ข่าวทั้งหมด

ครม. ไฟเขียว ลดหย่อนภาษีธพ.ควบกิจการ

ครม. ไฟเขียว ลดหย่อนภาษีธพ.ควบกิจการ

นายสาธิต รังคสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้มีมติเห็นชอบมาตรการลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการของสถาบันการเงิน ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 (53-57) โดยมาตรการดังกล่าวสำหรับการควบรวมของสถาบันการเงินที่กระทำในปี 2553-2554 โดยแบ่งเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรสแตมป์ให้กับสถาบันการเงินประเมินที่ได้รับรายรับหรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน รวมทั้งยังยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรสแตมป์ให้กับสถาบันการเงิน สำหรับมูลค่าฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้น หรือเนื่องจากการที่ธนาคารมีการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน นอกจากนี้ยังยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงินสำหรับประโยชน์ที่ได้จากการที่สถาบันการเงินควบหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าทุน นอกจากนี้ ยังลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และอาคารชุด เหลือ 0.01% สำหรับสถาบันการเงินที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมด หรือบางส่วนให้แก่กัน 'มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการช่วยบรรเทาปัญหาและอุปสรรคจากการควบรวมสถาบันการเงิน โดยผลของการควบรวมกิจการจะมีส่วนเสริมสร้างประสิทธิภาพธนาคารให้สามารถแข่งขันได้ตามการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางการเงินภายในประเทศและต่างประเทศ  และช่วยให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี' นายสาธิต กล่าว

สาธารณสุขเปิดสายด่วน1323ฟื้นฟูจิตใจ

สาธารณสุขเปิดสายด่วน1323ฟื้นฟูจิตใจ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เตรียมเปิดศูนย์ฟื้นฟูสภาพจิตใจอย่างเป็นทางการ ที่ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์ สายด่วน 1323 อย่างเป็นทางการ เวลา 13.00 น. วันพรุ่งนี้ (25 พ.ค.) โดยในพื้นที่ กทม. มีทั้งหมด 23 – 30 ชุมนุม ใน 7 เขต และอีก 23 จังหวัด ที่มีการชุมนุม ทั้งนี้ยอดผู้ได้รับบาดเจ็บ ทั้งแต่ 12 มี.ค.- 19 พ.ค. มีผู้เสียชีวิต 88 คน บาดเจ็บรวม 1,885 คน ในจำนวนนี้ ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 217 คน โดย 17 คน ต้องพักรักษาตัวใน ICU

คลังน้ำมันที่สงขลาเจอประท้วงปิดต่อ

คลังน้ำมันที่สงขลาเจอประท้วงปิดต่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รถบรรทุกน้ำมันของผู้ประกอบการในหลายจังหวัดภาคใต้ ยังคงจอดปิดทางเข้า-ออกคลังน้ำมันร่วม คาลเท็กซ์ เอสโซ่ เชลล์ จ.สงขลา ริมถนนสายระโนด-สงขลา อ.สิงหนคร จ.สงขลา ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง เรียกร้องให้ยืดระยะเวลาในการบังคับใช้กฎกระทรวงในการติดตั้งระบบควบคุมไอ น้ำมันเชื้อเพลิง(VRU) ในพื้นที่ 7 จังหวัดที่มีคลังน้ำมันตั้งอยู่ออกไปก่อน ส่งผลให้ขณะนี้ปั๊มน้ำมันหลายแห่งในส่วนของคาลเท็กซ์ เอสโซ่ และเชลล์ขาดแคลนน้ำมัน บางรายปิดให้บริการในวันนี้ที่มา สำนักข่าวไทย

กรุงไทยให้บริการชำระเงินด้วยสกุลเงินหยวน

กรุงไทยให้บริการชำระเงินด้วยสกุลเงินหยวน

ธนาคารกรุงไทยร่วมกับธนาคารพันธมิตรจีนเปิดให้บริการธุรกรรมด้านการค้าต่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน โดยบริษัทผู้นำเข้าและส่งออกกับประเทศจีน สามารถทำธุรกรรมสกุลเงินหยวนผ่านช่องทางการชำระเงินต่างๆของธนาคาร นางกิตติยา โตธนะเกษม รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารการเงิน บมจ. ธนาคารกรุงไทย (KTB)เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อนุญาตให้ใช้สกุลเงิน หยวน ในการชำระเงินด้านการค้าต่างประเทศกับบริษัทจีนภายในเขตพื้นที่ที่รัฐบาลจีนกำหนดนั้น ธนาคารกรุงไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาธุรกิจระหว่างไทยและจีน ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตสูง รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการไทย จึงได้ร่วมมือกับธนาคารพันธมิตรจีนเปิดให้บริการธุรกรรมด้านการค้าต่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน “บริษัทผู้นำเข้าและส่งออกกับประเทศจีน สามารถทำธุรกรรมสกุลเงินหยวนผ่านช่องทางการชำระเงินต่างๆ ได้แก่  เลตเตอร์ออฟเครดิต  ตั๋วเรียกเก็บ และโอนเงินภายใต้การค้าระหว่างประเทศผ่านธนาคาร ซึ่งการให้บริการชำระเงินด้านการค้าต่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวนเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ประกอบการที่จะทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินท้องถิ่นของจีน นอกจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาที่ใช้เป็นสกุลหลัก” นางกิตติยา โตธนะเกษม กล่าวต่อไปว่า การใช้สกุลเงินหยวนในธุรกรรมการค้าต่างประเทศ จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการชำระเงิน  และลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งเป็นการรองรับการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจจีนในฐานะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจนำเข้า ส่งออกกับบริษัทคู่ค้าในจีนที่สนใจดำเนินธุรกรรมด้วยสกุลเงินหยวน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายการค้าต่างประเทศ โทร. 0-2208-3777

BBLปรับเงื่อนไขชำระหนี้ช่วยผู้ค้ารับพิษม๊อบแดง

BBLปรับเงื่อนไขชำระหนี้ช่วยผู้ค้ารับพิษม๊อบแดง

ธนาคารกรุงเทพ เตรียมปรับเงื่อนไขชำระหนี้ และเพิ่มสินเชื่อสภาพคล่อง ช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง โดยจะพิจารณาตามความเหมาะสม เพื่อทางออกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าในแต่ละราย นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)(BBL) กล่าวว่า ธนาคารเตรียมแนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองไว้ 2 แนวทางหลัก ทั้งการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ และการสนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าสามารถประคับประคองธุรกิจไปได้ โดยการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ อาจเป็นการพิจารณาปรับลดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ระยะหนึ่ง เพื่อลดภาระทางการเงินของลูกค้า หรือขยายระยะเวลาผ่อนชำระ เพื่อให้ยอดเงินที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละงวดลดลง ซึ่งการให้ความช่วยเหลือจะพิจารณาตามความเหมาะสมเพื่อเป็นทางออกที่ดีที่สุดของลูกค้าแต่ละราย นายวีระศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ลูกค้าผู้ประกอบการที่มีความประสงค์ใช้บริการ ธนาคารได้เตรียมผู้จัดการธุรกิจสัมพันธ์ที่ดูแลลูกค้าแต่ละรายอยู่ในปัจจุบันเป็นผู้ดำเนินการประสานงานและให้บริการ หรือหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ประสานงานช่วยเหลือธุรกิจ หมายเลข 0-2353-5825 และ 0-2636-4095   

น้ำมันรั่วอีกแล้วที่นอกชายฝั่งสิงคโปร์

น้ำมันรั่วอีกแล้วที่นอกชายฝั่งสิงคโปร์

ผุ้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวเอพี ระบุว่า ทางการสิงคโปร์เปิดเผยวันนี้ว่า เกิดเหตุเรือบรรทุกน้ำมันชนกันห่างจากชายฝั่งของสิงคโปร์ประมาณ 13 กิโลเมตร (8 ไมล์) เป็นผลให้มีน้ำมันดิบรั่วไหลออกมาเกือบ 15,000 บาร์เรล โดยเรือบรรทุกน้ำมันเอ็มทีบังกาเคลานา 3 ของมาเลเซียได้ชนกับเรือบรรทุกน้ำมันเอ็มวีวายลีของเซนต์วินเซนต์แอนด์เกรนาดีนส์ เป็นเหตุให้ถังบรรจุน้ำมันดิบของเรือบรรทุกน้ำมันเอ็มทีบังกาเคลานา 3 รั่ว และมีน้ำมันรั่วไหลออกมา ทั้งนี้ ทางการสิงคโปร์ระบุว่า กัปตันของเรือบรรทุกน้ำมันเอ็มทีบังกาเคลานา 3กล่าวว่า จากอุบัติเหตุดังกล่าวอาจมีน้ำมันดิบประมาณ 2,000ตันหรือ 14,660 บาร์เรลรั่วไหลลงสู่ทะเล ซึ่งลูกเรือได้พยายามอุดรูรั่วดังกล่าวและขจัดคราบน้ำมันแล้ว

MILLยัน ลุ้นปีนี้รายได้โต 10%

MILLยัน ลุ้นปีนี้รายได้โต 10%

'สิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล' เผยปัจจุบัน MILL มี Backlog Order ในมือแล้ว 80,000 ตัน ผนวกกับราคาเหล็กเริ่มขยับเป็นขาขึ้น อีกทั้งสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้มั่นใจสิ้นปีนี้รายได้แตะ 1.2 หมื่นลบ. ตามเป้าหมาย ส่วนผลงานไตรมาสแรกปีนี้โชว์กำไรสุทธิพุ่ง 138% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2/2553 ยังมีลุ้นจะขยายตัวดีต่อเนื่อง     นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่าในปัจจุบันบริษัทมี Backlog order อยู่ที่ประมาณ 80,000 ตัน และยังมีแนวโน้มที่จะขยับเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคต เนื่องจากขณะนี้ความต้องการใช้เหล็กของลูกค้าในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย ยังมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับราคาเหล็กยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมาก ดังนั้นทำให้มั่นว่าในปี 2553 จะสามารถผลักดันผลประกอบการของ MILLให้แตะที่ระดับ 12,000 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 10 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 'จุดเด่นของ MILL คือผู้ผลิตเหล็กที่มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเกือบจะครบทุกชนิดสินค้าในแง่ของอุตสาหกรรมก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีที่ตั้งในการส่งสินค้าทั้งในกรุงเทพฯและระยอง ซึ่งเป็นคีย์ในการใช้เหล็ก ขณะเดียวกันบุคลากรของบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการในแง่ของการผลิตมีการบริหารจัดการได้ดีเพราะมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเหล็กมานานช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ ดังนั้น MILL จึงเป็นที่ยอมรับของลูกค้าทั้งในส่วนของสินค้าและบริการที่ไว้วางใจได้' นอกจากนี้ นายสิทธิชัยได้เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาส 1/2553 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 138.17 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2552 ว่าเป็นผลมาจากประสิทธิภาพในการบริหารงานที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการขายสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น และ MILL ยังคงเดินหน้าขยายตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศไปพร้อมๆ กับพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มี Value Added และตรงกับความต้องการของตลาดมากที่สุด นอกจากนั้นก็ยังมุ่งดำเนินธุรกิจอย่างรัดกุมด้วยการลดต้นทุนในการผลิตให้ต่ำที่สุด เพิ่มมาตรการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็ยังมุ่งสร้างสรรค์กิจกรรมและความสัมพันธ์อันดี เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมโดยรวมด้วย เพื่อให้ทั้งธุรกิจและสังคมเติบโตและพัฒ นาควบคู่ไปด้วยกัน    'ผลประกอบการในไตรมาสแรกปีนี้ ถือว่าน่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 138% ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักของทีมผู้บริหารและพนักงานทุกคนเพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นให้มากที่สุด ผนวกกับในช่วงที่ผ่านมาราคาเหล็กเริ่มขยับขึ้นและ MILL ก็สามารถบริหารจัดการในเรื่องต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และสำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2 ปีนี้ คาดว่ายังจะขยายตัวดีต่อเนื่องจากปัจจัยบวกที่สนับสนุนไม่ว่าจะเป็นความต้องการใช้เหล็กที่มีต่อเนื่อง และการบริหารจัดการภายในองค์กรที่มีประสิทธิภาพของ MILL เอง' นายสิทธิชัย กล่าว

ราคาบ้านในแคลิฟอร์เนียเม.ย.เพิ่ม 21%

ราคาบ้านในแคลิฟอร์เนียเม.ย.เพิ่ม 21%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า สมาคมอสังหาริมทรัพย์แห่งสหรัฐฯเปิดเผยวานนี้ว่า ราคาบ้านในรัฐแคลิฟอร์เนียเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 21% จากเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณบ้านรอการขายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดลง ขณะที่ราคาบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 306,230 ดอลลาร์ ส่วนยอดขายบ้านในเดือนดังกล่าวลดลง 8.1% มาอยู่ที่ 483,830 ยูนิตเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ การจะขายบ้านในราคาดังกล่าวให้หมดเฉลี่ยต้องใช้เวลา 5.1 เดือน จาก 5 เดือนในเดือนมีนาคม โดยยอดขายบ้านในรัฐแคลิฟอร์เนียเดือนเมษายนซึ่งน้อยกว่า 500,000 ยูนิต เป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 19 เดือน

