‘เสี่ยตา ปัญญา’ ขอโทษสังคมออนแอร์ ‘เอมเมอรัล’ ยันรู้เท่าไม่ถึงการณ์

‘เสี่ยตา ปัญญา’ ขอโทษสังคมออนแอร์ ‘เอมเมอรัล’ ยันรู้เท่าไม่ถึงการณ์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา เสนอข่าว ‘เสี่ยตา ปัญญา’ ขอโทษสังคมออนแอร์ ‘เอมเมอรัล’ ยันรู้เท่าไม่ถึงการณ์-ไม่มีเจตนาดูหมิ่นศักดิ์ศรีใคร วอนอย่าโยงนำเสนอเรียกเรตติ้ง กสทช.ชี้ผู้ผลิตรู้สึกเสียใจไม่พอ ต้องหามาตรการเยียวยาด้วย

วันที่ 11 มิ.ย. 56 คณะอนุกรรมการส่งเสริมการกำกับดูแลกันเอง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ประชุมพิจารณาเรื่องร้องเรียนรายการไทยแลนด์ก๊อตทาเลนท์ ซีซั่น 3 กรณี ‘สิทธัตถะ เอมเมอรัล’ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 เมื่อ 2 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมี นายปัญญา นิรันดร์กุล ประธานกรรมการบริษัทเวิร์คพ้อยท์ เอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด(มหาชน) นายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย นางนิมะ ราชิดี ผู้แทนสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และ รศ.อรุณีประภา หอมเศรษฐี ประธานสภาวิชาชีพกิจการแพร่ภาพและการกระจายเสียง(ประเทศไทย)

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการฯ เปิดเผยว่า การชี้แจงทั้ง 3 ฝ่ายในครั้งนี้ เพราะต้องการหาทางออกในด้านจริยธรรม จรรยาบรรณสื่อ และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อผลักดันให้มีการกำกับดูแลกันเองของวิชาชีพสื่อ จากการพูดคุยเห็นได้ชัดว่า ในตอนแรกทางเวิร์คพ้อยท์ และช่อง 3 ยังไม่รู้ว่ากรณีนี้จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ‘สื่อโทรทัศน์’ ยังขาดความรู้ความเข้าใจน้อยมากในเรื่องจรรยาบรรณ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ในระยะยาวจะต้องมีกระบวนการศึกษาและสร้างความเข้าใจเรื่องนี้ ซึ่งผลที่ได้จากการประชุม ได้ส่งเรื่องร้องเรียนนี้ไปยังสภาวิชาชีพกิจการแพร่ภาพและการกระจายเสียงฯ เพื่อไปกลั่นกรองพิจารณาว่ารายการฯ ขัดต่อหลักจริยธรรม หรือจรรยาบรรณตามข้อบังคับขององค์กรวิชาชีพหรือไม่อย่างไร ตามมาตรา 39 และ 40 ของพ.ร.บ.การประกอบกิจการฯ กสทช.ต้องส่งเสริมองค์กรวิชาชีพวินิจฉัยข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น โดยจะรอฟังผลประมาณ 1 – 2 สัปดาห์

“ไม่ว่าสุดท้ายแล้วลึก ๆ ผู้ประกอบการสื่อจะรู้สึกว่าการกระทำครั้งนี้จะเกิดความผิดพลาดหรือไม่ แต่ได้เกิดผลกระทบแล้ว 3 ระดับ คือ 1.ผลกระทบต่อผู้เข้าประกวดและครอบครัว  2. ผลกระทบต่อผู้ปกครองที่มีลูกหลานญาติเป็นผู้ที่มีความต้องการพิเศษ หรือเป็นกลุ่มคนที่มีความแตกต่างในสังคม ซึ่งพบว่าปัจจุบันมีอยู่กว่า 2 ล้านคนในประเทศไทย จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สื่อจะต้องทำความเข้าใจ และนำเสนออย่างสร้างสรรค์ และ 3. ยังมีผลกระทบความรู้สึกต่อคนดูที่เป็นประชาชนทั่วไปที่มองว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแรง กระทบความรู้สึกสูงต่อการสร้างทัศนคติเชิงลบในสังคม”

น.ส.สุภิญญา กล่าวต่อว่า คณะอนุฯ จึงให้การบ้านไปว่า การขอโทษหรือแสดงความรู้สึกเสียใจอาจจะยังไม่พอ แต่จะต้องมีมาตรการเยียวยาทางสังคมด้วย เพื่อจะสร้างบรรทัดฐานต่อไปในการกำกับดูแลของกสทช. เพราะหากเกิดวิกฤติศรัทธาต่อการกำกับดูแลกันเองของสื่อเกิดขึ้นและสังคมไม่เชื่อมั่น สังคมจะเรียกร้องรัฐให้เข้ามาใช้กฎหมายแรงและมากขึ้น แต่หากสภาวิชาชีพฯ ช่อง 3 และเวิร์คพ้อยท์ แสดงให้เห็นว่าสามารถร่วมหาแนวทางการกำกับดูแลกันเองได้จะเรียกความเชื่อมั่นต่อสังคมได้ว่าสื่อสามารถกำกับดูแลคนเองได้ระดับหนึ่ง ไม่เช่นนั้นสังคมจะเรียกร้องรัฐให้ใช้อำนาจควบคุมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสังคมในระยะยาวเลย

สำหรับรายการดังกล่าวจะขัดกฎหมายตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37 หรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกำกับเนื้อหาและผังรายการ ซึ่งพลโทพีระพงษ์ มานะกิจเป็นประธาน

ด้านนายปัญญา กล่าวขอโทษต่อข้อผิดพลาดดังกล่าวเกิดจากความรู้ไม่เท่าทันของบริษัท ซึ่งไม่มีเจตนาดูหมิ่นศักดิ์ศรีผู้ใด อย่างไรก็ตามยืนยันว่าจะระมัดระวังในการออกอากาศครั้งต่อไป พร้อมระบุว่า ไม่อยากให้โยงว่ารายการต้องการเรียกกระแสเรตติ้ง เพราะคิดว่ารายการมีรูปแบบการนำเสนอที่ดีอยู่แล้ว

ขณะที่นายสมรักษ์ กล่าวยอมรับไม่รู้ว่าเด็กพิเศษจะมีลักษณะอาการเช่นนี้ เพราะไม่ใช่แพทย์ ประกอบกับปัจจุบันวัยรุ่นล้วนมีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่จะเพิ่มมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดกว่านี้ 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักข่าวอิศรา 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook