จัดพอร์ตลงทุนรับปีฉลู ทองคำ-หุ้น-อสังหาฯ เสี่ยง!

จัดพอร์ตลงทุนรับปีฉลู ทองคำ-หุ้น-อสังหาฯ เสี่ยง!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เป็นธรรมเนียมทุกปีรับเปิดศักราชใหม่ ฐานเศรษฐกิจ จัดทำคู่มือจัดพอร์ตการออมและการลงทุน เพื่อเป็นไกด์ไลน์สำหรับผู้ออมและผู้ลงทุน รับมือสถานการณ์เศรษฐกิจ เหมาะสมไลฟ์สไตล์และระดับความเสี่ยง

สำหรับปี 2552 เป็นปีที่เศรษฐกิจโลกถดถอย รอบตัวผู้ลงทุนจึงมีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดลงจากอัตราดอกเบี้ยขาลง และกำไรบริษัทในตลาดหุ้นที่เติบโตติดลบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันผล ดังนั้นการยึดหลักใส่ไข่ในหลายตะกร้า หรือกระจายพอร์ตลงทุนไปในสินทรัพย์หลากหลาย ประเภท จึงมีความจำเป็นยิ่งเพื่อบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ไม่ขี้เหร่นัก

****ดอกเบี้ยเงินฝากขาลง

หลังจากปีที่แล้ว ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ออกโครงการพิเศษระดมเงินฝาก 3 เดือน อัตราดอกเบี้ย 6% เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลส่งเสริมการออม และแบงก์พาณิชย์แข่งขันระดมเงินฝากรุนแรง

แต่สำหรับในปี 2552 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่วัฏจักรขาลง ส่งผลตอบแทนต่อผลตอบแทนเงินฝากออมทรัพย์และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ต้นปี 2552 ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน และ 24 เดือน ปรับลดลงเกือบ 1% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากเงินฝากประเภทและระยะเวลาเดียวกันเมื่อสิ้นปี 2550 ยกตัวอย่าง เงินฝากประจำ 3 เดือน ต้นปี 2552 อยู่ที่ 1.350-2.00% ขณะที่สิ้นปี 2550 อยู่ที่ 2.00-2.25% (ดูรายละเอียดจากตารางประกอบ)

อย่างไรก็ตาม ปีนี้ยังมีโอกาสหาผลตอบแทนจากผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ออกโดยธนาคารขนาดเล็ก เช่น ทิสโก้ เกียรตินาคิน และธนชาติ ที่ยังประกาศจ่ายอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่าธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก 0.50%

***หุ้นกู้เกรดเอ ผลตอบแทนสูง 5-6 %

จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ทำให้ผลตอบแทนตราสารหนี้ลดลงด้วยนั้น อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นกู้ถือว่าให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ

ณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) คาดว่า จากแนวโน้มผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่ลดลง จะทำให้หุ้นกู้ภาคเอกชนกลับมาได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 เพราะแม้ว่าผลตอบแทนของพันธบัตรจะลดลงแต่ผลตอบแทนของหุ้นกู้ไม่ได้ลดลงไปด้วย ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาล (Spread) ปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนไทย

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าหุ้นกู้ในสหรัฐอเมริกา ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ(เรตติ้ง)ที่ระดับ AAAและAA ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8-9% ต่อปี สำหรับหุ้นกู้ในประเทศที่มีเรตติ้ง AAA ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-6% ต่อปี ทั้งนี้แม้ผลตอบแทนหุ้นกู้ในประเทศจะต่ำกว่าในสหรัฐฯ แต่ก็ยังเป็นผลตอบแทนที่สูงมากเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540

***คอหุ้น อย่าบุ่มบ่าม ใส่เงินแค่ 20-40 %

จากแนวโน้มปี 2552 บริษัทจดทะเบียน(บจ.) มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลลดลง แต่ก็ถือว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยเงินฝาก นักลงทุนจึงไม่ควรทิ้งตลาดหุ้น แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังและมีวินัยการลงทุนอย่างเข้มงวด

สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)นครหลวงไทย จำกัด แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2552 โดยให้ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเล็กน้อย เป็น 40 % ของพอร์ตลงทุน (จากเดิม 35 %)ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับภาวะปกติที่แนะนำให้ลงทุนในหุ้น 70-80 % ของพอร์ต

สาเหตุที่ไม่ให้เทเงินในหุ้นมากนัก สุกิจ ให้เหตุผลว่า เนื่องจากปี 2552 ตลาดหุ้นไทยยังคงมีผลกระทบจากปัญหาวิกฤติการเงินโลกและกำไรบจ.ที่เติบโตติดลบ ส่วนเงินที่เหลือแนะนำลงทุนในตราสารหนี้ 35 % ลดลงจากเดิม 40 %และอีก 25 % แนะนำลงทุนในทองคำ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และเงินฝาก เป็นต้น

ด้านผู้จัดการกองทุน โดยชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด แนะนำให้ลงทุนในหุ้นเพียง 20 % (จากเดิม 30 % ) อีก 10-20 % ให้ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงเฉลี่ย 7-10 % ต่อปี ส่วนอีก 60-70 % แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ ผสมผสานระหว่างตราสารหนี้อายุ 1- 2 ปี

พร้อมแนะนำสำหรับการลงทุนในหุ้นว่า ต้องจับจังหวะให้ดี เช่น หากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปรับตัวลงที่ระดับ 380 จุด ก็ควรเข้าลงทุน และหากดัชนีปรับขึ้นไปที่ 480 จุด ก็ให้ทยอยขาย ซึ่งคาดว่าจะได้กำไรจากส่วนต่างราคา ประมาณ 15 %

***กองทุนอสังหาฯ ทางเลือกที่น่าสนใจ

อีกโปรดักต์การลงทุนที่ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และที่ปรึกษาการลงทุน เห็นพ้องต้องกันว่า น่าสนใจลงทุนในยามที่การลงทุนในสินทรัพย์หลัก คือ หุ้น ตราสารหนี้และเงินฝาก ผลตอบแทนลดลง โดยเฉพาะหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงปรี๊ด

โดยโปรดักต์ที่ถูกโหวตให้เป็นพระเอกขี่ม้าขาว ในวิกฤติ ที่จะช่วยดึงผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนให้สูงขึ้นได้ คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯประมาณ 20 กองทุน ทั้งกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโรงงานอุตสาหกรรม ,โรงแรม ,อาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว และหอพัก เป็นต้น โดยให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลประมาณ 7-12 % ต่อปี

ขณะที่จิรวัฒน์ สุภรไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บล.ภัทรฯ เตือนว่า การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯ นักลงทุนต้องยึดกฎเหล็กที่ว่า ต้องเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อหวังเงินปันผลเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันกองทุนอสังหาฯในประเทศไทย ยังมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องต่ำ ดังนั้นจึงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่มีขนาดกองทุน 4,000-5,000 ล้านบาท ขึ้นไป

โชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทยฯ เสริมว่า ปี 2552 กองทุนอสังหาฯบางกองอาจได้รับผลกระทบจากค่าเช่าที่ลดลง ดังนั้นควรเลือกลงทุนในกองทุนที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ทำให้ไม่มีปัญหาในการขายออก เมื่อนักลงทุนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน อย่างไรก็ตามการลงทุนในกองทุนอสังหาฯ เหมาะแก่การลงทุนระยะยาว 2 ปีขึ้นไป

****โจทย์แบงก์ ''ปีฉลู''ดึงลูกค้าใช้หลายโปรดักต์

สำรวจความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์การออมและการลงทุน แนะนำให้ยึดคัมภีร์ ''ระมัดระวัง'' และ ''ไม่หวือหวา'' เป็นแนวทางการออมและการลงทุนสำหรับปีนี้

อดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า โจทย์การออมของลูกค้าบุคคลต้องมีหลากหลายโปรดักต์ เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าทั้งเงินฝาก ประกัน และกองทุนรวม ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ลูกค้าต้องปรับฐาน ระมัดระวังและวางแผนตัวเอง ไม่ใช่การลงทุนหรือการแสวงหาผลตอบแทน ในแง่ของธนาคาร ต้องให้ความมั่นใจกับลูกค้า เน้นนวัตกรรมหรือโปรดักต์ใหม่ไม่ได้

ข้อเสนอแนะของ ''อดิศร'' ในการวางแผนออมเงิน พร้อมกับประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของแบงก์ไทยพาณิชย์ คือ ให้กันเงินส่วนหนึ่งไว้ในกองทุนรวมหรือตราสารที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวต่อการโยกย้าย เช่น กองทุนรวมตลาดเงินไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ ตราสารหนี้ เอสเอฟเอฟ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 2% ต่อปี ปลอดภาษี ไถ่ถอนได้ทุกวัน

นอกจากนี้ ''ประกันชีวิต'' เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ ถือเป็นการออมเงินระยะยาว ที่ให้ทั้งประโยชน์ ผลตอบแทน และความคุ้มครอง โดยในปี 2552 ธนาคารไทยพาณิชย์จะจัดโปรดักต์ที่เพิ่มเมนูความคุ้มค่าและตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละราย ซึ่งนอกจากกรมธรรม์หลักแล้ว จะเพิ่มความคุ้มครองสุขภาพขึ้นไปเพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อเป็นกลุ่ม เช่น ซื้อประกันชีวิต โดยเสนอให้ทำประกันรถยนต์ในราคาพิเศษหรือแถมประกันโรคร้ายแรงโดยไม่ต้องหาซื้อที่อื่น

***แนะสำรองเงินสดเพิ่ม 12 เท่าของเงินเดือน

เนื่องจากปี 2552 เป็นปีที่เศรษฐกิจชะลอ มนุษย์เงินเดือนเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนจึงย้ำเป็นพิเศษว่า ต้องให้ความสำคัญกับการสำรองเงินสดมากขึ้น

วีระชัย อมรรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์เงินฝากและค่าธรรมเนียมธุรกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวแนะนำว่า ปีนี้ไม่ควรลงทุนหวือหวา โดยต้องมีเงินสดสำรองเพื่อรักษาสภาพคล่องอย่างน้อย 6-9 เดือนเผื่อกรณีต้องเปลี่ยนงานหรือเตรียมเงินสำรองเพื่อการใช้จ่ายที่มีการควบคุมหรือลดการใช้จ่ายควบคู่ไปด้วย โดยอาจแบ่งสัดส่วนการลงทุนในเงินฝากประมาณ 40-50%

ที่เหลือควรมองการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาลประมาณ 25-30% เพราะปีนี้คาดว่าแนวโน้มดอกเบี้ยคงไม่เคลื่อนไหวแรงมาก ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น ควรหลีกเลี่ยงหรือลดการลงทุนให้เหลือสัดส่วนน้อยที่สุด เช่น 5% หรือไม่เกิน 10% เพราะตลาดหุ้นยังมีความผันผวน กรณีของผู้มีเงินออมที่มีเม็ดเงินไม่มีภาระต้องนำออกใช้ในระยะ 2-3 ปี อาจเลือกลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผล

ขณะที่ทางเลือกลงทุนใน ''ทองคำ'' หรือ อสังหาริมทรัพย์ยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนโดยเฉพาะราคาทองคำ ซึ่งหากจะลงทุนต้องมีความระมัดระวัง

