อ่านข่าวย้อนหลัง ทั้งหมด หน้า 25844

เนื้อหาทั้งหมด

เนื้อหาทั้งหมด ใหม่ล่าสุด

เนื้อหาทั้งหมด
ใหม่ล่าสุด
SPALI ตั้งเป้ายอดขายปี 53 ที่ 1.5 หมื่นล.

SPALI ตั้งเป้ายอดขายปี 53 ที่ 1.5 หมื่นล.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการโอนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 11,000 ล้านบาท ทั้งนี้มาจากยอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นปี 2552 ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 16,000 ล้านบาท ที่ทยอยรับรู้ในปีนี้ประมาณ 7,500 ล้านบาท ประกอบกับในปีนี้บริษัทจะมีโครงการเปิดใหม่จำนวน 10-15 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 10 โครงการ อีกทั้งโครงการแนวราบ 5 โครงการ และเป็นโครงการในต่างจังหวัดจำนวน 2-3 โครงการที่จังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต

เปิดอ่าน2,979
เช้าวันนี้ดัชนีฯ ปิดลดลง 9.82 จุดที่   704.28 จุด

เช้าวันนี้ดัชนีฯ ปิดลดลง 9.82 จุดที่ 704.28 จุด

เช้าวันนี้ดัชนีฯ ปิดที่   704.28 จุด ลดลง 9.82  จุดหรือ -1.38%  มูลค่าการซื้อขาย 9,197.55 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่1.BANPU ปิดที่  550.00 บาท ลดลง 24.00  บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,249.53ลบ.2.PTT   ปิดที่  223.00บาท ลดลง 6.00 บาท  มูลค่าการซื้อขาย 1,157.75 ลบ.3.PTTAR  ปิดที่ 24.90   บาท ลดลง 0.35 บาท  บาทมูลค่าการซื้อขาย 651.18 ลบ.4.PTTEP   ปิดที่ 135.00 บาท ลดลง 2.00  บาท มูลค่าการซื้อขาย 607.48 ลบ.5.SCIB  ปิดที่  29.75บาท  เพิ่มขึ้น 1.00 บาท  มูลค่าการซื้อขาย 604.39 ลบ.     ส่วนเช้าวันนี้ดัชนีตลาด mai ปิดที่ 218.43 จุด ลดลง 1.45 จุด หรือ 0.66% ด้าน SET50 Index ปิดที่ 494.64 จุด ลดลง 7.78 จุด หรือ 1.55% ด้าน  SET100 Index ปิดที่ 1065.34 จุด ลดลง 16.43 จุด หรือ 1.52%                

เปิดอ่าน8
SPPT ตั้งเป้ารายได้ปี 53 โต 20%

SPPT ตั้งเป้ารายได้ปี 53 โต 20%

นายประพจน์ พลพิพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SPPT เปิดเผยว่า ในปี 2553 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ขยายตัว 20% เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่คาดว่าจะมีรายได้ต่ำกว่าปี 2551 ที่ทำได้ 862.01 ล้านบาท เพราะได้รับปัจจัยบวกจากอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีคำสั่งผลิตสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นายประพจน์กล่าวอีกว่า ในปี 2553 บริษัทฯ เตรียมใช้เงินลงทุนมูลค่ารวม 80 ล้านบาท โดย 90% ของเงินลงทุนทั้งหมด จะนำไปซื้อเครื่องจักรใหม่ ซึ่งปลายเดือนนี้เครื่องจักรดังกล่าวจะเริ่มทยอยส่งมอบ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 10% ส่วนเงินลงทุนที่เหลืออีก 10% บริษัทฯ จะนำไปใช้ซื้ออุปกรณ์ตรวจสอบ ' หลังจากซื้อเครื่องจักรใหม่มาเพิ่มก็จะทำให้กำลังการผลิตของ SPPT เพิ่มขึ้น 10 % โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 10% นั้นจะแบ่งเป็นส่วนของสินค้าประเภท  Non Hard Disk Drive ในสัดส่วน 80% และ Hard Disk Drive อีก 20% เงินลงทุนก็มาจากกระแสเงินสดในการดำเนินงาน ' นายประพจน์ กล่าว อย่างไรก็ตามแม้แนวโน้มผลประกอบการในปี 2552 จะออกมาไม่ดีนัก แต่บริษัทฯ ยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอีบีด้าอยู่ที่ 150 ล้านบาท ประกอบกับมี D/E อยู่ที่ 0.16 เท่า ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนนโยบายจ่ายเงินปันผลคือประมาณ 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและทุนสำรองต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ขณะที่คณะกรรมการ SPPT มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท                

เปิดอ่าน32
ปตท.เตรียมขออุทธรณ์ต่อศาลฯกรณีมาบตาพุด

ปตท.เตรียมขออุทธรณ์ต่อศาลฯกรณีมาบตาพุด

นาย อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บมจ.ปตท. กล่าวว่า หากดูคำสั่งของศาลปกครองกลางแล้ว พบว่ามีช่องทางทางกฎหมายที่สามารถดำเนินการเพื่อให้โครงการเดินหน้าได้ เช่น การหารือกับหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต ทั้ง กนอ. และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าจะให้ใบอนุญาตประกอบกิจการหรือไม่ โดยในกรณีนี้ทางกลุ่ม ปตท.จะให้โครงการที่ถูกระงับยื่นหารือเป็นรายโครงไป ขณะเดียวกัน ปตท.จะหารือกับฝ่ายกฎหมายว่ากรณีนี้จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอ ถอดจากการระงับโครงการได้หรือไม่

เปิดอ่าน15
KTB โชว์ รายได้ค่าธรรมเนียมปี 52 ทะลุ 1หมื่นล.

KTB โชว์ รายได้ค่าธรรมเนียมปี 52 ทะลุ 1หมื่นล.

นายอนุชิต อนุชิตานุกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมปี 2553 เพิ่มขึ้น 30% จากสิ้นปี 2552 ที่ธนาคารสามารถทำยอดรายได้ค่าธรรมเนียมโตมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท  อย่างไรก็ตามสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมในปัจจุบัน ยังไม่ถึง 20%  ของรายได้รวม ซึ่งในสิ้นปีนี้พยายามที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมให้ถึง 20% ของรายได้รวม นอกจากนี้ ธนาคารเตรียมที่จะเพิ่มจำนวนตู้ ATM และ ADM รวมกันเพิ่มอีก 1,300 ตู้ และประเมินว่าในสิ้นปีนี้จะมีตู้ ATM ของธนาคารประมาณ 8,000 ตู้ โดยจะเน้นการเพิ่มในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก ขณะเดียวกันธนาคารยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการ Bill Payment โตอีก 30% จากปีที่ผ่านมาที่อยู่ประมาณ 200 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ ธนาคารเตรียมที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 80 สาขา ซึ่งจะส่งผลให้ในช่วงสิ้นปีมีสาขารวมกว่า 1,000 สาขา นายอนุชิต  กล่าวอีกว่า ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่รายย่อยในปี 2553 ไม่น้อยกว่าปีก่อนที่สามารถปล่อยได้ประมาณ 8-9 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสินเชื่อรายย่อยสุทธิที่ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยยังคงเน้นในส่วนของสินเชื่อบุคคล เนื่องจากมองว่ายังมีความต้องการอยู่เป็นจำนวนมากตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งประชาชนเริ่มกลับมามีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ประเด็นทางการเมืองที่ไม่ควรเกิดความรุนแรงอันจะมีผลต่อความเชื่อมั่นได้ 'สิ้นปี 2553 สินเชื่อน่าจะได้เป็นแสนล้านบาทก็พยายามอยู่ แต่ในใจแล้วส่วนตัวตั้งไว้ว่าสินเชื่อสุทธิอยากให้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 เท่า ซึ่งจะเป็นการโตอย่างก้าวกระโดด โดยพอร์ตสินเชื่อรายย่อยสิ้นปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 2.7 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 25-27% ของสินเชื่อรวม การปล่อยสินเชื่อเราจะระมัดระวังเป็นปกติ และเน้นไปในกลุ่มที่มีการจ่ายเงินผ่านธนาคาร และเรายังเกาะกลุ่มกิจกรรมต่างๆ และเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เนื่องจากมองว่าการแข่งขันปีนี้เริ่มรุนแรง เหนื่อยตั้งแต่ต้นปีเพราะปีก่อนธนาคารต่างๆ ก็ยังรีๆ รอๆ อยู่' นายอนุชิต กล่าว                

