ธ.กรุงเทพ ชี้ตลาดตราสารหนี้แนวโน้มปรับตัวขึ้น
ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองสัปดาห์นี้เป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะพันธบัตรที่มีอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ซึ่งพันธบัตรที่เป็น Benchmark (LB145B และ LB183B) ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากเช่นเดิม
วันอังคารที่ 13 ม.ค. กระทรวงการคลังประกาศเพิ่มวงเงินกู้ผ่านพันธบัตรเป็น 6 แสนล้านบาทจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 4.5 แสนล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายทำงบประมาณกลางปีเพิ่มขึ้นอีก 1.2 แสนล้านบาท โดยจะเน้นการออกพันธบัตรระยะสั้นอายุ 2-3 ปี เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งลดวงเงินพันธบัตรออมทรัพย์เหลือ 1 หมื่นล้านบาท จากเดิม 6 หมื่นล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยขาลง เป็นผลให้นักลงทุนขายทำกำไรในพันธบัตรที่อายุใกล้เคียงกันนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนจึงปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ 2-22 bps.
วันพุธที่ 14 ม.ค. คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติลดอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ลง0.75% สู่ระดับ 2.00% หลังมองว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงต่อการขยายตัว จึงต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามถึงแม้การปรับลดครั้งนี้จะมากกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ แต่อัตราผลตอบแทนในตลาดกลับปรับตัวสูงขึ้นจากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน จะมีเพียงพันธบัตรระยะสั้นที่มีอายุไม่เกิน 14 วันเท่านั้นที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2.00%
วันพฤหัสบดีที่ 15 ม.ค. ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศลดดอกเบี้ยอีกครั้ง 0.5% มาที่ 2.00% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากข้อมูลแสดงแนวโน้มเศรษฐกิจเขตยูโรโซนชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนจึงมองว่าท้ายที่สุด ECB จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงมาที่ 1% ขณะที่นายทริเชต์ส่งสัญญาณว่า การลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปอาจจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงเดือนมี.ค.
ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ผลตอบแทนปรับตัวลดลง 1-5 bps. จากแรงซื้อของนักลงทุน เนื่องจากนักลงทุนมองว่าอัตราผลตอบแทนที่ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอดทั้งสัปดาห์นั้นถึงระดับที่น่าลงทุน
สำหรับการซื้อขายหุ้นกู้ในสัปดาห์นี้ หุ้นกู้ที่มีอัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ AIS131A (Premium ปรับเพิ่มขึ้น 278.57%), LH104A (Premium ปรับเพิ่มขึ้น 258.33%), HCT10DA (Premium ปรับเพิ่มขึ้น 233.85%)
โดยรวมตลอดทั้งสัปดาห์อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ปรับตัวสูงขึ้นทุกช่วงอายุ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 4-45 bps. โดยอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสูงสุด และตราสารหนี้ที่อายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้นน้อยที่สุดนั่นเอง
ในสัปดาห์หน้ามีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุคงเหลือ 9.14 ปี (LB183B) จำนวน 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นพันธบัตรที่มีนักลงทุนขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้นหากผลประมูลที่ออกมานั้นมีส่วนต่างระหว่างอัตราประมูลต่ำสุดและสูงสุดค่อนข้างกว้าง อีกทั้งยังมีนักลงทุนยังคงเทขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง เส้นอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้น่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้