เช่นเดียวกับโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทหารไทยฯ แนะว่า ควรเพิ่มการถือครองเงินสดมากขึ้นกว่าในภาวะปกติ โดยเฉพาะระดับพนักงานทั่วไป ที่ปี 2552 ควรถือเงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 12 เท่า ของเงินเดือน หรือเท่ากับ 1 ปี 6 เดือน และหากสามารถถือเงินสดเพิ่มเป็น 2 ปีได้ยิ่งดี หลังจากนั้นถ้ามีเงินออมเหลือแล้วจึงไปลงทุนในช่องทางอื่น ๆ

โดยแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นขาลง และหากลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนก็ควรลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุยาวขึ้น เช่น 2-3 ปี แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว และต้องการสภาพคล่องสูง มีความจำเป็นต้องใช้เงินเมื่อฉุกเฉิน ก็ควรลงทุนในตราสารหนี้ อายุ 3-6 เดือน

****ลงทุน ''ทองคำแท่ง'' ระวังผันผวน

ทองคำแท่ง ปีนี้แม้แนวโน้มยังมีความผันผวน เพราะสถานการณ์ความไม่แน่นอนในต่างประเทศ และกองทุนเก็งกำไรที่ปั่นราคา แต่หากเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เห็นอัตราผลตอบแทนในระดับ 2 หลักมาโดยตลอด

เห็นได้จากปี 2551 หากเทียบระดับราคาของทองคำแท่งที่ราคาต่ำสุดขายออกบาทละ 12,200 บาท กับราคาสูงสุดที่บาทละ 15,450 บาท ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 26.64 % ซึ่งแม้ว่า กูรู ''จิตติ ตั้งสิทธิภักดี'' ผู้จัดการห้างทองจินฮั้วเฮง ในฐานะนายกสมาคมค้าทองคำ จะชี้ว่าราคาทองคำในปี 2551 ที่ขยับขึ้นไปเกินบาทละ 15,000 บาท เป็นราคาสูงสุดแล้ว แต่ในไตรมาสแรกของปีนี้ ยังมีโอกาสเห็นราคาทองคำแท่งที่บาทละสูงกว่า 14,500 บาท หรือมีโอกาสเห็นราคาทองคำในตลาดโลกสูงถึง 900 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ได้ จากปีก่อน (ปี 2551) ที่ราคาทองคำในตลาดโลกสูงสุดทะลุ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์

(ส่วนนี้สามารถตัดข้อมูลไปที่หน้า 14 ตั้งตารางรอไว้แล้ว)

****เจียด10%ซื้อประกันชีวิต

''ซื้อประกันชีวิต'' เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการออมและการลงทุนในปี 2552 ในช่วงที่ดอกเบี้ยเงินฝากแบงก์เข้าสู่ช่วง ''สาละวันเตี้ยลง '' จะหันไปลงทุนในตลาดหุ้น ก็กลัวเป็น ''แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ'' มิหนำซ้ำเศรษฐกิจแบบนี้ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย อะไรอดได้เป็นต้องอด

โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มต้นวัยทำงาน ต้องการเก็บเงินสร้างอนาคต จากเงินเดือนประจำเริ่มต้นที่รับมาอยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อเดือน ซื้อประกันชีวิตแบบไหนถึงจะคุ้มค่า

ทั้งไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายมากเกินไป และสามารถสร้างหลักประกันให้แก่ครอบครัวได้

''สาระ ล่ำซำ ''กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด และในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย ได้แนะนำแนวทางการบริหารเงินด้วยประกันชีวิตอย่าง คนมีหัวคิดทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปี 2552 ว่า คนที่จะซื้อประกันชีวิตต้องรู้ก่อนตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้างและคิดเป็นภาระค่าใช้จ่ายเท่าไหร่เทียบกับรายได้ แล้วจึงเลือก