เปิดอ่าน197
PTT จับมือ ธ.สแตนดาร์ดฯยืดเวลาคืนกำไรให้ลูกค้า

PTT จับมือ ธ.สแตนดาร์ดฯยืดเวลาคืนกำไรให้ลูกค้า

นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดขายปลีก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยว่า ปตท. และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) ขยายเวลาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ภายใต้ชื่อโครงการ “รับเงินคืนสูงสุด 5% เมื่อเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท.” เพื่อเป็นการตอบแทนกลุ่มลูกค้าสมาชิกผู้ถือบัตรเครดิต SCBT ต่อไปอีก 2 เดือน จนถึงวันที่ 15 มีนาคม ศกนี้ นายวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ได้พยายามดูแลและรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้เหมาะสมกับทุกฝ่าย พร้อมทั้งร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจจัดกิจกรรมพิเศษ เพื่อตอบแทนและช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแก่ผู้บริโภค โดยล่าสุด ปตท. ได้ร่วมมือกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จัดโครงการ “รับเงินคืนสูงสุด 5% เมื่อเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท.” คืนกำไรแก่ลูกค้า ปตท. ที่เป็นสมาชิกบัตรเครดิต SCBT จำนวนกว่า 300,000 ราย ไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2552 – 15 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา กิจกรรมดังกล่าวมีผู้สนใจตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ปตท. จึงขยายเวลากิจกรรมออกไปอีก 2 เดือน จนถึงวันที่ 15 มีนาคม 2553 โครงการ “รับเงินคืนสูงสุด 5% เมื่อเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท.” มอบสิทธิพิเศษแก่ผู้บริโภคเมื่อเติมน้ำมันครบ 800 บาท และชำระเงินผ่านบัตร SCBT ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่รับบัตรเครดิตทั่วประเทศ โดยบัตรวีซ่าแพลตตินั่มอีลิท บัตรมาสเตอร์การ์ดแพลตตินั่ม และบัตรวีซ่าเพื่อธุรกิจ รับเงินคืน 5% บัตรไทเทเนียม บัตรทอง บัตรคลาสสิคและบัตรมอร์เกจ ลิงก์ รับเงินคืน 2% (จำกัดยอดรวมการใช้จ่ายที่นำมาคำนวณเพื่อรับสิทธิ Cash Back พิเศษของบัตรเครดิตทุกประเภทรวมกันไม่เกิน 4,000 บาทต่อเดือน รับเงินคืน 5% จะต้องมียอดค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มน้ำมันอย่างน้อย 5,000 บาทต่อเดือน รับเงินคืน 2% จะต้องมียอดค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างน้อย 2,000 บาทต่อเดือน) โดยผู้ถือบัตรต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมรายการโดยส่ง SMS พิมพ์คำว่า PTT เว้นวรรคตามด้วยหมายเลข 16 หลัก ส่งมาที่ 4806026 หรือ  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1595 ปตท.  หวังว่า ความร่วมมือระหว่างบริษัทน้ำมันและพันธมิตรทางธุรกิจในครั้งนี้  จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยมอบประโยชน์แก่ผู้บริโภค และเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนได้  โดยเฉพาะในยามที่ประชาชนต้องประสบกับภาวะราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่องตามราคาตลาดโลกขณะนี้

เปิดอ่าน11,626
บล.ทรีนีตี้ : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.ทรีนีตี้ : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.ทรีนีตี้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/01/53หลบผลกระทบทั้งใน-นอกประเทศ ผลกระทบในประเทศคาดผิดหวังกรณีมาบตาพุด ณ ขณะนี้คือหมดหวังจากการตัดสินของศาลให้โครงการเดินหน้าต่อได้เร็วขึ้น จากตรงนี้จะต้องรอการทำ HIAประชาพิจารณ์จนเสร็จเรียบร้อย คาดว่าอีกราว 6-8 เดือน ซึ่งทำให้ PTT และ PTTCH เกิดภาวะเสียโอกาส (แต่เราใส่ปัจจัยเรื่องความล่าช้าในประมาณการไปแล้ว) ส่วนต่างประเทศ คาดว่าได้รับผลจากการปรับตัวลงของตลาดหุ้นต่างประเทศที่ลงหนักในกลุ่มการเงินและเทคโนโลยี จึงหันไปน่าสนใจหุ้นทดแทน เช่น BANPU, BCP-DR1 ปลอดภัยเวลาที่ PTT มีผลกระทบ นอกจากนี้ CPF, KCE, HEMRAJเป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวลงทุนได้ คาดกรอบดัชนีรอบนี้มีแนวรับที่ 680 จุด แต่หากตลาดต่างประเทศรีบาวด์ขึ้นก่อนที่ระดับ 696 จุด ก็เริ่มทยอยซื้อได้แล้ว กรอบวันนี้ แนวรับ 706 แนวต้าน 719ปัจจัยวันนี้ ( - ) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: นักลงทุนวิตกแผนของทำเนียบขาวในการคุมเข้มความเสี่ยงในการทำธุรกรรมของภาคธนาคารจะส่งผลกระทบต่อผลกำไร ขณะที่การเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทกูเกิล อิงค์ ก็เป็นปัจจัยลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ดัชนีความผันผวน (VIX) ในตลาด Chicago Board Options Exchange ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดวอลล์สตรีท ก็ได้ทำสถิติทะยานขึ้นมากที่สุดในช่วง 3 วันในรอบกว่า 3 ปี โดยพุ่งขึ้นถึง 55.4%ขณะเดียวกัน การที่ทางการจีนใช้มาตรการชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจด้วยการสั่งระงับการปล่อยสินเชื่อธนาคารในเดือนนี้ ก็ได้ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของอุปสงค์ในสหรัฐและประเทศอื่น ๆ ( - ) ศาลปกครอง ยกคำร้อง 30 โครงการมาบตาพุด หมดความหวังศาลตัดสินให้เดินโครงการก่อนทำ HIA เสร็จ คาดเป็นปัจจัยลบทำให้หุ้นลง: ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งยกคำร้องของบริษัทเจ้าของโครงการอุตสาหกรรม 30 โครงการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองกลางที่สั่งระงับการดำเนินโครงการในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยองฯ ผลที่ออกมาเป็นลบ เพราะหมายถึงศาลไม่รับฟังคำร้องของเอกชน และไม่ได้ทำการตัดสิน แต่ให้ไปยื่นเรื่องเดินหน้าต่อหน่วยงานราชการเอง ซึ่ง จากนี้ไปเอกชนมีทางเลือก 3 ทางคือ 1.ดำเนินการยื่นร้องต่อทางราชการเพื่อขออนุญาตดำเนินโครงการ ซึ่งทางบริษัทแจ้งว่าทางหน่วยงานราชการคงไม่รับเรื่อง ต้องรอการทำ HIA ขึ้นใหม่ ซ้ำร้ายอาจต้องทบทวนการทำ EIA กลับมาให้ด้วย 2.เอกชนไปร้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้พิจารณาตัดสิน ซึ่งเอกชนคงไม่ทำ เพราะมาถึงขั้นนี้ คำตัดสินคงคล้ายของศาลปกครองกลาง 3.เดินหน้ารับกรรมทำ HIA ต่อไป ซึ่งใช้เวลา 6-8 เดือน และทำให้โครงการที่ทำเสร็จออกมาแล้ว เช่นโรงแยกก๊าซ 6 และอีก 6 โครงการของPTTCH รวมแคร็กเกอร์ 1 ล้านตัน ต้องเลื่อนการผลิตออกมาเป็นไตรมาส 4/53 หรือปี 2554 เลย เราคาดว่าความเป็นไปได้สูงสุดคือเดินหน้าทำ HIA ( - ) การควบรวมของ บจ.เครือ PTT คาดต้องเลื่อน: เราคาดการณ์ว่าการควบรวมอาจจะเลื่อนล่าช้าออกไปจนกว่าผลของ HIA ผ่าน และ PTTCH สามารถเดินหน้าการผลิตได้ ซึ่งในกรณีที่ต้องรีบควบรวมเร็วคาดว่าจะทำให้ PTT และ PTTAR ต้องเป็นผู้เข้าซื้อ IRPC 100% เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของ IRPC ซึ่งงานนี้ IRPC คือคนที่เป็นต่อที่สุด                

เปิดอ่าน12
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/01/53ข่าวร้ายยังมีเข้ามามาก..ดังนั้นถอยไปรอดูต่ำกว่า 700 จุดก่อน!! ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาที่เราแนะนำให้ถือหุ้นเพื่อรอลุ้นรีบาวนด์ต่อในช่วงต้นสัปดาห์นี้ที่บริเวณ 720 จุด เราขอปรับกลยุทธ์เป็นกลับมาเน้นขายเหมือนเดิม เพราะเชื่อว่าโอกาสหุ้นขึ้นยังยากหลังศาลมีคำสั่งยกคำร้อง 30 โครงการในมาบตาพุดที่ขอให้ยกเว้นคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งจะทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีซึ่งมีน้ำหนัก 1 ใน 3 ของตลาดกลับมากดดันตลาดอีกครั้ง (ประกอบกับราคาน้ำมันก็ไม่ได้เป็นตัวช่วย) ขณะที่ Dow Jones เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ปรับลงถึง 216 จุด ส่วน VIX พุ่งขึ้นถึง 23% ภายในวันเดียว ราคาน้ำมัน ทอง และโภคภัณฑ์อื่นๆ ปรับลง ในทางตรงกันข้ามเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ดอลลาร์ยังคงแข็งค่า และ Yield ของพันธบัตรรัฐบาลต่ำสุดในรอบหลายเดือน ขายแล้วยังไม่แนะนำให้รีบเข้าซื้อเพราะเชื่อว่ามีโอกาสหลุดต่ำกว่า 700 จุดสูง เราขอถอยการตั้งรับมาอยู่ที่ 680 - 690 จุดแทน ดังนั้น ช่วงนี้แนะนำให้ถือเงินสดเพิ่มขึ้น หรือเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นที่จ่ายปันผลสูงเช่น BCP, AIT, TRT, SPALI, GFPT, TMT, TVO, HANA, KSL ประเด็นสำคัญวันนี้ ไฮไลท์วันนี้อยู่ที่ประเด็นมาบตาพุดที่สร้างความผิดหวัง ศาลปกครองกลางมีคำสั่งยกคำร้อง 30 โครงการในมาบตาพุดที่ขอยกเว้นคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดย 30 โครงการดังกล่าวมีบริษัทในเครือของ SCC, PTTCH, กลุ่ม PTT, VNT, LOXLEY ทั้งนี้ เอกชนคาดว่าการก่อสร้างจะหยุดชะงักอย่างน้อย 10 เดือนถึง 1 ปี คำตัดสินของศาลดังกล่าวสร้างความผิดหวังให้ภาคเอกชน และจะทำให้ตลาดผิดหวังด้วย เพราะหมายถึง 64 โครงการจะถูกระงับต่อไป   สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทถูกปกคลุมด้วยข่าวร้ายทั้งแนวคิดของโอบามาที่จะจำกัดการทำการทำกำไรของแบงก์ผ่าน Proprietary trading ความไม่แน่นอนว่าวุฒิสภาจะโหวตให้ Bernanke เป็นประธาน Fed เป็นสมัยที่ 2 หรือไม่ การเลือกตั้งใน Massachusettes ที่รัฐบาลเสียที่นั่งในวุฒิสภาให้พรรค Republican จะทำให้การโหวตนโยบายต่างๆ ยากขึ้น บรรยากาศต่างๆ ส่งผลให้ดัชนีความกลัวหรือ VIX index สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นถึง 53% (วันศุกร์วันเดียวบวกถึง 23.2%) มาอยู่ที่ 27.43 จุด แม้ว่าบริษัทประมาณ 78% ของ S&P500 ที่ประกาศแล้ว (ประมาณ 20% ประกาศผลประกอบการแล้ว) มีผลประกอบการดีกว่านักวิเคราะห์ แต่แทนที่หุ้นจะขึ้นกลับถูกขายมากกว่า ส่งผลให้ Dow Jones เมื่อวันศุกร์ปรับลง 216 จุด และทำให้ทั้งสัปดาห์ 436 จุดหรือ -4.1% ส่วน S&P500 -3.9% ราคาโภคภัณฑ์ปรับลงเช่นเดียวกัน น้ำมันสัปดาห์ที่ผ่านมา -4.7% มาปิดต่ำกว่า US$75 ส่วนทองสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง US$36 มาปิดที่ US$1,090 ต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ขณะที่ราคาของสินทรัพย์ประเภท Safe heaven ปรับตัวขึ้น โดย Dollar index สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น (แข็งค่า) 1.7% ราคาพันธบัตรปรับขึ้นเพราะ Demand สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทน Yield ลดต่ำลง    ธปท. คงเป้า GDP เดิม ธปท. ได้มีการทบทวนประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ โดยสรุปว่ายังคงคาดการณ์ GDP ปีนี้ว่าจะเติบโต 3.3% - 5.3% เท่ากับที่คาดการณ์ในครั้งก่อน (ฝ่ายกลยุทธ์ของเราคาด 3.5%) และคาดการณ์ GDP ปี 2009 -2.7% และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะอยู่ที่ 3% - 5% ลดลงจากเดิมที่คาดไว้ 3.5% - 5.5% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ 1.3% - 2.3% ลดลงจากเดิมที่คาด 1.5% - 2.5% IVL จะขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไป (IPO) 400 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10.20 บาท คิดเป็นเงินที่ระดมทุนได้เพียง 4,080 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะนำหุ้นเข้าตลาดได้ในวันที่ 5 ก.พ. นี้ ราคาดังกล่าวต่ำกว่าที่บริษัทคาดว่าจะได้ในช่วงแรกคือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 11.36 บาท/หุ้น เราเชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะสภาพตลาดหุ้นไทยที่มีความไม่แน่นอนสูงในระยะนี้จึงทำให้ไม่เป็นที่ต้องการของนักลงทุนมากเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม บริษัทจะปรับสัดส่วนการแลกหุ้น IRP เพิ่มขึ้นตามที่ได้บอกไว้ตอนแรก ซึ่งเราคำนวณได้ประมาณ 1.415 หุ้น IRP : 1IVL เพิ่มจากเดิม 1.232 IRP : 1 IVL Technical View : “ตลาดยังอยู่ในช่วงแกว่งตัวลงต่อเนื่อง..เป้าหมายอยู่ที่ 650 จุด(+/-) ดังนั้นจะซื้อถือยาวให้รอดัชนีไหลลงต่ำค่อยๆ ทยอยซื้อ..ส่วนเทรดดิ้งเล่นรอบตามดูแรงซื้อจากแนวรับเพื่อลุ้นดีดกลับเป็นจังหวะสั้นๆ !!” แนวรับ    :   710-705*** , 700-690      แนวต้าน  :   718-720* , 723-725** , 730***Technical Picks:MILL (Bt 7.45 เป้าเทคนิค 8-8.20 cut loss ถ้าหลุด 7.15)MJD (Bt 3.28 เป้าเทคนิค 3.42-3.50 cut loss ถ้าหลุด 3.20)UV (Bt 2.40 เป้าเทคนิค 2.58-2.60 cut loss ถ้าหลุด 2.30)               

เปิดอ่าน11
KTB ขยายฐานลูกค้า Bill Paymentเพิ่ม 1000 บ.