SCB ชี้  GDP ได้ดีเพราะภาคการผลิต-ส่งออก

SCB ชี้ GDP ได้ดีเพราะภาคการผลิต-ส่งออก

2010 Q1 GDP +12%YOY ตามการผลิตอุตสาหกรรมและส่งออกศูนย์วิจัยไทยพาณิชย์  ระบุว่า สภาพัฒน์ (NESDB) ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1 ขยายตัว 12%YOY เร่งตัวขึ้นจาก 5.9%YOY ในไตรมาส 4 ปี 2009 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการผลิตอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออก หากปรับปัจจัยฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไตรมาส 1 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า 3.8% (QOQ SA)การขยายตัว 12%YOY สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แม้ว่าประมาณการของ SCB EIC ที่คาดว่า GDP ไตรมาสแรกจะขยายตัว 9.8%YOY จะนับว่าสูงที่สุดในผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์จากหลายๆ แห่ง แต่ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจก็ยังออกมาดีกว่าที่เราคาดแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการผลิตอุตสาหกรรม จากการขยายตัวของ GDP 12%YOY ดังกล่าวการผลิตอุตสาหกรรมมีส่วนขับเคลื่อนการขยายตัว (contribution to growth, CTG) ถึง 8.5 percentage point (pp) ตามมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวถึงกว่า 30% ในไตรมาสแรก ในขณะที่แรงขับเคลื่อนส่วนที่เหลือมาจากภาคบริการซึ่งให้ CTG อีก 3.4pp ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นราว 28%YOY ในไตรมาสแรกเศรษฐกิจขยายตัวดีแต่คนทั่วไปอาจรู้สึกว่า GDP ขยายตัวน้อยกว่านั้น จากการขยายตัวของ GDP ทั้งหมด 12% พบว่ามาจากการใช้จ่ายในประเทศ (domestic demand) ไม่ถึงครึ่งหรือราว 5.2pp (โดยมาจากการบริโภคภาคเอกชน 2.1pp การลงทุนเอกชน 2.3pp และอีก 0.8pp มาจากการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ) ส่วนที่เหลือมาจากการส่งออกและการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลัง การขยายตัวของ GDP ที่สูงมากในไตรมาส 1 น่าจะช่วยให้ภาพรวม GDP ปี 2010 มีการขยายตัวเป็นบวก ลำพังไตรมาสแรกที่ขยายตัวถึง 12% หากไตรมาสอื่นไม่ขยายตัวเลย GDP ปี 2010 ก็น่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% โดยเฉลี่ย ทั้งนี้ เรามองว่าผลจากปัญหาการเมืองน่าจะทำให้ GDP ไตรมาส 2 ขยายตัวชะลอลงจากไตรมาส 1 มากแต่ไม่น่าจะถึงกับติดลบเพราะการผลิตอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจภายนอกประเทศมากกว่าเรื่องการเมืองภายในประเทศ

มหาดไทย ชง ครม.ของบ ซ่อม 4 ศาลากลางจังหวัด

มหาดไทย ชง ครม.ของบ ซ่อม 4 ศาลากลางจังหวัด

นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้เตรียมที่จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติงบประมาณ 1,300 ล้านบาท สำหรับ ซ่อมแซมศาลากลางจังหวัด อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี และมุกดาหาร ที่ได้รับความเสียหายจากการถูกวางเพลิง ส่วนกรณีการเยียวยาเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจของประชนชนในท้องที่ยังไม่ได้เสนอของบประมาณ เนื่องจากต้องหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีจะมีการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดนอกฤดูกาลหรือไม่ นายมานิต กล่าวว่า ไม่ขอตอบในเรื่องดังกล่าวคงเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนกรณีการประกาศเคอร์ฟิว รวมถึงการคงพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน(พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เป็นเรื่องที่แต่ละจังหวัดเสนอมาเพื่อให้คงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะยังคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ในทุกจังหวัดในภาคอีสานที่ได้เคยประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินไป นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีการเคลื่อนไหวของขบวนการใต้ดินว่า ทุกอย่างยังดำเนินการเรียบร้อยตามกฎหมาย ส่วนกรณีที่ผู้ก่อการร้ายเปลี่ยนเป้าหมายไปเพื่อเผาโรงเรียน และองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) นายถวิล กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และส่วนตัวเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามกฎหมาย สำหรับกรณีการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินในภาคอีสาน 3 เดือนถึง 1 ปีนั้นคงต้องพิจารณาจากเหตุการณ์ปัจจุบันประกอบการตัดสินใจ ส่วนการประกาศเคอร์ฟิวในขณะนี้ยังคงใช้หลักการเดียวกันในทุกจังหวัด                

ทองรูปพรรณวันนี้ขายออกบาทละ 18,750 บาท

ทองรูปพรรณวันนี้ขายออกบาทละ 18,750 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมค้าทองแจ้งราคาทองคำในประเทศ วันที่ 25พฤษภาคม 2553 ทองคำ 96.5%                            รับซื้อ                              ขายออก           ทองคำแท่ง                                18,250      บาท               18,350    บาททองรูปพรรณ                             17,979.76  บาท              18,750     บาทที่มา สมาคมค้าทองคำ

