ครม.อนุมัติลดค่าครองชีพ ปชช. ทั้งน้ำ-ไฟ-ค่าโดยสาร เดินหน้าแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อ --------------------

ครม.อนุมัติลดค่าครองชีพ ปชช. ทั้งน้ำ-ไฟ-ค่าโดยสาร เดินหน้าแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อ --------------------

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ครม.อนุมัติลดค่าครองชีพ ปชช.- เดินหน้าแผนฟื้นฟู ศก. คลัง-สภาพัฒน์ ชง ครม.ก๊อก 2 กระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งลดภาษีซื้อบ้าน-ลดภาษีเหมาจ่ายเอสเอ็มอี-กระตุ้นท่องเที่ยว พร้อมขออีก 1.3 หมื่นล้าน อุ้มราคาข้าวโพด-ยาง-ปาล์ม แต่เมินอ้อย อ้างมีกลไกดูแลแล้ว แรงงานชงครม. 20 ม.ค.ชดเชยตกงานจ่ายเพิ่มจาก 6 เป็น 8 เดือน ดึงทีมศก.ป้อนข้อมูลโฆษกฯ

คลิกอ่าน ... กรณ์เปิดแผนลดภาษีก๊อก 2 กระตุ้นเศรษฐกิจ สภาพัฒน์เสนอฟื้นท่องเที่ยว

ครม.อนุมัติลดค่าครองชีพ ปชช.- เดินหน้าแผนฟื้นฟู ศก.

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มกราคม ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเดินหน้าแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น การขยายวงเงินแทรกแซงสินค้าเกษตร ข้าวโพด ปาล์มและยางพารา ส่วนเรื่องการท่องเที่ยว มีมติให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า อุทยานและราคาค่าธรรมเนียมการจอดเครื่องบิน โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับ ผิดชอบเรื่องนี้

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรียังอนุมัติการลดค่าครองชีพของประชาชน รถเมล์ รถไฟและค่าน้ำประปา โดยค่าน้ำประปากำหนดให้ผู้ใช้ไม่ถึง 30 คิวต่อเดือน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งจะขยายไปถึงระบบประปาท้องถิ่น ส่วนค่าไฟสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบกลางปีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 28 มกราคมนี้

ชงลดภาษีอสังหาฯ-เอสเอ็มอี

นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 มกราคมว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 20 มกราคม รัฐบาลจะมีการเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อสมทบมาตรการงบฯกลางปี 1 แสนกว่าล้านบาท มาตรการดังกล่าว ประกอบด้วยมาตรการการเพิ่มการลดหย่อนภาษี โดยให้นำเงินต้นที่ใช้ผ่อนชำระมารวมกับดอกเบี้ยเงินกู้อสังหาริมทรัพย์มาหักลดหย่อนได้เพิ่ม การลดภาษีเหมาจ่ายขั้นต่ำให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อปีซึ่งมีประมาณ 1 ล้านราย

นายกรณ์กล่าวว่า ส่วนการกระตุ้นการท่องเที่ยวจะเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับเอกชนที่จัดสัมมนาภายในประเทศ และยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ นอกจากนี้ จะเสนอ ครม.ให้พิจารณาเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จากมาตรการ 5 มาตรการ 6 เดือนเพื่อลดค่าครองชีพประชาชน เป็นต้น

สศช.เสนอแผนฟื้นท่องเที่ยว

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) จะเสนอ ครม.วันที่ 20 มกราคม ถึงมาตรการช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยว เช่น การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า 3 เดือน การให้ส่วนราชการจัดฝึกอบรม ประชุมสัมมนาในประเทศแทนไปต่างประเทศ เป็นต้น

ส่วนมาตรการเรื่องการยกเว้นภาษีและลดภาระเงินกู้ให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวนั้น นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง จะเสนอต่อที่ประชุม ครม.เอง ส่วนมาตรการป้องกันการปิดสนามบินในอนาคต และการขอความร่วมมือภาคเอกชนในการลดค่าบัตรโดยสาร เป็นหน้าที่ของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่จะต้องไปหาข้อสรุปมานำเสนอ แหล่งข่าวระบุ

