ก.พาณิชย์ขอสีเขียวตรวจทุจริต - คุมสินค้าเกษตร อลงกรณ์ดึงอัศวินเป็น ปธ.ปราบโกงข้าวโพด
ส่วนการตรวจสอบการระบายข้าว จากรัฐบาลชุดที่แล้ว คงต้องเสนอผลการสอบสวนเข้า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้หนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อเสนอครม.ตั้ง กขช. ส่วนคณะกรรมการสอบสวนการระบายข้าว คาดว่าปลัดกระทรวงพาณิชย์จะเสนอผลสอบสวนข้อเท็จจริงมาประมาณปลายสัปดาห์นี้ นางพรทิวา กล่าว
แหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เหตุผลที่นางพรทิวา ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบปัญหาสินค้าเกษตร เพราะมีอำนาจสั่งการเรื่องกำลังทหาร และเป็นเลขา กอ.รมน.ดูแลด้านความมั่นคง การลักลอบตามชายแดนถือว่า เป็นเรื่องของความมั่นคงอย่างหนึ่ง ก็จะสามารถดำเนินการเอาผิดโดยเร็วและเข้าถึงผู้มีอิทธิพลทางการเมืองหรือในท้องถิ่น ประกอบกับการตรวจสอบของข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ มักเป็นการรายงานข้อเท็จจริง โดยไม่ระบุการกระทำผิดทางการเมือง เพราะเกรงเรื่องการต้องรวมรับผิดชอบด้วย และมักอ้างว่ากำลังดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนั้น แต่เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีเรื่องดังกล่าวก็ไม่ได้การสานต่อ โดยเฉพาะการพิจารณาเอาผิดกรณีอนุมัติระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลสมัยที่นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการอนุมัติแบบรวบรัดและขายต่ำกว่าทุนมาก จนทำให้รัฐเกิดความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ในการประชุมคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (บอร์ดอคส.) ที่มีนายถิระชัย วุฒิธรรม เป็นประธาน เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีมติเปลี่ยนรักษาผู้อำนวย อคส. จาก น.ส.ณัฐฐิรา ลิ่ววรุณพันธ์ รองผอ.อคส. เป็นนายพงษ์ภัฏ เรียงเครือ เป็นกรรมการหนึ่งในบอร์ดอคส. มีผลตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา โดยเป็นมติลับในการประชุมและอ้างเหตุผลว่า รักษาการเดิมมีภารกิจด้านแก้ต่างคดีความระหว่าง อคส.กับเอกชนค่อนข้างมาก ทำให้มีเวลาเพียงพอกับการทำงานปกติ ซึ่งขณะนี้ อคส.ต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องการสั่งการดูแลปัญหาตามโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรหลายชนิด ทั้งข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง และกำลังเตรียมรับจำนำปาล์มน้ำมันและยางพารา
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกับการรับจำนำโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2551/52 ครั้งที่ 1/2552 ว่า มติที่ประชุมตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อสอบสวนกรณีลักลอบและสวมสิทธิ์ข้าวโพด โดยมีพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธาน จะทำการตรวจสอบในพื้นที่เป้าหมาย 10 จังหวัดติดชายแดนและปริมาณรับจำนำข้าวโพดผิ ได้แก่ จ.ตาก เลย น่าน เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เชียงราย กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยภูมิ และนครราชสีมา ทั้งนี้ จะตรวจสอบในประเด็นปริมาณรับจำนำเกินโควต้าที่แจ้งไว้ ปริมาณครบถ้วนหรือไม่ ให้สิทธิเกษตรรับจำนำเกินโควตารายละ 1 แสนบาทหรือไม่ และมีการนำข้าวโพดต่างชาติสวมสิทธิ์หรือไม่