KTB ขยายฐานลูกค้า Bill Paymentเพิ่ม 1000 บ.

นายอนุชิต อนุชิตานุกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารผลิตภัณฑ์และการตลาด ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) กล่าวว่า ธนาคารได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือการให้บริการรับชำระเงิน (Bill Payment) กับบริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง ประเทศไทย จำกัด เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและสนองตอบทุกความต้องการของลูกค้า โดยลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สามารถชำระค่าเช่าซื้อและผ่อนชำระรถยนต์ฮอนด้าทุกรุ่น รวมทั้งค่าบริการอื่นๆ ผ่านระบบต่างๆ ของธนาคาร 'จากการที่ธนาคารได้พัฒนาระบบเทคโนโลยี และระบบ Cash Management ทำให้เพิ่มช่องทางในการให้บริการพร้อมทั้งขยายฐานลูกค้า Bill Payment เพิ่มขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามีรายการ Bill Payment ผ่านธนาคารกว่า 22 ล้านรายการ และในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน ร่วมกับธนาคารกว่า 2,500 หน่วยงาน และในปีนี้ธนาคารมีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังภาคเอกชนมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มอีก 1,000 บริษัท ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกคาดว่าจะมีลูกค้าเอกชนใช้บริการดังกล่าวของธนาคารเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 250 บริษัท' นายอนุชิต กล่าว               

เปิดอ่าน85
KK ประเดิมงานใหญ่ต้นปีลุยธุรกิจอสังหาฯ

KK ประเดิมงานใหญ่ต้นปีลุยธุรกิจอสังหาฯ

นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ธนาคาร ได้จองพื้นที่ขนาด 1 ใน 4 ของงาน Luxury Property Showcase และได้เชิญลูกค้าสินเชื่อโครงการที่อยู่อาศัยของธนาคาร 17 โครงการ เข้าร่วม โดยเป็นที่อยู่อาศัยทุกประเภท มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท จัดเป็นโซนพิเศษ Good Living Created by Kiatnakin สำหรับลูกค้าสินเชื่อโครงการของธนาคาร โดยเป็นโครงการพร้อมอยู่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยว ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม ในราคาพิเศษแห่งปี พร้อมโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับลูกค้าที่สนใจภายในงาน ภายใต้ แคมเปญ “GOOD PRICES GOOD OFFERS GOOD BONUS” กล่าวคือเป็นโปรโมชั่นที่ดีและพิเศษในทุกๆ ด้าน อาทิ การลดราคาเป็นพิเศษมากกว่าทุกครั้งที่แต่ละโครงการเสนอขาย รวมถึงแคมเปญสินเชื่อ และโบนัสต่างๆ สำหรับผู้ที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานรวมมูลค่าราว 50,000 บาท” สำหรับกิจกรรมดังกล่าว ธนาคาร ได้ร่วมกับผู้ประกอบการชั้นนำ ที่เป็นลูกค้าสินเชื่อโครงการของธนาคาร 17 โครงการ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กับลูกค้าก่อนสิ้นมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์ โดยนำเสนอที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ ซึ่งถือเป็นสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ธนาคารได้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมด้านการตลาดให้กับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธนาคาร ยังเตรียมสินเชื่อเคหะ ให้กับผู้ที่สนใจซื้อบ้านในโครงการของลูกค้าธนาคารเช่นกัน ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก   นายธวัชไชย กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2553 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มเป็นบวก เป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ส่งผลให้เรียกความมั่นใจจากผู้บริโภคได้ และมีความต้องการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น ส่วนผลการดำเนินงานด้านสินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของธนาคาร มีการเติบโตอย่างเนื่อง สิ้นปี 2552 มียอดคงค้างอยู่ที่ 15,176 ล้านบาท ขยายตัว 9.8% จากสิ้นปี 2551 โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือและแก้ปัญหาของลูกค้าสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลง” โซน “Good Living Created by Kiatnakin” ภายในงาน Luxury Property Showcase ประกอบด้วยโครงการวิลล่า นครินทร์, เดอะฟายน์ แอท ริเวอร์, อลิชา เพลส 2 สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ, ซันปาล์ม วิลเลจ ภูเก็ต, ทรัพย์หมื่นแสน ปทุมธานี, อรุณพัฒน์ พระราม 3, แบงค์กอก เฟลิซ เมเจอร์ รัชโยธิน, ไพร์มเนเจอร์ วิลล่า อ่อนนุช, บ้านสิริวลัย, ไพรมารี่ เพรสทีจ, โมทาวน์ แจ้งวัฒนะ, เดอะวอเตอร์เฮ้าส์, นันท์นรินทร์, บลูลากูน, ธาราปุระ, มนตารี, เมอริทเพลส รวม 17 โครงการ โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-31 มกราคม 2553 ณ Hall of Frame ชั้น M และ Fashion Hall ชั้น 1 สยามพารากอน

เปิดอ่าน8,964
บล.ไอร่า : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.ไอร่า : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/01/53 ทิศทางตลาดวันนี้  จับตา (--) กังวล Obama Plan กระทบผลประกอบการ (-) กังวล Bernanke อาจไม่ได้รับเลือกเป็นสมัยที่2    (-) ศาลฯมีมติยกคำร้อง 30โครงการมามตาพุด คาดดัชนีตลาดจะปรับฐานประมาณ -10%ปัจจัยสำคัญวันนี้ (--) ตลาดหุ้นต่างประเทศ DJIA -216, NASDAQ -60, SP -24, FTSE -32, CAC -51, และ DAX -41 กังแผนธนาคารของโอบามาจะกระทบการดำเนินธุรกิจธนาคารทั่วโลก รวมทั้งยังมีความไม่แน่นอนว่า Bernanke จะได้เป็นประธาฯเฟดสมัยที่2 หรือไม่ ล่าสุดน้ำมันดิบล่วงหน้าตลาด NYMEX -US$1.5 อยู่ที่ US$74.54/barrel    (-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมียอดสุทธิ -1,218ล้านบาท ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปี -4,199ล้านบาท  และต่างประเทศมียอดสุทธิล่วงหน้า -629ล้านบาท มียอดสะสมใน มค53  -522ล้านบาทกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ทิศทางตลาดวันนี้:   ลดลงต่อเนื่อง   AIRA คาดตลาดจะตัวลดลงประมาณ -10% เพื่อสะท้อนปัจจัยลบใหม่ ได้แก่  Obama Bank Plan  ซึ่งแผนนี้เป็นจุดเริ่มของการแก้ต้นเหตุของวิกฤติธนาคาร และคาดว่าจะจุดกระแสของการปฎิรูปสถาบันการเงินไปทั่วโลก โดยเฉพาะ Europe เช่น  UK (HSBC), Germany  และ Switzerland (UBS)  รวมทั้งล่าสุด ศาลปกครองกลางมีมติยกคำร้อง 30 โครงการมามตาพุด ส่งผลให้โครงการดังกล่าวต้องถูกระงับกิจการชั่วคราวตามเดิม  ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม PTT (รวมโรงแยกก๊าซที่ 6) และ SCC หุ้นกลุ่มที่ถูก Short-Sale 20 มค  ได้แก่  TDEX, RATCH, AOT, LH, PTT