บล.บีฟิท : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

บล.บีฟิท : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

ปัจจัยภายนอกยังลบ แรงขายต่างชาติกดดันแรง สถานการณ์การเมืองในประเทศแม้จะผ่อนคลายขึ้น แต่ก็ยังไม่หมดกังวล รัฐบาลกลัวการประทุ จึงมีการต่อเคอร์ฟิวออกไปอีก 7 วัน และช่วงนี้ก็เป็นช่วงเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม รวมทั้งช่วงกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนให้กลับมาเท่าที่จะทำได้ ขณะที่เมื่อวาน สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/53 ออกมาโตถึง 12% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 3.8% เทียบกับไตรมาส 4/52 ซึ่งถือเป็นการฟื้นตัวที่ดี ขณะที่ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการชุมนุมจะกระทบในช่วงถัดไป สภาพัฒน์ยังคงเป้าทั้งปี 53 ไว้ที่ 3.5-4.5% ด้านมูดี้ส์ก็ยังไม่เปลี่ยนท่าทีต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทย  สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐกลับมาร่วงแรงอีก จากความวิตกเกี่ยวกับระบบธนาคารของยุโรป ว่าอาจจะลุกลามไปทั่วตลาดการเงิน หลังธนาคารกลางสเปนเข้าเทคโอเวอร์ ธนาคารออมทรัพย์ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ค่าเงินยูโรก็อ่อนค่าลงอีกเทียบกับเงินดอลลาร์จากความวิตกดังกล่าว ราคาน้ำมันดีดกลับเล็กน้อย ไม่มีผลอะไร แนวโน้มตลาดหุ้นไทยถ้าดูต่อเนื่องจากเมื่อวานถือว่าไม่ดี ลงแบบไม่มีแรงรับ ต่างชาติยังขายหนัก หลังจากที่หยุดมาหลายวันทำให้ขายไม่ได้ ตลาดยังน่าลงต่อได้อีกวันนี้ หลังปัจจัยต่างประเทศก็ออกมาเป็นลบ ขณะที่ปัจจัยในประเทศความเชื่อมั่นยังไม่ดี  กลยุทธ์การลงทุน ระยะกลาง : หยุดลุ้น กลับมาถือเงินสด รอดูความชัดเจน ระยะสั้น : จะมีลุ้น Trading หรือไม่ ... ดูที่ 738 จุด (+/-)Market Viewpoint ตลาดหุ้นสหรัฐ  ดาวโจนส์ -126.82 จุด หรือ -1.24% มาปิดที่ 10,066.57 จุด ความวิตกเกี่ยวกับระบบธนาคารของยุโรปยังคงถ่วงตลาด หลังธนาคารกลางสเปนเข้าเทคโอเวอร์ธนาคาร CajaSur ซึ่งเป็นธนาคารออมทรัพย์ขนาดเล็กในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มความวิตกในหมู่นักลงทุนเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้สินทั่วตลาดการเงิน น้ำมันดิบ  NYMEX +0.17 เหรียญ +0.24% มาปิดที่ 70.21 ดอลลาร์/บาร์เรล มีการช้อนซื้อเพื่อเก็งกำไรบ้าง ถึงแม้นักลงทุนยังคงกังวลกับปัญหาในยูโรโซน ด้านโอเปก กำลังกังวลกับการร่วงลงของราคาน้ำมัน และกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวในตลาดอย่างใกล้ชิด กรีซ - นายกฯกรีซมั่นใจไม่ผิดนัดชำระหนี้ พร้อมยันไม่ปรับโครงสร้างหนี้ อันดับคงามน่าเชื่อถือ - 'มูดี้ส์'เผยยังไม่ลดเครดิตไทย เหตุการเมืองยังไม่กระทบปัจจัยพื้นฐาน คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ 'Baa1' โดยมีแนวโน้มเชิงลบ เศรษฐกิจไทย - สภาพัฒน์ เผยจีดีพี ของไทย ในไตรมาส 1/53 โต 12.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่เทียบรายไตรมาส จีดีพีไตรมาสแรก ขยายตัว 3.8% ทั้งปี 53 ยังคงไว้ที่ 3.5-4.5% อสังหาริมทรัพย์ –รมว.คลัง ระบุ รัฐบาลจะขยายระยะเวลามาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ ออกไปอีก 1 เดือน ไปสิ้นสุดในสิ้นเดือนมิ.ย. CENTEL - คาดกำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจด้านอาหารเพิ่มขึ้น และคาดธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง หุ้น IPO “Cyber” เข้าเทรด วันที 27 พ.ค. -  หุ้นสามัญของบริษัท ไซเบอร์แพลนเน็ต อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด (มหาชน) จำนวน 280,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท (IPO 60ล้านหุ้น @1.60)  