แบบประกันชีวิตที่สามารถถอนกลับมาช่วยทดแทนภาระค่าใช้จ่ายให้คุ้มค่าที่สุด

ยกตัวอย่าง คนชั้นกลาง อายุ 20-35 ปี เริ่มมีรายได้ต่อเดือนไม่มากตั้งแต่ 15,000-25,000 บาท สามารถจัดพอร์ตบริหารเงินด้วยประกันชีวิตอย่างง่ายๆ ถ้ายังไม่เคยมีกรมธรรม์ประกันชีวิต ควรเริ่มต้นซื้อแบบประกันชีวิตมีความคุ้มครองสูงเป็นระยะเวลายาว เบี้ยประกันต่ำ และมีระยะเวลาจ่ายเบี้ยไม่ยาว ในช่วงภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น แบบประกันชีวิตตลอดชีพ (WHOLE LIFE INSURANCE) หากอยู่ครบอายุสัญญามีเงินคืน

ส่วนกลุ่มที่ต้องการเก็บออมในระยะสั้น เพื่อความมั่นคงในระยะยาว หรือในอนาคตมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการปรับเงินเดือนหรือโบนัส สามารถซื้อแบบประกันชีวิตที่จ่ายเบี้ยสูงขึ้น เน้นผลตอบแทนการออมเงินค่อนข้างสูงโดยเฉลี่ย 5-6% ตลอดสัญญาไม่เน้นความคุ้มครองชีวิตสูงมาก เช่น แบบประกันสะสมทรัพย์ (ENDOWMENT) ที่ให้ผลตอบแทนเงินคุ้มค่าสูงกว่าเงินฝากแบงก์

โดยเฉพาะในปีหน้าซึ่งผลตอบแทนจากผลิตภัณฑ์เงินฝากปรับตัวลดลงและไม่คงที่ โดยอาจจะเริ่มจากแบบประกันสะสมทรัพย์ระยะสั้น 5 ปี แต่ให้ความคุ้มครองสูงถึง 10 ปี และ 15 ปี มีเงินคืนในปีที่สัญญาที่ 2 นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีสูงถึง 100,000 บาท

ยังมีการออมเงินอีกรูปแบบหนึ่ง สำหรับผู้เอาประกันที่มีความรู้ด้านการลงทุนหรือคนรุ่นใหม่ที่สนใจการลงทุน ต้องการผลตอบแทนหวือหวา ไม่เน้นความคุ้มครองสูง ก็สามารถรอซื้อประกันชีวิตแบบใหม่ คือ ยูนิตลิงค์ ที่จะมาแรงในปีนี้ เพราะตลาดหุ้นอยู่ในช่วงต่ำที่สุด ถือเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนในอีก 2 ปีข้างหน้า

แต่ถ้าหากต้องสร้างหลักประกันในชีวิตในช่วงของวัยทำงานและต้องการความมั่นคงในยามเกษียณอายุ อีก 20-30 ปีข้างหน้า ต้องเป็น แบบประกันเพื่อการเกษียณ สามารถเริ่มออมเงินได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ดีกว่าเริ่มเมื่ออายุมาก

เบี้ยประกันชีวิตจริงๆ แล้วไม่แพงอย่างที่คิด เมื่อเทียบกับความคุ้มค่า ช่วงแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของผู้เอาประกันได้ในปีหน้าที่เศรษฐกิจไม่ดี สามารถซื้อได้ทุกช่องทางจำหน่าย แต่อย่าลืมว่า ให้เริ่มทยอยซื้อแบบประกันเหมาะสมตามกำลังทรัพย์ และตอบโจทย์ความต้องการแท้จริงเท่านั้น นายสาระกล่าว

ขณะที่ชวลิต ทองรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไอเอ็นจีประกันชีวิต จำกัด และในฐานะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ให้คำแนะนำถึงการจัดสัดส่วนการออมเงินเพื่อประกันชีวิตว่า ประชาชนควรแบ่งสัดส่วนเงินออมเพื่อความคุ้มครองจากประกันชีวิต คิดเป็น 10% ของรายได้หรือประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อเดือน และอีก 10% ของรายได้ ประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อเดือน นั้นเพื่อสะสมทรัพย์ ในรูปแบบประกันชีวิต เงินฝาก กองทุนรวมและหุ้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook