ศธ.ปรับเพดานรายได้ครอบครัวเพิ่มสิทธิกู้เรียน

ศธ.ปรับเพดานรายได้ครอบครัวเพิ่มสิทธิกู้เรียน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว. ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ วันที่ 19 ม.ค.ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการบริหารกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้มีการยุบรวมทั้ง 2 กองทุนเข้าด้วยกัน โดยใช้ชื่อว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และ ให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกู้ยืมใหม่ โดยขยายเพดานเงินรายได้ต่อครอบครัวจากเดิม 200,000 บาทต่อปี ซึ่งในเบื้องต้นจะกำหนดใหม่เป็น 3 ระดับ คือ ขั้นที่ 1 เริ่มที่ 200,000 บาทต่อปี ขั้นต่อไปอาจจะ 250,000 บาท และ สุดท้ายไม่เกิน 300,000 บาท ทั้งนี้คณะทำงานจะไปกำหนดเพดานอีกครั้งหนึ่ง

 

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า สำหรับสาขาวิชาที่ขอกู้จะต้องเป็นสาขาวิชาที่ขาดแคลนที่กหนดไว้ ประมาณ 150 สาขา พร้อมกันนี้จะเพิ่มสัดส่วนผู้กู้ในสายอาชีพให้มากขึ้น จากเดิมที่มีผู้เรียนสายสามัญและอาชีพในสัดส่วน 60:40 เป็น 50:50 โดยเน้นการแนะแนวและการสร้างแรงจูงใจที่จะให้ผู้กู้ขอกู้ไปเรียนสายอาชีพมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้กู้ กรอ.รายเดิมให้ใช้เกณฑ์เดิมต่อไปจนจบการศึกษา ส่วนผู้กู้รายใหม่จะต้องใช้หลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งจะเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2552 นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบให้เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาที่ไม่ได้รับสิทธิการกู้เงินในชั้นปีที่ 1 สามารถยื่นขอกู้เงินได้ระหว่างชั้นปีที่ 2-4 รวมทั้งนักเรียน ม.ปลาย และ อาชีวศึกษาด้วย

 

อย่างไรก็ตามผมได้มอบหมายให้คณะทำงานไปจัดทำรายละเอียดว่า การยุบรวมกองทุนและการปรับปรุงหลักเกณฑ์เงินให้กู้ยืมดังกล่าวจะมีขั้นตอนการดำเนินการอย่างไรบ้าง หากจะต้องแก้ระเบียบ กฎหมาย หรือจะต้องนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนนายจุรินทร์กล่าวและว่า จากการสำรวจสถานภาพกองทุนพบว่า งบฯที่รัฐจัดสรรให้ในปีงบประมาณ 2552 มี 28,000 ล้านบาท กองทุนมีเงินเหลือ 22,000 ล้านบาท รวมเป็น 50,000 ล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นงบฯบริหารและเงินเดือน 1,000 ล้านบาท ดังนั้นจะมีเงินที่จะนำมาให้นักเรียน นักศึกษากู้ได้ถึง 49,000 ล้านบาท แต่ในปี 2551 มีการปล่อยเงินกู้เพียง 26,000 ล้านบาท ซึ่งตนเห็นว่ายังเป็นตัวเลขที่ต่ำอยู่มาก ดังนั้นในปีนี้ควรจะขยายจำนวนผู้กู้เพิ่มมากขึ้นอย่างน้อย 36,000 ล้านบาท.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook