเติบได้ที่ 2.5% YoY โดย SSEC คาดว่า แนวโน้มสินเชื่อใน 1H10E จะมีการฟื้นตัวได้มากขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากจะได้รับผลดีจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ NPL ใน 4Q09A มีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่4.13% จาก 4.42% ใน 3Q09A และ 4.70% ใน 4Q08A เนื่องจาก SCB มีกลยุทธ์ในการป้องกันการเกิดสินเชื่อด้อยคุณภาพใหม่ ประกอบกับฐานะทางการเงินของผู้กู้อยู่ในระดับที่ดีอย่างไรก็ดี SSEC เชื่อว่า SCB จะสามารถควบคุม NPL Ratio ให้ไม่เกิน 5% ตามที่ผู้บริหารได้คาดการณ์ไว้ได้ นอกจากนี้ ในส่วนของเงินกองทุนมีความแข็งแกร่งมากขึ้นมาอยู่ที่ 16.47% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 15.2% ซึ่งจะช่วยให้ SCB สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างคล่องตัว เมื่อโอกาสทางธุรกิจมีมากขึ้นในอนาคต แนะนำ ”ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 98 บาท            SCB เป็นธนาคารที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับมี ROE ที่สูงสุดในกลุ่มธนาคารที่ 15.5% อย่างไรก็ดี SSEC ยังคาดว่า สัญญาณการฟื้นตัวของสินเชื่อจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนในช่วง 1H10E รวมถึง SCB ยังพยายามที่จะขยายปริมาณสินเชื่อ และส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจเช่าซื้อตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่ง SSEC คาดว่า SCB จะยังคงมีการเติบโตของสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่อง จึงแนะนำ ”ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 98 บาท อิง P/BV ที่ 2.10 เท่า       

เปิดอ่าน41