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

กลยุทธ์การลงทุน ปัญหาวิกฤติการเงินยุโรป และบ้านเมืองยังไม่คืนความสงบสุข 100% ทำให้รัฐฯ จำเป็นต้องใช้ เคอร์ฟิวต่อ น่าจะกดดันหุ้นไทยซึมต่อ โดยคาดว่าดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ PER 12-13 เท่า หรือ 711-770 จุด ในช่วง 1 เดือน กลยุทธ์การลงทุนจึงน่าจะเหมาะสมกับ การซื้อและถือ เท่านั้น แนะนำ หุ้น PER ต่ำกว่า 10 เท่า และจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง คือ GFPT, TVO, LANNA, EASTW, RATCH จะปรับ GDP Growth ปี 2553 ขึ้นจากเดิม แต่ข่าวดีทั้งหมดสะท้อนใน 1Q53 หมดแล้ว   เศรษฐกิจของไทย (GDP Growth) งวด 1Q53 เติบโตมากเป็นประวัติการณ์ถึง 12% จากงวด 1Q52(yoy) เพราะนอกจากฐานเดิมที่ต่ำมาก คืองวด 1Q52 GDP ติดลบอยู่ถึง 7%yoy แล้ว ยังมาจากการฟื้นตัวของภาคส่งออก/นำเข้า/การท่องเที่ยว ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก   และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน  และการลงทุนภาคเอกชน ล้วนฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่ซบเซาต่อเนื่องมานาน 3-4 ไตรมาส ก่อนหน้า (ได้ผลกระทบของวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐ นับตั้งแต่กลางปี 2551) และหากพิจารณาเป็นรายกลุ่ม พบว่าที่มีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ 3 ลำดับแรก คือ  ภาคอุตสาหกรรม (+22.8%)  การไฟฟ้า ประปา และก๊าซ (+15.8%)  โรงแรม ภัตตาคาร (15.5%)  ส่วนภาคการเงิน คมนาคมขนส่ง และเหมืองแร่ เติบโตในอัตรา 7% เท่ากัน  ตัวเลข GDP  ดังกล่าวนับว่าดีกว่าตลาดคาดมาก และดีกว่าที่ ASP คาดไว้ทั้งปี 2553 ว่าจะเติบโตเพียง 3% จึงเตรียมปรับเพิ่ม GDP Growth ในปี 2553 ขึ้นจากเดิมในเร็ว ๆ นี้ ในภาวะบ้านเมืองปกติ  สถานการณ์นี้น่าจะส่ง Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้น แต่ในสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่น่าจะมีประโยชน์อะไร เพราะยังคงมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย และที่สำคัญตัวเลขที่จะออกมาในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้า คาดว่าจะอ่อนตัวจากงวด 1Q53  แต่แน่นอน น่าจะยังบวกในอัตราสูงอยู่เพราะฐาน GDP growth ในช่วงเดียวกันของปี 2552 ยังคงติดลบอยู่คือ  -4.9% ในงวด 2Q52  และ -2.7%  ในงวด 3Q52 ดัชนีหุ้นไทย...ซึม..ซึม..เศร้า...เศร้า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ?   หากยังเชื่อว่าตลาดหุ้น เป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่สำคัญ ดัชนีหุ้นไทยที่ตกต่ำอย่างมากวานนี้ น่าจะสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศที่ลดน้อยถอยลงมากๆ  โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิสูงสุดเป็นกว่า 7 พันล้านบาท นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หากไม่นับยอดขายสุทธิที่สูงกว่า 25 พันล้านบาท ในวันที่ 19 ธ.ค. 2549  ซึ่งเกิดจากรัฐฯ (ทหารที่เข้าบริหารประเทศ ด้วยการรัฐประหาร) ได้ประกาศใช้มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้า ได้สร้างความแตกตื่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันดูจะไม่แตกต่างกับเหตุการณ์นั้นมากนัก แม้ว่าประเทศไทยได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ความรุนแรงมาแล้ว แต่ยังไม่สามารถนำความสงบสุขมาสู่กรุงเทพฯ ได้เต็ม 100% ดังนั้นเพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รัฐฯ จึงจำเป็นต้องประกาศใช้เคอร์ฟิวต่อไปอีก 1 สัปดาห์ ในช่วงเวลา 24.00 น.-4.00 น. นับตั้งแต่ 25 พ.ค. -31 พ.ค. นี้  ขณะที่ยังใช้ พรก.ฉุกเฉิน ในกรุงเทพ และต่างจังหวัดอีกหลายจังหวัดเช่นเดิม  นอกจากนี้กระบวนการตรวจสอบทางเดินของเงิน ทั้งหมด 148 รายชื่อ ทั้งในนามบริษัท 20 แห่ง นักธุรกิจและนักการเมืองอีก 128 คน  คาดว่ายังใช้เวลาอีกนาน จึงน่าจะกดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุนในวงกว้าง  ต่อไป ต่างชาติขายสุทธิหนัก ทำให้ยอดซื้อสุทธิของปีนี้เหลือเพียง 2 พันล้านบาท แต่ยังมีโอกาสขายต่อ   ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่สูงมากวานนี้ ทำให้ยอดขายสะสมสุทธินับจากวันที่ประกาศ พรก. ฉุกเฉิน ในวันที่ 7 เม.ย. 2553 ถึงปัจจุบัน สูงถึง 57.34 พันล้านบาท เมื่อหักจากยอดซื้อสะสมสุทธิที่เข้ามาในช่วงก่อนหน้า พบว่า ยังเหลือยอดซื้อสะสมสุทธิอีกเพียง 2 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม แม้ยอดซื้อสะสมสุทธิจะเหลือน้อยลงมากแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนต่างชาติจะหยุดขายในเร็ววัน เพราะหากพิจารณายอดซื้อสะสมสุทธิของต่างชาติที่เข้ามาตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.2552 ซึ่งเป็นการกลับเข้ามาซื้อรอบใหญ่สูงถึง 76.8 พันล้านบาท หลังเชื่อว่าเศรษฐกิจเอเซียได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว จะพบว่าเม็ดเงินส่วนนั้นยังเหลืออีกราว 40 พันล้านบาท ที่เป็นความเสี่ยงที่จะถูกขายต่อเนื่องได้ ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยยังมีปัญหารุมเร้าทั้งภายใน และปัจจัยลบจากภายนอก ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เชื่อว่าจะเป็นแรงกดดันให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง ตามตลาดในภูมิภาค อีกอย่างน้อยราว 1-2 สัปดาห์ค่าเงินยูโรยังคงอ่อนตัวต่อ หนุน Dollar ฟื้นตัวอีกครั้ง กดดันราคาน้ำมันดิบ ความวิตกกังวลต่อปัญหาวิกฤตการเงินในยุโรปยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเงินยูโรวานนี้อ่อนค่าลงอีก โดยเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าหลัก 16 ประเทศ พบว่าอ่อนค่ากว่าถึง 14 สกุลเงิน ขณะที่ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุด พบว่าอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 1.2305 ดอลลาร์ต่อยูโร และนีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงสู่ 1.216 ดอลลาร์ต่อยูโร ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของปีอีกครั้ง สวนทางกับ Dollar index ที่ฟื้นตัวรอบใหม่ มาอยู่ที่ 86.807 จุด กดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อ่อนตัว โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้าไนเม็กซ์ ทรงตัวอยู่ที่ที่ 70.20 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในเช้าวันนี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ อ่อนตัวลงราว 1 เหรียญฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 69.77 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งคาดว่ายังคงกดดันให้หุ้นปิโตรเลี่ยมมีความผันผวนสูง (PTTEP และ BANPU) ดังนั้นหากราคาหุ้นเหล่านี้อ่อนตัวลง ยังแนะนำให้สะสม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มปิโตรเลียมต่อไปนี้ที่ราคาลงมาลึกกว่าตลาด เช่น PTTEP คาดว่าจะมีแนวรับที่ 139-141 บาท BANPU แนวรับที่ 580 บาท  และ LANNA 15.40บาท  หุ้น BANPU ลดจำนวนหุ้นซื้อขายบนกระดานหลัก/กระดานต่างประเทศ จาก 100 เหลือ 50 วานนี้ทางตลท. ได้แจ้งว่า หุ้น BANPU จะลดจำนวนหน่วยการซื้อขายบนกระดานหลัก/กระดานต่างประเทศใหม่ จากเดิม 100 หุ้น/หน่วย เหลือเพียง 50 หุ้น ต่อหน่วย ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นไป   สาเหตุเนื่องมาจาก ในปัจจุบันราคาหุ้น BANPU บนกระดานหลักมีราคาสูงกว่า 500 บาท เป็นระยะเวลานาน 6 เดือนติดต่อกัน  ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามประกาศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  เรื่องการซื้อขายบนกระดานหลัก (ฉบับที่1) พ.ศ.2542 ข้อ 4  ตลาดหลักทรัพย์จึงเห็นควรให้เปลี่ยนแปลงหน่วยการซื้อขายของหลักทรัพย์ BANPU ดังกล่าวข้างต้น   ซึ่งน่าจะเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย และหนุนให้มีการเก็งกำไรหุ้น BANPU มากขึ้น