เปิดอ่าน11
บล.เคจีไอ : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.เคจีไอ : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.เคจีไอ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/01/53 ลงอีก... KGI คาดว่าหุ้นไทยวันจันทร์จะปรับลงต่อ ปัจจัยลบต่างประเทศยังอยู่ขณะที่ปัจจัยลบในประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงต่ออย่างแรงในคืนวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าแผนควบคุมภาคธนาคารของ ปธน. โอบามาจะกดดันรายได้ของภาคการเงินและยังมีปัจจัยปลีกย่อยว่าด้วยอนาคตของนายเบน เบอร์นานกี หลังวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ บางรายคัดค้านการดำรงตำแหน่งต่อของนายเบอร์นานกี และส่งผลให้มีการเลื่อนรับรองตำแหน่งไปอีก 1 สัปดาห์ ด้านปัจจัยในประเทศพบว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนิคมฯ มาบตาพุดมีปัจจัยกดดัน นสพ. ต่างรายงานว่าศาลปกครองกลางให้ยกคำร้องที่ 30 โครงการขอให้ดำเนินการต่อไปได้ (ดูข่าวที่ 1 ด้านล่าง) คาดว่าจิตวิทยาในกลุ่ม PTT และ SCC จะเป็นลบ เนื่องจากมีแรงกระแทกจากปัจจัยภายนอกอยู่แล้วในฐานะหุ้นใหญ่ และราคาน้ำมันก็ปรับลง 2% สู่จุดต่ำสุดรอบ 2 เดือน ด้านปัจจัยการเมืองมองการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเด่น และเด่นกว่าเรื่องเสื้อแดงด้วยหลังเสื้อแดงตกลงไม่ไปชุมนุมที่สนามบินแล้ว โดยล่าสุดพรรคประชาธิปัตย์มีท่าทีอ่อนลงและอาจยอมแก้รัฐธรรมนูญ 2 มาตราตามที่พรรคร่วมฯ เสนอ ได้แก่มาตรการ 94 เรื่องเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และมาตรการ 190 เรื่องการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ โดยเรื่องนี้เป็นดาบ 2 คม เนื่องจากแม้ความสัมพันธ์ในรัฐบาลจะดีขึ้น แต่กลุ่มพันธมิตรฯ อาจออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง กลยุทธ์: ให้เล่นเฉพาะแบบรายวัน โดยเข้าซื้อเก็งกำไรหุ้นใหญที่ไม่โดนเรื่องมาบตาพุด (PTTAR, IRPC, BANPU, KBANK, KTB) ตามแนวรับของดัชนีฯ ที่ 705 และถัดไปที่ 700 จุด เพื่อขายออกช่วงเด้ง ส่วนระยะสัปดาห์คงมุมมองเชิงลบ ถ้าจะซื้อหุ้นให้เลี่ยงหุ้นใหญ่และแนะซื้อหุ้นเสี่ยงต่ำเช่น ADVANC, CPF, MAKRO, AOT และ BGH เป็นต้นความเห็นข่าวเด่นจากสถาบันวิจัยฯ ศาลปกครองกลางสั่งยกคำร้อง 30 โครงการมาบตาพุต ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลปกครองกลางที่สั่งระงับการดำเนินงานโครงการ 65 โครงการ โดยศาลชี้ผู้ร้องไม่อยู่ภายใต้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก่อนศาลปกครองกลางพิพากษา เมื่อ 29 ก.ย. 52 และคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเมื่อ 2 ธ.ค. 52 ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทที่ได้รับผลกระทบหลักๆ ได้แก่ กลุ่ม PTT และ SCC ซึ่งน่าจะได้รับจิตวิทยาเชิงลบในวันนี้ ทั้งนี้ แนวทางในการดำเนินการถัดไป คือ กลุ่มบริษัทดังกล่าวอาจยี่นขอผ่อนผันจากศาลปกครองสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง หรือ รอการทำ HIA และประชาพิจารณ์ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญในระยะถัดไป บริษัทผู้นำเข้าเนื้อไก่ในรัสเซียเริ่มต้นหาซื้อเนื้อไก่จากประเทศอื่นๆ เช่น ไทย หลังจากที่การเจรจาระหว่างรัสเซียกับผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐหยุดชะงักลง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยที่รัสเซียไม่มีภาระผูกพันในการเปิดตลาดเพื่อรับซื้อเนื้อไก่จากสหรัฐอีกครั้งรัสเซียเป็นประเทศที่ซื้อเนื้อสัตว์ปีกจากสหรัฐมากที่สุด โดยมีมูลค่าราว 800 ล้านดอลลาร์ในปี 2008 แต่รัสเซียได้ห้ามการนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกจากสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากมีความกังวลเรื่องการใช้สารคลอรีนในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในเนื้อสัตว์ ซึ่งอาจส่งผลให้อาหารเป็นพิษ ถ้าผลสรุปของการเจรจาออกมาไม่เป็นไปในทางบวก จะทำให้เกิดผลดีต่อผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ของไทย เช่น CPF เพราะเนื่องจากมีฐานการผลิตในไทยแล้ว CPF ยังมีฐานการผลิตใน ตรุกี และรัสเซียอีกด้วย ยังคงคำแนะนำซื้อด้วยราคาเป้าหมายที่ 14.0 บาท               

เปิดอ่าน11,882
บอร์ด GJS มีมติเสนอขายวอร์แรนต์ 5 พันล้าน

บอร์ด GJS มีมติเสนอขายวอร์แรนต์ 5 พันล้าน

นายชนาธิป ไตรวุฒิ  กรรมการ บริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) (GJS) เปิดเผยว่า ด้วยบริษัท ขอแจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2553 ซึ่งมีมติกำหนดรายละเอียดของการเสนอขายใบสำคัญแสดงสิ ทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท( ใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 2 ) โดยมีรายละเอียดดังนี้ ผู้เสนอขายหลักทรัพย์             บริษัท จี เจ สตีล จำกัด (มหาชน) ( บริษัท  หรือ  GJS ) ประเภท                      ใบสําคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท จี เจ สตี ล จํากัด(มหาชน) ครั้งที่ 2 ( ใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 2  หรือ  GJS-W2 ) ชนิด                          ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทชนิดระบุชื่อผู้ถือและโอนเปลี่ยนมือได้ อายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ          7 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกและเสนอขาย จำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออก       5,000,000,000 หน่วย และเสนอขาย ราคาเสนอขายต่อหน่วย            หน่วยละ 0.03 บาท (สามสตางค์) กำหนดเวลารับจองซื้อ            ระหว่างวันที่ 3 - 5 มีนาคม 2553 และวันที่ 8 - 9 มีนาคม 2553 (รวม 5 วันทำการ) วิธีการเสนอขาย                เป็นการจัดสรรและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทในอัตราส่วน 7.9405 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (ในกรณีที่มีเศษให้ปัด เศษทิ้ง) (จองซื้อเกินสิทธิได้) โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการจองซื้อ GJS-W2 (Record Date) ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 และให้ รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553 จำนวนหุ้นสามัญที่สำรองเพื่อการใช้   15,000,000,000 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 0.69 บาท) คิดเป็นร้อยละ สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ          37.78 ของจํานวนหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจํานวน 39,702,426,540 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 0.69 บาท) อัตราการใช้สิทธิ                 ใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 3 หุ้น (อาจเปลี่ยนแปลงในภายหลังตามเงื่อนไขการปรับสิทธิ) ราคาใช้สิทธิ                     ราคาการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิจะเท่ากับ 0.25 บาทต่อหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 0.69 บาท) ซึ่งราคาใช้สิทธิเป็นราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ (อาจเปลี่ยนแปลงในภายหลังตามเงื่อนไขการปรับสิทธิ)  ทั้งนี้ หากมีการใช้สิทธิทั้งจำนวน จะทำให้บริษัทมีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นจำนวน 6,600 ล้านบาท วันที่ออกและเสนอขายใบสำคัญ        วันที่ 15 มีนาคม 2553 แสดงสิทธิ ระยะเวลาการใช้สิทธิ              ผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิสามารถใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิได้ในวันทำการสุดท้ายของเดือนมิถุนายน และธันวาคมของแต่ละปี ตลอดอายุของใบสำคัญแสดงสิทธิ ทั้งนี้ วันใช้สิทธิครั้งแรกจะตรงกับวันที่ 30  ธันวาคม 2553 และวันใช้สิทธิวันสุดท้ายจะตรงกับวันที่ใบสำคัญแสดง สิทธิมีอายุครบ 7 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคม 2560 ทั้งนี้ ในกรณีที่วันใช้สิทธิครั้งสุดท้ายตรงกับวันหยุดทำการของบริษัท ให้เลื่อนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้ายดังกล่าวเป็นวันทําการสุดท้ายก่อนหน้าวันใช้สิทธิครั้งสุดท้ายดังกล่าว โดยระยะเวลาแสดงความจำนงในการใช้สิทธิครั้งสุดท้ายจะต้องไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันใช้สิทธิดังกล่าว วันสิ้นสุดอายุของใบสำคัญแสดง        วันที่ 14 มีนาคม 2560 สิทธิ ตลาดรองของใบสำคัญแสดงสิทธิ       บริษัทจะนําใบสําคัญแสดงสิทธิไปจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดรองของหุ้นสามัญที่เกิดจาก       บริษัทจะนำหุ้นสามัญที่เกิดจากการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่ การใช้สิทธิ                      ออกและเสนอขายในครั้งนี้ เข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายทะเบียนใบสำคัญแสดงสิทธิ        บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด สถานที่รับจองซื้อ GJS-W2 และรับ     บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ชำระค่าจองซื้อ GJS-W2            ฝ่ายทะเบียนหลักทรัพย์  เลขที่ 132 อาคารสินธร ทาวเวอร์ 1 ชั้น 2 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 โทรศัพท์ (66) 0-2205-7000 ต่อ 2301 และ 2206

เปิดอ่าน165
บล.ทิสโก้ : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.ทิสโก้ : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.ทิสโก้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/01/53สรุปภาวะตลาดวันก่อน SET ปิด -4.89 จุด หรือ -0.68%  มาที่ 714.10 ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ 22,267.03 ล้านบาท  ดัชนีกลุ่มพลังงาน -1.30%, แบงก์ -0.80%, ขนส่ง -0.09%, อสังหาริมทรัพย์ -0.95%, เทคโนโลยี +0.98% และธุรกิจการเกษตร -1.49% หุ้นไทยปรับลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ และจากความวิตกเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตามในภาคบ่ายหุ้นไทยฟื้นตัวดีขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ  ทิศทางตลาดวันนี้ แนวโน้มสัปดาห์นี้  ; ลงสู่แนวรับ  690  จุดแล้วดีดกลับแนวต้าน  726  จุด “ ปัจจัยบวกจากภาวะ Over Sold  หลังจาก  SET  ลงแรง  48  จุด  ( จาก 753 – 705 จุด )  - การประกาศผลประกอบการกลุ่ม  Real Sector  ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ธ.ค. 52 ฟื้นตัวชัดเจน – อัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับต่ำแต่เงินเฟ้อกำลังเพิ่มขึ้น แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกลงต่อ  คาด  SET  จะลงแต่ดีดกลับจากแนวรับ  690  จุด แล้วดีดกลับแนวต้าน  726  จุดสัปดาห์หน้า แนวโน้มวันนี้   คาด  SET  เปิดลงต่อทดสอบแนวรับ  700, 695  จุด หากดีดกลับจะมีแนวต้าน  718 , 722  จุด  ภาพรวมจะเป็นการแกว่งลงอีก  2-3  วันสู่แนวรับ  690  จุด แล้วดีดกลับกลางสัปดาห์ขึ้นทดสอบแนวต้าน  726  จุดในสัปดาห์หน้า กลยุทธ์การลงทุน ; 1. Port ลงทุน ขึ้นทยอยขายลด  Port  - รอซื้อสะสมกลางเดือน ก.พ. 53  ที่  670 จุด“ 2. Port เล่นสั้น ลงทยอยซื้อ  700 , 695 , 690  จุด – รอดีดกลับปลายสัปดาห์ 3. หุ้นเก็งกำไร อาทิ  ;  ADVANC ,  DTAC , PTTAR  , BBL , KBANK ,  KTB , ITD , CK , STEC ,  AP ,  LH               

เปิดอ่าน28
บล.บีฟิท : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.บีฟิท : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.บีฟิท : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/01/53Market Attitudeยังปกคลุมด้วยปัจจัยลบ ตลาดหุ้นไทยยังหนีไม่พ้นปัจจัยลบที่ครอบงำ ตลาดต่างประเทศยังปรับลงต่อเนื่อง ผลจากหุ้นสหรัฐที่รับปัจจัยลบจากที่ประธานาธิบดีโอบามา เสนอให้มีการออกกฎที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในการจำกัดการลงทุนแบบเสี่ยงสูงของสถาบันการเงิน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกฎระเบียบทางการเงินในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นกันต่อเพราะกลัวผลกระทบต่อกำไร นอกจากนี้ ตลาดยังขาดความเชื่อมั่น ต่อการดำรงตำแหน่งของประธานเฟด ในสมัยที่สองด้วย ซึ่งการรับรองมีการเลื่อนออกไปด้วย สำหรับปัจจัยในบ้านเรา ประเด็นมาบตาพุดย้อนกลกับมาเป็นลบอีก หลังจากที่ศาลปกครองมีคำสั่งยกคำร้องกรณีผู้ประกอบการเจ้าของโครงการที่ขอถอดถอนจากการถูกระงับชั่วคราว ทั้งนี้รวมโครงการใหญ่อย่างโรงแยกก๊าซ 6 ของ PTT ด้วย และอีกหลายโครงการของ PTTCH อย่างไรก็ตามมองว่ากลุ่มผู้ประกอบการน่าจะใช้ช่องทางอื่น ผ่านทางหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง ว่าถ้าโครงการที่ได้ EIA ก่อนรัฐธรรมนูญปี 50 จะใช้ จะเดินหน้าโครงการต่อได้หรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่า จะมีการกล้าตัดสินใจกันหรือไม่ เพราะไปขอความชัดเจน ผ่านศาล ผลก็เป็นอย่างที่เห็น ฉะนั้นเรามองในปัจจัยลบดังกล่าวก็ยังน่าจะพอมีโอกาส แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คงเป็นอีกวันที่รับปัจจัยลบเข้ามาทั้งจากภายนอกและภายใน เรายังน่าจะโดนแรงขายออกมาจากนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ ตลาดยังไม่มีสัญญาณบวก เรายังคงแนะนำให้ถือเงินสด กลยุทธ์การลงทุน -    ระยะกลาง : ถือเงินสด -    ระยะสั้น : ยังไม่ลุ้น รอลงไปดูที่ 700 จุด +/-Market Viewpoint ตลาดหุ้นสหรัฐ – ดาวโจนส์ -216.90 จุด -2.09% ปิดที่ 10,172.98 นักลงทุนวิตกว่าแผนของทำเนียบขาวในการคุมเข้มความเสี่ยงในการทำธุรกรรมของภาคธนาคารจะส่งผลกระทบต่อผลกำไร ขณะที่การเปิดเผยผลประกอบลการที่น่าผิดหวังของบริษัทกูเกิล อิงค์ ก็เป็นปัจจัยลบต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ความไม่แน่นอนในการรับรองการดำรงตำแหน่งประธานเฟดเป็นสมัยที่ 2 ก็ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย น้ำมันดิบ – NYMEX -1.54 เหรียญ -2.02% ปิดที่ 74.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลงตามตลาดหุ้น และยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในจีนและสหรัฐ เศรษฐกิจไทย - ธปท. คงคาดการณ์จีดีพีของไทยปี 53 เติบโตราว 3.3-5.3% พร้อมระบุว่า / นายกฯมั่นใจเศรษฐกิจปี 53 โต 3.5%, วางเป้าปี 60 ไทยเป็นรัฐสวัสดิการ ธนาคาร - ธปท.เชื่อฐานะแบงก์ไม่กระทบ หลัง DSI จะตรวจแบงก์พาณิชย์ปล่อยกู้บริษัทค้าข้าว มาบตาพุด - ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งยกคำร้องกรณีเอกชนเจ้าของโครงการ 30 โครงการในมาบตาพุดยื่นขอถอดจากการถูกระงับโครงการชั่วคราว ตลท. -  เตรียมปรับระบบตรวจสอบการซื้อขายใหม่หลังพบพฤติกรรมของนักเก็งกำไรเปลี่ยนไป โดยใช้เวลาเก็งกำไรสั้นลง จากมีต้นทุนค่าคอมมิชชั่นลดลง AOT - คาดว่ารายได้และกำไรสุทธิในไตรมาส 1/53 (ต.ค.-ธ.ค.52) จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งจะผลักดันให้กำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีที่แล้วด้วย AMATA - คาดปีนี้จะมียอดขายที่ดินสูงกว่า 250 ไร่ในปี 52 โดยเฉพาะใน Q1/53 จะรักษายอดขายที่ดินให้ใกล้เคียงกับ Q4/52 ที่ทำได้ 170 ไร่ KSL - จะเพิ่มทุนใหม่ 320 ล้านหุ้น เสนอขายนักลงทุนทั่วไป และรองรับวอร์แรนท์