ขออีก 1.3 หมื่นล้าน จำนำ 3 สินค้าเกษตร

แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนี้ สศช.จะเสนอให้ ครม.เห็นชอบการเพิ่มวงเงินรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรอีก 13,580.75 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินกู้ 12,625 ล้านบาท และเงินจ่ายขาด 955.75 ล้านบาท สำหรับสินค้า 3 ชนิด คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน และยางพารา โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะเพิ่มปริมาณการรับจำนำอีก 250,000 ตัน จากเดิม 750,000 ตัน ซึ่งต้องขอเงินเพิ่มเติม 2,310.75 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม-31 มีนาคม 2552, ปาล์มน้ำมัน เพิ่มปริมาณมูลภัณฑ์กันชนอีก 100,000 ตัน จากเดิม 100,000 ตัน ต้องขอเงินเพิ่ม 3,000 ล้านบาท เริ่ม 1 มีนาคม- 31 ตุลาคม 2552 โดยเงินกู้ที่ใช้ในการรับซื้อน้ำมันปาล์ม 1 แสนตันแรกนั้น จำเป็นต้องมีการแก้ไขสัญญาที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กู้จากธนาคารพาณิชย์ 110,000 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมน้ำมันปาล์มด้วย ส่วนยางพาราให้มีการรับซื้อยางสด และยางแผ่นดิบ เพื่อแปรรูปสร้างมูลค่าจำนวน 2 แสนตัน ใช้วงเงินรวม 8,270 ล้านบาท เริ่ม 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2552

ให้ถอนอ้อย-มีกลไกดูแลแล้ว

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับสินค้าอ้อย สศช.ระบุไว้ว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ครั้งที่ผ่านมา ได้พิจารณาให้ถอนสินค้าอ้อยออกไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นสินค้าที่มีกลไกดูแลเรื่องราคาและแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างเกษตรกรกับโรงงานอย่างชัดเจน และหากกระทรวงอุตสาหกรรมต้องการขอรับการสนับสนุนเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำให้ชาวไร่อ้อย ขอให้จัดทำข้อเสนอต่อ ครม.ในภายหลัง

มาร์ค พบนักลงทุนต่างประเทศ

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้จัดงาน นายกรัฐมนตรีพบนักลงทุน เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่โรงแรมดุสิตธานี โดยเชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Rising above the Challenge มีนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศประมาณ 650 คนเข้ารับฟังนโยบายการทำงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและแนวทางการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

นายอภิสิทธิ์เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายเอาไว้ โดยที่ผ่านมาได้ออกมาตรการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยยืนยันว่าผู้ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินได้นั้นจะต้องเป็นภาคเอกชน ขณะที่ภาครัฐจะเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุน โดยรัฐบาลยืนยันที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น โดยจะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มีการเลือกปฏิบัติว่าเป็นคนกลุ่มใดก็ตาม รวมทั้งที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเร็วๆ นี้ จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม

การทำงานขงรัฐบาลจะเน้นการสร้างความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้นักลงทุนรับทราบว่าประเทศไทยมีความเสมอภาค แต่จะมีการแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ เพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจทั้งหมด แต่เชื่อว่าน่าจะเสริมสร้างความมั่นใจในประเทศไทยได้ นายกฯระบุ

เดินสายญี่ปุ่น - ขอ 3 เดือนดึงเชื่อมั่นคืน

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในวันที่ 20 มกราคมนี้ คาดว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีการพิจารณางบประมาณเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อที่จะนำเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ในวันที่ 28 มกราคม หากผ่านการพิจารณาจะสามารถนำงบฯไปใช้ได้ในเดือนมีนาคม-เมษายน ส่วนมาตรการการเพิ่มสิทธิประโยชน์และภาษีนั้น จะมีการพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารพาณิชย์เพื่อออกแพคเกจในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากมีการดำเนินการดังกล่าวคาดว่าตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2552 อัตราการขยายตัวของประเทศก็น่าจะดีขึ้น