บล.ทิสโก้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

บล.ทิสโก้ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

สรุปภาวะตลาดวันก่อน SET ปิด -21.23 จุด หรือ -2.77% มาที่ 744.31 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย  27,683.30  ล้านบาท ดัชนีกลุ่มพลังงาน -3.16%, แบงก์-2.55%, อาหาร-2.99%, วัสดุก่อสร้าง  -3.99%, ปิโตรเคมี -4.84%, อสังหาริมทรัพย์ -3.21% และธุรกิจการเกษตร -1.35%  แรงเทขายหุ้นไทยส่วนใหญ่ยังมาจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งต้องการขายหุ้นออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทำไม่ได้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปิดทำการจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประกอบกับนักลงทุนยังไม่มั่นใจสถานการณ์การเมืองในประเทศมากนัก ทิศทางตลาดวันนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลก คาดดีดกลับ ( Rebound ) แต่ไม่เกินเส้นค่าเฉลี่ย  25  วัน  สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสดีดกลับ  ( Rebound )  จากภาวะ  Over Sold  แต่คาดว่าการดีดกลับจะไม่ผ่านแนวต้าน Sma.25 วัน ของแต่ละประเทศ  -  นักลงทุนเทขายหุ้นทั่วโลกกังวลวิกฤติหนี้ยุโรป  ( Euro Zone Sovereign Debt Crisis )  ฉุดการเติบโตของ GDP โลกในครึ่งหลังของปีนี้  แนวโน้ม SET สัปดาห์นี้  ;  “  SET  ลงทดสอบ  725 , 715 จุด “7 เม.ย.  ( วันแรกที่กลุ่ม นปช.ยึดราชประสงค์ ) – 24 พ.ค.53 นักลงทุนต่างประทศขายสะสมถึง  56,750  ล้านบาท เมื่อวานนี้ ขายสุททธิ  7,752  ล้านบาทผสมโรงกับสถาบันในประเทศส่งผลให้  SET เปิดลงทันที – เปิด  GAP  ขาลงกว้าง  5.15 จุด ที่  760.39 - 765.54  จุด  เป็นแนวต้านหลัก ( Strong Resistance ) ไปตลอด  2  สัปดาห์นี้ ตราบใดที่  SET  ไม่สามารถขึ้นปิดเหนือ  765 จุด แนวโน้ม  2  สัปดาห์นี้  SET จะลงทดสอบแนวรับ 700 - 715 จุด หากดีดกลับ  แนวต้านที่ผ่านยากคือ Sma.10 วันที่  755  จุด  แนวโน้มวันนี้  คาด  SET  เปิดลงต่อทดสอบแนวรับ  742 ,730  จุด โดยหาก  SET  ยืนได้เหนือ 742  จุด  (  Low เมื่อวาน = 742.04 จุด  )  SET  จะดีดกลับทดสอบแนวต้าน  750 , 755  จุด กลยุทธ์การลงทุน  ;  1. Port  ลงทุน  ;  ลด  Port  แล้วนิ่ง - ชะลอการลงทุน  - ขึ้นขายต่อที่  750 , 755  จุด  2. Port  เล่นสั้น   ขึ้นขายอีกที่  750 , 755  จุด  -  ลงรอ  Panic Sell  ซื้อที่  700 – 715  จุด                

ค่าบาทเช้านี้เปิด32.45 บาท/ดอลล์

ค่าบาทเช้านี้เปิด32.45 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 32.45 บาท/ดอลลาร์ คาดระหว่างวันค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.45-32.60 บาท/ดอลลาร์  โดยแนวโน้มค่าเงินบาทจะอ่อนค่า เนื่องจากแนวโน้มนักลงทุนต่างชาติจะยังคงขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อโยกเงินกลับไปถือครองสกุลยูโร ภายหลังมีความกังวลถึงปัญหาสถาบันการเงินในแถบยุโรป รวมไปถึงผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองไทยที่ยังมีความไม่ใจเกิดขึ้น ซึ่งทำให้มีเงินไหลออกจำนวนมาก                

สาธารณสุขตั้งศูนย์เยียวยา - เปิดสายด่วน 1323

สาธารณสุขตั้งศูนย์เยียวยา - เปิดสายด่วน 1323

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (26 พ.ค.53)เตรียมที่จะหารือร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เพื่อหาแนวทางในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเตรียมที่จะเปิดศูนย์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และเปิดให้มีสายด่วนปรึกษาปัญหา 1323   ทั้งนี้ การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบในเขตกรุงเทพฯได้กำหนดพื้นที่ออกเป็น 7 เขต มีกลุ่มชุมชนที่ได้รับผลกระทบถึง 23 ชุมชน โดยจะเป็นการฟื้นฟูด้านจิตใจในระยะสั้น และระยะยาว โดยระยะสั้นจะฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้ได้รับบาดเจ็บ ครอบครัวของผู้ได้รับบาดเจ็บรวมถึงครอบครัวผู้เสียชีวิต ส่วนมาตรการระยะยาวจะเยียวยาด้านจิตใจของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ สำหรับ งบประมาณที่จะนำมาใช้ทางคณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้เคยอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือไปตั้งแต่เมื่อ1 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่เบื้องต้นในวันนี้จะมีการรายงานผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 1,885 คน เสียชีวิต 88 คน ซึ่งเป็นยอดตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. 2553                

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

บล.เกียรตินาคิน : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

SET วานนี้ปิดลบ หลังมีแรงขายหุ้นอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างประเทศ ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นปานกลาง SET ปิดลบ โดยดัชนีปรับตัวลงตั้งแต่เปิดตลาดในภาคเช้าต่อเนื่องถึงภาคบ่าย หลังมีแรงเทขายหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ทั้งในกลุ่มพลังงาน วัสดุก่อสร้าง แบงก์ ที่มาจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศซึ่งยังคงไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมากนักในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเกี่ยวกับความวิตกปัญหาหนี้ในยุโรปยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศอยู่ โดยวานนี้ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 742.04 จุด ก่อนที่มาปิดระดับ 744.31 จุด ลดลง 21.23 จุด (-2.78%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นปานกลาง 27,683.30 ล้านบาทการลงทุนของนักลงทุนประเภทต่าง ๆ วานนี้นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิจำนวน –7,752.01 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิจำนวน –939.14 ล้านบาท ส่วนบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิจำนวน-195.66 ล้านบาทตารางแสดงยอดการลงทุนของนักลงทุนประเภทต่าง ๆ ปี 2552 และปี 2553 Total -52 Jan -53 Feb -53 Mar -53 Apr -53 May -53 Total -53นักลงทุนต่างประเทศ 38 ,499 -7,485 5,422 44 ,600 -4,097 -46 ,412 -7,972นักลงทุนสถาบัน -3,590 -8,210 5,858 -9,342 -4,322 8,072 -7,945บริษัทหลักทรัพย์ 1,850 -2,068 -398 3,103 -1,273 573 -63ที่มา : รวบรวมโดย KKSแนวโน้มตลาดวันนี้ เราคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในช่วง 730-750 จุด เป็นแนวโน้มแกว่งตัวตามดาวโจนส์ที่ปิด -126 จุดและสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มั่นใจหลังจากการชุมนุมยุติลงแล้ว ด้านสถาบันขายสุทธิ -939 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ -7,752 ล้านบาท แสดงถึงตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวนทางลงต่อได้ โดยนักลงทุนยังจับตาดูสถานการณ์การเมืองไทยหลังจากที่การชุมนุมยุติลง โดยเฝ้าดูว่าความรุนแรงยังมีต่อหรือไม่เพราะรัฐบาลยังอาจให้มีเคอฟิวต่อ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในสถานการณ์ยังไม่เต็ม 100% นอกจากนี้การปรับลงของตลาดหุ้นต่างประเทศยังสะท้อนถึงความกังวลในเรื่องหนี้ของยุโรปยังมีอยู่ คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวนทางลงอยู่ โดยเฉพาะถ้าตลาดยังไม่ยืนแนว 750 จุดขึ้นไปได้กลยุทธ์การลงทุน คาดว่าตลาดจะแกว่งตัวผันผวนในช่วงสั้นนี้ ยืนเหนือ 760 จุดจึงจะน่าซื้อเก็งกำไรต่ำกว่า 750 จุด ถ้ามีหุ้นอยู่จากการซื้อเก็งกำไรไปก่อนหน้านี้ แนะนำขายไปก่อน แล้วรอดูแนวรับ 720 จุด สำหรับสัดส่วนการลงทุนในช่วงนี้ให้เป็นถือหุ้น 25% ถือเงินสด 75%

บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53

บล.กรุงศรีอยุธยา : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 25/05/53 Market Recap and Trend: ปัญหาหนี้สินที่อยู่ในระดับสูงของประเทศในแถบยุโรป จะยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นโลก และ SET ต่อเนื่อง SET ปรับลดลงตั้งแต่เปิดตลาด และปรับลดลงต่อเนื่องตลอดวันปิดตลาดปรับลดลงแรง 2.77% ปิดตลาดที่ 744.31 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 27,683 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสุทธิหนักถึง 7,752 ล้านบาท รวมขายตั้งแต่ 22 เม.ย.รวมแล้ว 5.5 หมื่นล้านบาท สำหรับแนวโน้ม SET วันนี้ คาดว่าจะปรับลดลงต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้จากความกังวลที่เพิ่มขึ้นของปัญหาหนี้ในยุโรป ขณะที่แม้ว่าจะดูเหมือนว่าปัญหาการเมืองได้สงบลงแล้วแต่การเตรียมประกาศเคอร์ฟิว ต่อไปอีก 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 25-31 พ.ค.นี้ แสดงให้เห็นถึงความกังวลของภาครัฐฯบ้างอยู่ดี สำหรับตัวเลข GDP ที่ขยายตัวมากถึง 12% ใน 1Q53 แม้ว่าจะมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 8.9% แต่เรามองว่าตัวเลข GDP เป็นตัวเลข Lagging Indicator มากกว่าที่จะเป็น Leading Indicator ขณะที่สภาพัฒน์ฯคงคาดการณ์ GDP ปี 53 ขยายตัว 3.5-4.5% เหมือนเดิม ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของ ธปท.ในช่วงปลายเดือน เม.ย.ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวถึง 4.3-5.8%Investment Strategy: Wait & See รอทยอยซื้อหุ้นอีกครั้งเมื่ออ่อนตัวบริเวณ 700 +/- จุด ปัญหาการเมืองที่รุนแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ จะเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจในช่วง 2Q53 เป็นต้นไป ประกอบกับปัญหาหนี้ในยุโรปอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม จะเป็นปัจจัยกดดัน SET และแนวโน้มการไหลเข้าของเงินทุนในช่วงนี้อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในเชิง Fundamental เรายังมองว่าผลกระทบจากปัญหาการเมืองจะจำกัดอยู่ในหุ้นบางกลุ่มเท่านั้น เช่นหุ้นกลุ่มโรงแรม โรงพยาบาลที่เน้นลูกค้าต่างประเทศ กลุ่มสายการบิน ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคาร อสังหาฯ และวัสดุก่อสร้างได้รับผลกระทบไม่มากนัก ส่วนกลุ่มหุ้นที่มีรายได้อิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ได้รับผลกระทบจากการเมืองในประเทศ...ทั้งนี้เราแนะนำนักลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 50% ของพอร์ตต่อเนื่อง และรอทยอยซื้อหุ้นอีกครั้งเมื่อ SET ปรับลดลงไปที่บริเวณ 700 +/- จุด ขณะที่เราคงเน้นกลุ่มหุ้น Defensive, High Dividend, และ Low Beta เหมือนเดิม โดยมีหุ้นเด่นได้แก่ DCC, SPALI, MAKRO, TICON, CPALL, ADVANC, RATCH, GLOW, และ EGCOFutures Strategy : เล่นสถานะ SHORT เป็นหลัก โดยมีเป้าหมายถัดไปที่ 500 จุด (ดูรายละเอียดใน Derivatives Strategy)AUTO : ไม่มี Update สำหรับ Auto MatrixRecommended Portfolio: พอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทน +0.9% ดีกว่าอัตราผลตอบแทน SET ที่ +0.7% (Update วันที่ 10 พ.ค. 53) พอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทน +0.9% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่ SET มีอัตราผลตอบแทน +0.7% หรือพอร์ตจำลองมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่า SET อยู่ 0.2% ในขณะที่ถ้าพิจารณาตั้งแต่จัดทำพอร์ตจำลอง (ก.ย. 49) มีอัตราผลตอบแทน +159% ดีกว่าตลาดที่มีอัตราผลตอบแทน +9.6% อยู่ 137% โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา CPALL เป็นหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนดีที่สุด +4.7% ขณะที่ STANLY ปรับลดลง 1.9% ให้อัตราผลตอบแทนต่ำที่สุดในพอร์ต…สำหรับสัปดาห์นี้ถือหุ้นทั้ง 4 ตัวต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ได้แก่ STANLY (ได้รับผลดีจากหอุตสาหกรรมรถยนต์ฟื้นตัว) CPALL (การขยายสาขา และเพิ่มกำไรขั้นต้นส่งผลดีต่อผลการดำเนินงาน) TUF (คาดผลการดำเนินงานขยายตัวดีต่อเนื่องในปี 2010) TICON (ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ธุรกิจโรงงานให้เช่าฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ) และเพิ่ม TCAP เข้ามาในพอร์ต โดยคาดว่า TCAP จะมีโอกาสในการเติบโตสูงหลังจากควบรวมกิจการกับ SCIBNews Commentคลังเตรียมชงยืดอายุมาตรการอสังหาริมทรัพย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันนี้ ขยายเวลามาตรการภาษีภาคอสังหาริมทรัพย์ ออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมสิ้นสุด 31 พ.ค.53 ขยายเป็น 30 มิ.ย.53 ถือเป็นการต่ออายุมาตรการครั้งที่ 2 จากครั้งแรกที่ครบกำหนดเมื่อ 28 มี.ค. 2553 ที่ผ่านมา (ที่มา : โพสต์ทูเดย์)ความเห็นและคำแนะนำ : วัตถุประสงค์ของการขยายมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมจดจำนองออกไปอีก 1 เดือนจากสิ้นเดือน พ.ค. 53 มาที่สิ้นเดือนมิ.ย. 53 เป็นการชดเชยผลกระทบของความรุนแรงทางการเมืองที่ส่งผลให้เกิดการชะลอธุรกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประกอบกับวันหยุดราชการที่เพิ่มขึ้นในเดือน พ.ค. 53 เราประเมินว่า การขยายมาตรการครั้งนี้ของภาครัฐไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการคาดการณ์ผลประกอบการของเรา เนื่องจากเป็นการรับรู้รายได้ที่ควรจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค. 53 เลื่อนมาเกิดขึ้นในเดือน มิ.