เปิดอ่าน24
บล.ไอร่า : กลยุทธ์ลงทุนทางเทคนิค 25/01/53

บล.ไอร่า : กลยุทธ์ลงทุนทางเทคนิค 25/01/53

บล.ไอร่า : กลยุทธ์ลงทุนทางเทคนิค 25/01/53KICK OFF THE WEEKกลยุทธ์ลงทุนทางเทคนิคMARKET SUMMARY & TECHNICAL STRATEGIESทดสอบ 711 จุด NECK LINE HEAD&SHOULDER TOPACTION  PLAN • เพื่อนนักลงทุนไอร่า ที่เข้าสัมมนา QIQP TECHNICAL PART I เมื่อวันเสาร์  ทบทวนรูปแบบ HEAD&SHOULDER TOP • ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน กดดันในทิศทางเดียวกัน  ดัชนีเข้าสู่คลื่นปรับฐาน  C  ลงทดสอบ NECK LINE บริเวณ 711 จุด ของรูปแบบ HEAD&SHOULDER TOP ที่ผนวกเข้ากับรูปแบบ ELLIOTT WAVE  ถือเป็น REVERSAL PATTERN ที่สมบูรณ์รูปแบบหนึ่ง  กลยุทธ์ กำหนดจุด STOP LOSS และขายเมื่อรีบาวน์    • ระดับการปรับตัวตามรูปแบบ HEAD&SHOULDER TOP  TYPE I และ FIBONACCI  586 จุด 570-525 จุด  และ TYPE II  เรายังมองที่ระดับไม่ลึกมาก 667- 586 จุด  เราให้น้ำหนัก TYPE I อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องติดตามคือ การเกิดขึ้นของคลื่นต่อขยายหลังจบคลื่น C ? ซึ่งจะขึ้นกับความยืดเยื้อของแรงกดดันจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก • STOCK VIEW  คาดการณ์ระดับการปรับตัวตาม HEAD&SHOULDER TOP และ FIBONACCI  SETBANK(234-213), SETENERG(12897-11853) , SCB(66-60), KBANK(71-65), BBL(96-87), PTT(188-160), LH(4.8-4), TTA(20-18)   • ทิศทางดัชนีสัปดาห์ที่แล้ว  แรงกดดันต่อเนื่องจากมาตรการลดความร้อนแรงของจีน  สมาคมต่อต้านโลกร้อน ปัจจัยการเมืองในประเทศ และมาตรการคุมเข้มภาคการเงินล่าสุดจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา  กดดัชนีลงต่อเนื่อง และจากสัญญาณเทคนิค OBV และ YIELD OF SMA SPREAD ที่เตือนมาก่อนหน้า โดยถือว่าดัชนีได้จบคลื่น b ลงที่บริเวณ 753 จุด  ถือว่าทำได้ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิมบริเวณ 758 จุด  พร้อมกับการซื้อขายสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ที่หลุดแนวรับสำคัญลงมาจะส่งผลต่อการขายสะสมสุทธิต่อเนื่องจากนี้ไป • ทิศทางดัชนีสัปดาห์นี้  การที่ดัชนีจบคลื่น b ลงที่บริเวณ 753 จุด  ถือว่าใกล้เคียงกับจุดสูงสุดเดิมบริเวณ 758 จุด  ทำให้เราต้องคาดการณ์การปรับตัวลงในคลื่น C  ในสองรูปแบบตาม  HEAD&SHOULDER TOP REVERSAL PATTERN ที่ผนวกเข้ากับรูปแบบ ELLIOTT WAVE  โดยรูปแบบที่หนึ่ง  TYPE I และ FIBONACCI  จะมีระดับการปรับลงที่ 586 จุด 570-525 จุด  และไม่อาจละเลยรูปแบบที่สอง  TYPE II& FIBONACCI   เรายังมองที่ระดับการปรับลงไม่ลึกมาก 667- 586 จุด  อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องติดตามคือ การเกิดขึ้นของคลื่นต่อขยายหลังจบคลื่น C ? ซึ่งจะขึ้นกับความยืดเยื้อของแรงกดดันจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก • กลยุทธ์ลงทุน   กำหนดจุด STOP LOSS และขายเมื่อรีบาวน์  รอสัญญาณบ่งชี้การกลับตัวในคลื่นต่อขยายหรือการเริ่มต้นคลื่นที่สาม  หากเป็นคลื่นต่อขยายยังเน้นเก็งกำไรเล่นรอบอยู่  การทะยอยเข้าลงทุนต้องรอยืนยันจากสัญญาณหลายๆ ตัว ทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน  ติดตามประเด็นความร้อนแรงของจีนและประเด็น DOUBLE DIP ของสหรัฐฯ  จะส่งผลต่อการปรับฐานในคลื่นต่อขยาย    •  GOLD SPOT & $US INDEX   ราคาทองคำปรับลงทดสอบใกล้บริเวณ 1075 อีกครั้ง สอดคล้องกับทิศทาง $US INDEX  ที่เราคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นทดสอบบริเวณระดับ 80 จุด  ซึ่งถือเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งจากรูปที่เคยเป็นระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญในอดีต และเราคาดว่าจะเป็นระดับที่มีโอกาสสูงปรับฐานอ่อนค่าลงมาอีกครั้งตามกรอบ UPTREND CHANNEL  ถือเป็นระดับที่มีนัยสำคัญต่อแนวโน้มระยะกลางยาวถัดจากนี้ไป  

เปิดอ่าน20
บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะหุ้น 25/01/53

บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/01/53 Market Recap and Trend: ทั้งปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ จะส่งผลลบต่อ SET ต่อเนื่องวันนี้ โดยมีแนวรับที่ 706 จุด SET ปรับลดลงทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 706 จุด (ต่ำกว่าแนวรับที่เราให้ไว้บริเวณ 710 จุด) ในช่วงระหว่างวัน แต่สามารถปิดตลาดที่ 714.10 จุด ด้วยแรงซื้อที่มีกลับเข้ามาในช่วงบ่าย หรือปรับลดลง 0.69% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 22,265 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิต่อเนื่อง 1,218 ล้านบาท การปรับลดลงของตลาดหุ้น Dow Jones และการยกคำร้องศาลฯกรณี 30 โครงการมาบตาพุดจะเป็นปัจจัยกดดัน SET ต่อเนื่องวันนี้ โดยมีแนวรับที่จุดต่ำสุดเดิมเมื่อวันศุกร์ที่ 706 จุด ทั้งนี้ตลาดหุ้น Dow Jones ปรับลดลงกว่า 2% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จากความกังวลต่อแผนควบคุมความเสี่ยงในการทำธุรกรรมสถาบันการเงิน และผลการดำเนินงานบริษัท Google ที่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่ถ้าพิจารณาในเชิงพื้นฐาน เศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในแนวโน้มที่ดีล่าสุด ธปท.คาดเศรษฐกิจปี 2553 จะขยายตัว 3.3-5.3% เท่ากับประมาณการเดิม ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวมาอยู่ที่ 3-5% ในปีนี้จาก -0.9% ในปีก่อน สำหรับการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 18.5-21.5% และการนำเข้าจะเริ่มตัวขึ้น 31.5-34.5% จากปีก่อนInvestment Strategy: ยังไม่เห็นโอกาสในการเพิ่มพอร์ตในช่วงนี้ แม้ SET จะ Rebound บ้างหลังจากปรับลดลงทดสอบแนวรับบริเวณ 710 จุด ตามที่เราคาดการณ์ไว้เมื่อวันศุกร์ แต่ก็เป็นเพียงจังหวะในการเข้า Trading ระยะสั้นๆ เท่านั้น ทั้งนี้เราแนะนำนักลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 60% ของพอร์ตต่อเนื่อง โดยเรามองว่า Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ “เสียหาย” จากความกังวลต่อมาตรการลดความร้อนแรงเศรษฐกิจของธนาคารกลางจีน และแผนการจำกัดการทำธุรกรรมของสถาบันการเงินของประธานาธิบดี รวมไปถึงปัจจัยการเมืองภายในประเทศ และปัญหาการลงทุนในเขตพื้นที่มาบตาพุด 64 โครงการที่ยังไม่มีความคืบหน้า จะเป็นปัจจัยกดดัน SET ต่อเนื่อง ทั้งนี้กลุ่มหุ้นที่เราคาดว่าจะมีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าตลาดโดยรวมได้แก่กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดีอย่างKK, DCC, TICON, BCP, ADVANC, TNH, NOBLE, HEMRAJTop Picks PTT PTTEP BANPU TOP PTTAR BBL KBANK SCB KTB TISCO DCC SCC LH QH AP PS SPALI KSL TUF CPALL AOT STANLY SAT TTA MINTFutures Strategy : แนะนำถือสถานะ Short ต่อเนื่อง โดยเลื่อนจุด Trailing Stop ลงมาที่ 500 จุด AUTO : หุ้นส่วนใหญ่ยังมี Sentiment ค่อนข้างอ่อนแอตลาดต่างประเทศ และประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นในตลาดโลก • ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลง ดัชนีเฉลี่ยดาวโจนส์ปิดลดลง 2.09% เช่นเดียวกับ S&P500 ปิดลดลง 2.21% โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง อาทิ เจพีมอร์แกนลดลง 3.4%, โกลด์แมน แซคส์ลดลง 4.2% จากความวิตกต่อแผนของทำเนียบขาวในการคุมเข้มความเสี่ยงในการทำธุรกรรมของภาคธนาคารที่จะส่งผลกระทบต่อผลกำ ไร นอกจากนี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง หลังบริษัทกูเกิล อิงค์ เผยผลประกอบการรายไตรมาสต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ และส่งผลให้หุ้นกูเกิลลดลง 5.7% นอกจากนี้ ตลาดได้ทรุดตัวลงแตะระดับต่ำสุดของวัน ภายในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายจากข่าวที่ว่าอังกฤษได้เพิ่มระดับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายสู่ระดับสูงสุดอันดับ 2 • ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดลดลง ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. ปิดลดลง 1.54 ดอลลาร์ หรือ 2.02% มาที่ 74.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากข้อเสนอของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อลดการซื้อขายแบบ proprietary tradingทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่ว่าธนาคารและกองทุนจะทบทวนการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรป และความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันในจีนและสหรัฐ • ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเยน และยูโร ขณะที่นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง จากความกังวลเกี่ยวกับข้อเสนอของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในการคุมเข้มความเสี่ยงจากการทำธุรกรรมของธนาคารสหรัฐ ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าวนับเป็นปัจจัยล่าสุดที่กระทบต่อตลาดซึ่งมีความเปราะบางอยู่แล้วจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของบางประเทศในเขตยูโรโซน และจากการคาดการณ์ที่ว่าจีนจะเพิ่มมาตรการในการดูดสภาพคล่องออกจากระบบเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ • ดัชนีค่าระวางเรือเทกองปิดเพิ่มขึ้น 34 จุดมาที่ 3204 จุด รายงานภาคการผลิตที่ดีขึ้นโดยเฉพาะสหรัฐสร้างความเชื่อมั่นในการสต๊อกวัตถุดิบของผู้ผลิตทั่วโลกช่วยผลักดันค่าระวางเรือให้มีทิศทางขาขึ้นในช่วงนี้               

เปิดอ่าน9
สรรพสามิตเล็งชงครม.เว้นภาษีแบตเตอร์รี่

สรรพสามิตเล็งชงครม.เว้นภาษีแบตเตอร์รี่

นายอารีพงศ์  ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) วันอังคารนี้ (26 ม.ค. 53) เพื่อพิจารณายกเว้นการจัดเก็บภาษีแบตเตอร์รี่ที่ใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้า จากปัจจุบันที่จัดเก็บประมาณ 10% รวมทั้งยกเว้นการจัดเก็บภาษีเครื่องประดับคริสตัล ที่ปัจจุบันมีการจัดเก็บอยู่ที่ 15% ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบอุตสาหกรรม และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม รวมถึงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ดี คาดว่าการยกเว้นดังกล่าวจะทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียการจัดเก็บรายได้ประมาณเพียงประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งนี้ ด้านแนวทางในการควบคุมการลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษีนั้น นายอารีพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการเพิ่มทีมจากส่วนกลางเข้าไปยังบริเวณด่านที่ต้องสงสัย ประกอบกับต้องประเมินแผนเส้นทางการลำเลียงนำเข้าของหนีภาษี ซึ่งต้องประสานความร่วมมือไปยังกองปราบปรามอีกครั้งหนึ่ง               

เปิดอ่าน49
ค่าบาทเช้านี้เปิดที่33.02-33.03 บาท/ดอลล์

ค่าบาทเช้านี้เปิดที่33.02-33.03 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจาก ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 33.02-33.03  บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันคาดการณ์ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.95-33.10  บาทต่อดอลลาร์  ทั้งนี้ให้ติดตามการเคลื่อนไหวค่าเงินสกุลยูโรเป็นหลักเนื่องจากมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท

เปิดอ่าน10
สรรพสามิต โชว์ ยอดรีดภาษีQ1/53ทะลุเป้าแสนล.

สรรพสามิต โชว์ ยอดรีดภาษีQ1/53ทะลุเป้าแสนล.

นายอารีพงศ์  ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า  ผลการจัดเก็บรายได้ไตรมาสแรก (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2552) พบว่า กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บได้รวม 100,845.78 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จัดเก็บได้ 57,274.09 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 76.08% และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณที่ 39.77% ซึ่งที่ประมาณการตั้งไว้ 72,150.74 ล้านบาท โดยการจัดเก็บที่ได้สูงกว่าเป้าหมายนั้นเป็นผลจากการปรับเพิ่มภาษีน้ำมัน เบียร์ สุรา และยาสูบ รวมทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคของประชาชนและการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น สำหรับภาษีสินค้าที่สรรพสามิตจัดเก็บได้สูงสุด 5 อันดับแรกได้แก่ ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยจัดเก็บได้ 37,634.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 5,247.75 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 32,386.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 617.15% ภาษีรถยนต์ จัดเก็บได้ 18,874.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 14,888.30 ล้านบาท  ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 3,986.23 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26.77% ภาษีเบียร์ จัดเก็บได้ 16,387.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 13.408.99 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 2,978.25 หรือคิดเป็น 22.21% ภาษียาสูบ จัดเก็บได้ 12,4679 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 10,066.08 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 2,403.35 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23.88%  และภาษีสุรา จัดเก็บได้ 10.230.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เก็บได้ 8,714.80 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 1,515.89 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.39% ขณะที่ ในปีงบประมาณ 2553 (เดือนตุลาคม2552-กันยายน 2553) คาดว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีสรรพสามิตได้ราว 360,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ 291,000 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงสิ้นเดือนมกราคม คาดว่ากรมสรรพสามิตจะจัดเก็บรายได้เกินเป้าจากปีแล้วประมาณ 60,000 ล้านบาท ตามการปรับเพิ่มภาษีน้ำมัน เบียร์ สุรา และยาสูบ               

เปิดอ่าน17