ประมาณปลายเดือนมกราคม ผมจะไปร่วมประชุม World Economic Forum ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งจะมีการปาฐกถาพิเศษ โดยจะชี้แจงการทำงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และหลังจากนั้นประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะไปญี่ปุ่นเพื่อพบกับนักลงทุน เพราะญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มาลงทุนในไทยมาก คาดว่าในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าความมั่นใจของไทยในสายตานักลงทุนจากต่างประเทศน่าจะดีขึ้น

ไม่แก้กม.ต่างด้าว-ขอทบทวน

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันที่จะรักษาแนวทางการเปิดตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และการเปิดการค้าเสรี แม้ว่าช่วงที่ผ่านมามีความท้าทายบางอย่างที่ทำให้เกิดความสับสน เช่น ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ที่รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่แก้ไข แต่อาจจะทบทวนเท่าที่จำเป็น โดยยึดกรอบว่าจะไม่ละเมิดข้อตกลงการค้า ทั้งที่เป็นทวิภาคีและพหุภาคี โดยจะให้การแข่งขันมีความเป็นธรรม และจะทำให้มีการใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าให้มากขึ้น โดยเฉพาะการค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการใช้กฎหมายนี้มากนัก นอกจากนี้ จะผลักดันกฎหมายค้าปลีกค้าส่ง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่-เล็กอยู่ร่วมกันได้ และจะทำให้ไม่มีปัญหาการเมืองเหมือนที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่จะให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม และมาตรการช่วยเหลือคนว่างงาน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ตอบว่า มาตรการที่นำออกมาใช้เชื่อว่าจะช่วยได้ส่วนหนึ่ง และจะมีมาตรการทยอยออกมาอีก

ปัดกู้นอกแสนล.พยุงเศรษฐกิจ

นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์หลังปาฐกถา ว่า เชื่อว่านักลงทุนหลายคนคงจะเห็นทิศทางและแผนงานของรัฐบาลที่ชัดเจน และมีความเชื่อมั่นในประเทศไทยมากขึ้น ตนต้องการยืนยันว่าประเทศไทยยังมีจุดแข็งและความเข้มแข็งเหมือนเดิม ขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ หวังว่าจะเริ่มปฏิบัติได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี พร้อมกันนี้จะมีการเตรียมแผนสำรองอยู่ตลอดเวลา เพราะต้องทำงานบนความไม่ประมาท โดยนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง จะไปดูแหล่งเงินทุนในกรณีที่ประเทศต้องการเม็ดเงินเข้ามาเสริม รวมทั้งจะดูโครงการที่จะเริ่มปูทางไปสู่แผนเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาวต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวรัฐบาลอาจกู้จากต่างประเทศถึง 1 แสนล้านบาท นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดชัดเจนถึงตัวเลขขนาดนั้น และเข้าใจว่ากระทรวงการคลังคงจะคำนวณตัวเลขอยู่

ออกตัวสนองตปท.ไม่ได้หมด

ส่วนกรณีที่นักลงทุนเสนอให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายเพื่อขยายเวลาการถือครองที่ดินของคนต่างด้าวนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เท่าที่เคยติดตามและประเมินผล สิ่งสำคัญกว่าคือการสร้างความแน่นอนในการบังคับใช้กฎหมาย นักลงทุนไม่มั่นใจว่าเราบังคับใช้กฎหมายอย่างไรในหลายๆ เรื่อง เช่น การถือครองที่ดิน การถือครองคอนโดมิเนียม ฯลฯ ถือว่าเป็นปัญหามากและนักลงทุนเรียกร้องหลายอย่าง ไม่เชื่อว่าจะสามารถตอบสนองได้ทั้งหมด แต่อะไรก็ตามที่เป็นกติกาก็จะดำเนินการให้เกิดความชัดเจน ไม่ให้มีปัญหาจนกลายเป็นช่องโหว่และช่องว่างในที่สุด