ย. 53 ดังนั้นจึงไม่ส่งผลต่อการรับรู้รายได้ใน 2Q53 ด้วยเช่นกัน จากการประเมินเบื้องต้น เราคาดการณ์ว่า แนวโน้มผลประกอบการ 2Q53 ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะลดลงจาก 1Q53 ซึ่งเป็นไตรมาสที่ผู้ประกอบการหลายรายแสดงผลประกอบการรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยกเว้นเพียง LPN ที่เราคาดการณ์ว่า จะยังสามารถแสดงผลประกอบการ 2Q53 เพิ่มขึ้นจาก 1Q53 เนื่องจากมีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ ลุมพินี เพลส พระราม 9 (เฟส 1) เข้ามาบันทึกรับรู้รายได้ใน 2Q53News in Briefสภาพัฒน์ เผยจีดีพี Q1/53 โต 12.0%, ทั้งปียังมองโต 3.5-4.5% คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) เผยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ของไทย ในไตรมาส 1/53 โต 12.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่เทียบรายไตรมาส จีดีพีไตรมาสแรก ขยายตัว 3.8% จากไตรมาสก่อนหน้า สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทย ในไตรมาส 1 ขยายตัวได้สูง เป็นเรื่องการส่งออกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยไตรมาส 1 การส่งออกขยายตัว 32% ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ก็ขยายตัวค่อนข้างสูงเช่นกัน ที่ 15.8% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 1/53 เติบโตได้ 4% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ ที่จะขยายตัวประมาณ 2-3% ด้านการท่องเที่ยวในไตรมาส 1/53 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาถึง 4.7 ล้านคน ขยายตัว 28.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 3.6 ล้านคน ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้จีดีพีในสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวได้ 15.5% จากครั้งสุดท้ายที่ขยายตัวสูงสุด 11.1% ในปี 49 ขณะเดียวกันสภาพัฒน์ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 53 ไว้ที่ 3.5-4.5% ซึ่งได้หักผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและความไม่สงบในประเทศ ที่คาดว่าจะมีอยู่ราว 1.5% ของจีดีพีแล้ว โดยผลกระทบดังกล่าว ทำให้ไทยสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจราว 1.0-1.5 แสนล้านบาท (รอยเตอร์)CENTEL คาดกำไรปีนี้ดีกว่าปีก่อน แต่รายได้โตต่ำกว่าเป้า CENTEL คาดกำไรสุทธิปีนี้ดีกว่าปีก่อน โดยรายได้จากธุรกิจด้านอาหารเพิ่มขึ้น และคาดธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ประเมินรายได้เบื้องต้นในปีนี้ โตน้อยกว่าเป้าที่กำหนดไว้ ขณะที่ในไตรมาส 2/53 บริษัทยังคาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันปีก่อน โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจอาหารที่มีการเติบโต ขณะที่ธุรกิจโรงแรมอาจจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากมีลูกค้ายกเลิกการใช้ห้องประชุมบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ จากผลกระทบของการชุมนุม และถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยว ขณะที่บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างบริหารโรงแรมในต่างประเทศ ขณะเดียวกันผู้บริหารเผย บริษัทยังเดินหน้าลงทุนโครงการโรงแรมที่ภูเก็ต ซึ่งมีมูลค่าลงทุนราว 2 พันล้านบาท โดยเป็นการลงทุนต่อเนื่อง คาดว่าจะเปิดบริการได้ในเดือนต.ค.ปีนี้ แต่สำหรับการลงทุนใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นคงจะต้องมีการประเมินสถานการณ์ รวมถึงผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น และมีการหารือในคณะกรรมการบริษัทก่อน (รอยเตอร์)ERAWAN ลดเป้ารายได้รวมของกลุ่มปีนี้ราว 20% แต่ยังสูงกว่าปีก่อน ERAWAN เผยผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยบริษัทคาดว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน หากไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีก ทั้งนี้คาดว่า อัตราการเข้าพักเฉลี่ยโดยรวมของโรงแรมทั้งหมดของบริษัทในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 62% เทียบกับระดับ 58% ในปี 52 ทั้งนี้ บริษัท ระบุว่า ได้ปรับลดประมาณการรายได้รวมของทั้งกลุ่ม จากประมาณการที่ตั้งไว้ตอนต้นปีลงประมาณ 20%แต่ยังคงสูงกว่ารายได้รวมของปี 52 ประมาณ 5% ซึ่งการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มาจากโรงแรมที่เปิดใหม่ในรอบ 24 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่โรงแรมของบริษัทที่อยู่ในย่านราชประสงค์จำนวน 2 โรงแรม คือ โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ และโรงแรมคอร์ทยาร์ดโดยแมริออทกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด โดยต้องปิดการให้บริการลงตั้งแต่กลางเดือนเม.ย.จนถึงปัจจุบัน โดยจากการประเมินความเสียหายทางธุรกิจเบื้องต้นคาดว่ารายได้จากทั้ง 2 โรงแรม จะลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปีที่ผ่านมาประมาณ 150 ล้านบาท (รอยเตอร์)

เงินดอลฯเทียบเยนเช้านี้อยู่ที่ 90.08 เยน

เงินดอลฯเทียบเยนเช้านี้อยู่ที่ 90.08 เยน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวบลูมเบิร์กดอทคอมระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 90.08 เยน ณ เวลา 9:48 น. ตามเวลาในกรุงโตเกียว จาก 90.29 เยนที่ปิดตลาดนิวยอร์ควานนี้ ขณะที่เมื่ออัตราเเลกเปลี่ยนเงินเยนเมื่อเทียบยูโรแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่  110.93 เยน/ยูโร จาก 111.71 เยน/ยูโร ขณะที่เมื่อเทียบค่าเงินยูโร เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 1.2316 ดอลลาร์/ยูโร จาก 1.2372 ดอลลาร์/ยูโรที่ปิดตลาดนิวยอร์ควานนี้