ได้รับรายงานเบื้องต้นว่ามี 2 - 3 จังหวัดนอกเหนือจากน่านและตาก (แม่สอด) ที่มีตรวจสอบมาก่อนหน้านี้ว่า มีพฤติกรรมทุจริตโครงการรับจำนำข้าวโพดจริง อนุกรรมการที่ตั้งขึ้นก็จะมีการเร่งรัดในการตรวจซ้ำและขยายพื้นที่ให้ครบ 10 จังหวัดที่มีการแจ้งเบาะแสมา หากพบว่าไม่ว่าใครกระทำผิดก็จะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายทันทีรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวว่า พร้อมกันนี้พิจารณาให้ขยายปริมาณรับจำนำข้าวโพดอีก 2.5 แสนตัน ในราคากิโลกรัมละ 8.50 บาท ใช้งบประมาณ 2,125 ล้านบาท จากที่มีขยายปริมาณรับจำนำจาก 5 แสนตัน อีก 2.5 แสนตัน ภายหลังตั้งรัฐบาลใหม่ เป็น 7.5 แสนตัน หากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 20 มกราคมนี้ ปริมาณรับจำนำเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท นอกจากนี้ได้เร่งรัดให้องค์การคลังสินค้า(อคส.) กรมการค้าภายใน(คน.) แก้ปัญหาความล่าช้าในการรับจำนำเพื่อเพิ่มความสะดวกให้เกษตรกร และธกส.ให้แก้ไขความล่าช้าในการออกใบประทวน
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า ปลายสัปดาห์นี้ จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการฯ อีกครั้ง เพื่อสอบถามความคืบหน้าและพิจารณาออกแนวทาง และมาตรการช่วยเหลือปัญหาผลผลิตตามข้อตกลงคอนแทคฟาร์มมิ่งกับ 3 ประเทศชายแดน ได้แก่ กัมพูชา ลาว และพม่า ซึ่งมีผลผลิตตามสัญญาคอนแทคฯ ปี 2551/52 รวม 1.24 ล้านตัน ในจำนวนนี้ กว่า 6.9 แสนตันผลิตที่กัมพูชา โดยปีผลิต 2550/51 มีผลผลิตรวม 3.18 แสนตันเท่านั้น แนวคิดในการแก้ไขอาทิ ส่งเสริมการตั้งบโรงงานผลิตเอธานอล หรือ โรงงานแปรรูปเพื่อส่งออกไปประเทศที่ 3 ใน 3 ประเ ทศดังกล่าว รวมทั้งให้เตรียมการในการระบายข้าวโพดที่รับจำนำในประเทศ ซึ่งขณะที่มียอดจำนำ 632,831 ตัน จากที่มีมติให้รับจำนำ 7.5 แสนตัน
เดิมนั้นปัญหาข้าวโพดนั้นไม่เกิด เพราะไทยผลิตได้ 3.6 ล้านตัน แต่ความต้องการใช้ 3.7 ล้านตัน ก็จะนำเข้าเล็กน้อย เพียงพอกันพอดี แต่เมื่อมีการส่งเสริมประเทศเพื่อนบ้าน ผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าจากแสนกว่าตัน เป็น 1.2 ล้านตันภายใน 2 ปี และในประเทศเองก็มีผลผลิตเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการล้นตลาด ที่สำคัญราคารับจำนำค่อนข้างสูงกว่าราคาตลาด ทำให้เกิดการเข้าโครงการมากขึ้นกว่าปกติ เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขและไม่เฉพาะข้าวโพดเท่านั้นยังเป็นเรื่องสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆด้วย กระทรวงพาณิชย์กำลังให้ข้าวโพดและมันสำปะหลังเป็นสินค้าควบคุมและใช้มาตรการห้ามเคลื่อนย้ายก่อนได้รับอนุมัติ ขอการอนุมัติผ่านมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ(กกร.)และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนาม นายอลงกรณ์ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า รายงานตัวเลขผลผลิตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่รายงานต่อที่ประชุมฯ พบว่าผลผลิตปี 2551/52 จะมี 3.744 ล้านตัน และเมื่อดูช่วงเวลาผลผลิตออกสู่ตลาด ช่วงก.ค.-ต.ค.2551 ประมาณ 68.94% พ.ย.-ธ.ค.2551 ประมาณ 24.68% และม.ค.-มิ.ย.2552 อีก 6.38% ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูการผลิต ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ผลผลิตจะเหลือตกค้างสูงถึง 2 ล้านตัน โดยคาดว่าจะเหลือผลผลิตอยู่ในมือเกษตรกรเพียง 2 แสนกว่าตันเท่านั้น ดังนั้น ปริมาณที่เหลือสูงถึง 2 ล้านตันนี้ ไปตกอยู่ในมือของใคร และหากมีการรับจำนำเพิ่ม จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใคร และจังหวัดเป้าหมายรับจำนำข้าวโพดมีทั้งสิ้น 20 จังหวัด แต่สั่งการให้ตรวจจเช็คตัวเลขรับจำนำผิดปกติใน 10 จังหวัด สะท้อนให้เห็นถึงการลักลอบที่ค่อนข้างสูง
นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนกุล อุปนายกสมาคมข้าวไทยและประธานชมรมโรงสีข้าวจังหวัดพิจิตร กล่าวถึงกรณีข่าวมีโรงสีบางแห่งของ จ.พิจิตร นำรายชื่อเกษตรกรชาวนาที่มีนาแต่ไม่ได้ทำนาปี 2550/2551 เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนาปี เพื่อเป็นการสวมสิทธิกินส่วนต่างในโครงการรับจำนำข้าวว่าเป็นไปได้ยาก เพราะขั้นตอนของเกษตรกรที่จะไปเบิกเงินของเกษตรกรที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่ง จ.พิจิตร ผลิตข้าวนาปี ปีละ 1 ล้านตัน ขณะนี้การจำนำเพิ่งออกไปแค่ 2 แสนตันเศษเท่านั้นยังไม่เข้าเกณฑ์เป้าหมาย ยังห่างค่อนข้างมาก การที่โรงสีจะนำรายชื่อเกษตรกรชาวนาสวมสิทธิ เป็นไปได้ยากมาก เชื่อว่าทุกโรงสีใน จ.พิจิตร พร้อมจะให้ตรวจสอบอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าว จ.น่าน รายงานความคืบหน้าโครงการจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีปัญหาไม่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกรว่า กลุ่มเกษตรกรจาก อ.ภูเพียง และ อ.เวียงสา กว่า 70 คน ขอคำชี้แจงจากผู้ว่าราชการจังหวัดน่านที่ศาลากลางจังหวัดน่าน ระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการจัดคิวเข้าโครงการจำนำข้าวโพดรอบสอง จ.น่าน ได้โควต้า 31,943 ตัน เฉลี่ยให้เกษตรกรรายละไม่เกิน 100,000 บาท โดยเกษตรกรหลายรายที่ได้รับบัตรคิวไป แต่ขายผลผลิตไปก่อนหรือมอบสิทธิให้กับพรรคพวก สงสัยว่าเกษตรกรเหตุใดให้สิทธิกับผู้ประกอบการค้าข้าวโพดได้รับสิทธิ์ออกใบประทวน ทำให้เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่เดือดร้อน ต่อมา นายเรืองเดช จอมเมือง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)น่าน ในฐานะผู้ประสานงานสมาพันธ์เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดจ.น่าน มารับฟังปัญหาและระบุว่า สาเหตุเพราะเกษตรกรส่วนหนึ่งยอมให้ผู้ประกอบการค้าข้าวโพด จากการตรวจสอบพบดำเนินคดีไปแล้วหลายราย จึงอยากให้ตรวจสอบการทุจริตอย่างเข้มงวดและนำส่วนแบ่งมาเฉลี่ยให้เกษตรกรที่เหลือ
ต่อมา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย มาชี้แจงกลุ่มเกษตรกรว่า ปัญหาโครงการจำนำข้าวโพด ตามมติของคณะกรรมการแก้ไขผลผลิตเกษตรกร จ.น่าน ให้สิทธิกับคนที่เอาข้าวโพดไปฝากที่โกดังเพื่อรอออกใบประทวนแต่ไม่ทันในรอบแรกก่อน 1,369 ราย หรือผลผลิต 21,254 ตัน ให้เกษตรกรจำนำข้าวโพดคนละ 11 ตัน หรือมูลค่าคนละไม่เกิน 100,000 บาท เพราะฉนั้นทางสมาพันธ์ผู้ปลูกข้าวโพดและเกษตรกรต้องไปตรวจสอบว่าในจำนวน 21,254 ตันที่เกิน 100,000 บาทมีกี่อยู่ราย แล้วเอาส่วนนี้กระจายให้เกษตรกรรายอื่นๆ ส่วนที่เหลือจากสิทธิได้คิวดังกล่าวคาดว่าไม่เพียงพอ ขอให้จ.น่านทำหนังสือขอขยายโครงการจำนำรอบที่ 3 อีก เพราะมีความจำเป็นตามมติคณะรัฐมนตรีบอกไว้ โดยตนจะรับภาระไปประสานงานขอเพิ่มจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ ขอชี้แจงว่าโควต้าจำนำข้าวโพดรอบ 2 นี้ จ.เพชรบูรณ์ และจ.ตาก ถูกตัดสิทธิไม่ได้รับส่วนแบ่งด้วย เนื่องจากลักไก่จำนำไว้ในรอบแรก ที่จ.ตาก กว่า 200,000 ตัน และจ.เพชรบูรณ์ 130,000 ตัน แต่ยังมีผลผลิตเหลืออยู่และรอเข้าโครงการจำนำรอบใหม่อีก