เรื่องการแก้ไขกฎหมาย วันนี้ยังไม่ได้คุยกัน เป็นเพียงข้อเรียกร้องที่ทราบมานาน ผมคิดว่าเรื่องการขยายจำนวนปีอาจไม่สำคัญเท่ากับการเขียนกฎหมายแล้วปฏิบัติอย่างไร คนต่างด้าวมักเจอปัญหาบ่อยๆ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีการเรียกร้องเข้ามา นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่างชาติระบุยังติดภาพลบไทย

นายนานเดอร์ จี ฟอน เดอ ลูเฮ (Nandor G Von der Luehe) ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าวว่า การปาฐกถาของนายกรัฐมนตรีสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้ระดับหนึ่ง ช่วยให้เกิดความมั่นใจในการทำธุรกิจในไทยมากขึ้น การที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทำงานเพียง 12 วัน แต่ได้ทำงานคืบหน้าไปมากนั้น น่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจต่อประเทศไทยระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การสร้างความเชื่อมั่นไม่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน ฉะนั้น ภาครัฐควรเร่งทำงานเพื่อให้ต่างชาติมองเห็นว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศมีความชัดเจน และเป็นรูปธรรม

การที่นายกรัฐมนตรีระบุว่ารัฐบาลนี้จะใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ทำให้รู้สึกค่อยๆ เชื่อมั่นมากขึ้น แต่จากภาพที่ผ่านมา ไทยมีภาพที่ติดลบมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และนักลงทุนไม่ได้มองเฉพาะสิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดเท่านั้น แต่มองอดีตที่ผ่านมาด้วย นายเดอ ลูเฮ กล่าว

กระตุ้นเปิดเสรีภาคบริการ

อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นเชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ แต่เศรษฐกิจโลกมีปัญหารัฐบาลไทยต้องทำงานให้มากขึ้นในการดึงนักลงทุนรายใหม่เข้ามา สำหรับสมาชิกของหอการค้าต่างประเทศมองสิ่งที่เกิดขึ้นในไทยเป็นมุมบวก เพราะเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคงเข้ามาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้

ส่วน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะไม่แก้ไข ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าวว่า รู้สึกพอใจ และจะมีการตั้งกรรมการปรับปรุงบัญชีแนบท้ายทุกปี ซึ่งควรเปิดเสรีในธุรกิจภาคบริการให้มากขึ้นกว่านี้ เพราะในอดีตที่ผ่านมา บีโอไอได้ให้สิทธิประโยชน์กับภาคการผลิตมาแล้ว นับจากนี้ก็ควรให้สิทธิต่างชาติกับภาคบริการด้วย

สอท.จี้โรดโชว์-ชี้บีโอไอปีนี้ต่ำเป้า

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จากการที่ได้รับฟังนายกรัฐมนตรีพูดในวันนี้ เห็นว่านายกฯควรออกมาให้ข้อมูลนักลงทุนบ่อยๆ เพราะจะได้ผลทางจิตใจ แม้จะไม่เห็นผลในการลงทุนทันที แต่จะเห็นในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ไป ภาวะการค้าการลงทุนของไทยน่าจะดีขึ้น และในวันที่ 27 มกราคมนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะจัดเวทีในลักษณะคล้ายกันให้นายกรัฐมนตรีได้แถลงแนวทางและนโยบาย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ โดยจะมีเอกอัครราชทูต ทูตพาณิชย์และนักลงทุนต่างชาติเข้ารับฟัง และนายกรัฐมนตรีสามารถอธิบายข้อมูลให้ต่างชาติเข้าใจได้เป็นอย่างดี

นายสันติกล่าวว่า การขอรับส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปีนี้ที่ตั้งเป้า 650,000 ล้านบาท คงเป็นไปได้ยาก ต้องใช้ความพยายามมาก เพราะนักลงทุนญี่ปุ่นและยุโรปต่างมีปัญหา หากได้ยอด 400,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับปี 2551 ก็ถือว่าน่าพอใจ และเงินลงทุนโดยตรงหากไม่ลดลงจากปีก่อนก็ถือว่าน่าพอใจเช่นกัน ทั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจคงต้องทำงานหนัก และต้องโรดโชว์ให้มากขึ้น

แรงงานชงครม.ว่างงานจ่ายเพิ่มเป็น 8 เดือน

นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า วันที่ 20 มกราคม กระทรวงจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขยายระยะคุ้มครองสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจาก 6 เดือน เป็น 8 เดือน โดยสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ยังคงจ่ายในอัตราร้อย 50 ของเงินเดือน หลังได้รับอนุมัติจะแก้ไขกฎหมายประกันสังคม และประกาศใช้ต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมการ สปส. จะมีการประชุมเพื่อลดส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม รวมทั้งจะมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อวางแนวทางการดำเนินโครงการตามที่ ครม.อนุมัติวงเงิน 6,900 ล้านบาทด้วย

เ ตือนไทยเจอเงินเฟ้อติดลบ4เดือน

นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2552 ไทยอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืดชั่วคราว จากการที่เศรษฐกิจไทยติดลบในไตรมาส 1 เนื่องจากงบฯกลางปี 1.16 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่มีผล แต่จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะติดลบติดต่อกัน 4 เดือน ในครึ่งแรกปีนี้ จากฐานเงินเฟ้อที่สูงมากจากราคาน้ำมันในปีก่อนหน้า โดยเงินเฟ้อเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 0.9% ส่วนเงินบาทจะอ่อนค่าลงในครึ่งแรกไปแตะระดับ 37 บาทดอลลาร์สหรัฐตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ก่อนกลับมาแข็งค่าในช่วงครึ่งหลัง

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. (คณะกรรมการนโยบายการเงิน) จะปรับลดต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีแรกที่ 1% ต่ำมากเป็นประวัติการณ์ เมื่อเทียบกับวิกฤติปี 2540 ที่ดอกเบี้ยต่ำสุดที่ 1.25% แต่ถ้าครึ่งปีแรก เศรษฐกิจยังเลวร้ายกว่าที่คาด อาจเห็นดอกเบี้ยต่ำกว่า 1% ในปีนี้ และคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะโตได้ 1.3% จากการดำเนินนนโยบายการเงินการคลังอย่างเต็มที่ โดยการส่งออกอาจติดลบ 5% นางสาวอุสรากล่าว

ดึงทีมเศรษฐกิจป้อนข้อมูลโฆษกฯ

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ต่อไปจะมีทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ เข้ามาชี้แจงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เริ่มจากเศรษฐกิจระยะสั้นถึงระยะยาว โดยทีมเศรษฐกิจนี้รัฐบาลดึงมาจากหน่วยงานที่มีข้อมูลและรับผิดชอบโดยตรง มีหน้าที่ชี้แจงมาตรการต่างๆ หลังจาก ครม.อนุมัติแล้ว เพื่อป้อนข้อมูลให้สื่อ โดยทำงานประสานงานกับทีมโฆษกรัฐบาลที่จะชี้แจงในภาพรวม และจะจัดทีมแบบเดียวกันในเรื่องต่างประเทศ เรื่องความมั่นคงตามความเหมาะสม เพื่อชี้แจงในประเด็นที่ประชาชนสนใจ โดยรัฐบาลมีนโยบายว่าต้องให้ข้อมูลอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลได้เดินตามแนวทางที่วางไว้ และหากเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในข้อมูลต่างๆ จะเป็นแรงสะท้อนกลับไปยังรัฐบาลให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook