นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ผลการจัดเก็บรายได้ไตรมาสแรก (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2552) พบว่า กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บได้รวม 100,845.78 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จัดเก็บได้ 57,274.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 76.08% และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณที่ 39.77% ซึ่งที่ประมาณการตั้งไว้ 72,150.74 ล้านบาท โดยการจัดเก็บที่ได้สูงกว่าเป้าหมายนั้นเป็นผลจากการปรับเพิ่มภาษีน้ำมัน เบียร์ สุรา และยาสูบ รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคของประชาชนและการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น สำหรับภาษีสินค้าที่สรรพสามิตจัดเก็บได้สูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยจัดเก็บได้ 37,634.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 5,247.75 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 32,386.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 617.15% ภาษีรถยนต์ จัดเก็บได้ 18,874.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 14,888.30 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 3,986.23 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26.77% ภาษีเบียร์ จัดเก็บได้ 16,387.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 13.408.99 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 2,978.25 หรือคิดเป็น 22.21% ภาษียาสูบ จัดเก็บได้ 12,4679 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 10,066.08 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 2,403.35 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23.88% และภาษีสุรา จัดเก็บได้ 10.230.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 8,714.80 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 1,515.89 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.39% ขณะที่ ในปีงบประมาณ 2553 (เดือนตุลาคม2552-กันยายน 2553) คาดว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีสรรพสามิตได้ราว 360,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ 291,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงสิ้นเดือนมกราคม คาดว่ากรมสรรพสามิตจะจัดเก็บรายได้เกินเป้าจากปีแล้วประมาณ 60,000 ล้านบาท ตามการปรับเพิ่มภาษีน้ำมัน เบียร์ สุรา และยาสูบ