ศธ.แจกไม่อั้น ควัก1.3หมื่นล้านใช้แจกนมฟรีเพิ่มถึง ป.5-6 แถมจ่ายอีกหมื่นล้านปล่อยกู้นศ. 3.53แสนคน

ศธ.แจกไม่อั้น ควัก1.3หมื่นล้านใช้แจกนมฟรีเพิ่มถึง ป.5-6 แถมจ่ายอีกหมื่นล้านปล่อยกู้นศ. 3.53แสนคน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
รัฐบาลควักอีก 1.3 หมื่นล้านแจกเด็กนักเรียน ใช้ 3 พันล้าน แจกนมฟรีเพิ่มถึงเด็กป.5-6 เริ่มภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษาหน้า พร้อมไฟเขียวอีก 1 หมื่นล้านให้กยศ.ปล่อยกู้ให้เรียน คาดนศ. 3.53 แสนคนได้อานิสงส์ ดึงเด้กมุสลิมชายแดนใต้ได้โอกาสกู้ผ่านธ.อิสลามด้วย

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มกราคม มีมติอนุมัติให้ขยายโครงการจัดงบประมาณให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนให้นักเรียนดื่มนมฟรี จากเดิมชั้นอนุบาล-ป.4 เป็นอนุบาล-ป.6 พร้อมกันนี้ ครม.ยังได้อนุมัติให้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ขยายวงเงินให้กู้ยืมสำหรับผู้กู้รายใหม่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอีก 10,000 ล้านบาท จากเดิม 26,000 ล้านบาท รวมวงเงินที่จะปล่อยกู้ทั้งสิ้น 36,000 ล้านบาท

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุม ครม. ว่า การขยายโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ให้ครอบคลุมไปถึงชั้นป.5 และ ป.6 ด้วย จะทำให้มีนักเรียนได้ดื่มนมเพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านคน รวม 7 ล้านคน จะต้องใช้งบเพิ่มขึ้นกว่า 3,000 ล้านบาท รวมงบฯในโครงการดื่มนมฟรีประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยจะจัดสรรงบฯผ่าน อปท. เหมือนเดิม และจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2553 หรือในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ที่จะถึง อย่างไรก็ตาม ในช่วงภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 ที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ จะขอความร่วมมือจากอปท.ที่มีความพร้อมให้จัดสรรงบฯจัดซื้อนมให้ครอบคลุมนักเรียนป.5 และป.6 ด้วย

นายจุรินทร์ กล่าว ว่า นอกจากนี้ กยศ.จะขยายวงเงินให้กู้ยืมแก่ผู้กู้รายใหม่ในปีงบประมาณ 2552 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอีก 10,000 ล้านบาท จากเดิม 26,000 ล้านบาท รวมวงเงินที่จะปล่อยกู้ทั้งสิ้น 36,000 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน นักเรียน นักศึกษาที่เป็นผู้กู้รายใหม่ 353,000 คน โดยวงเงินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากผู้กู้ชำระคืนแก่กองทุนกยศ. ทั้งนี้ เพื่อขยายจำนวนผู้กู้ที่ยากจนและด้อยโอกาสได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล

นายจุรินทร์ กล่าวว่า การปล่อยกู้ให้กับผู้กู้รายใหม่ดังกล่าวจะมีการสร้างแรงจูงใจให้มาเรียนสายอาชีพมากขึ้น โดยกำหนดสัดส่วนการให้กู้ระหว่างสายอาชีพและสายสามัญเป็น 50 : 50 จากเดิม 40 : 60 ซึ่งจะครอบคลุมทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จนถึงระดับอุดมศึกษา จำนวน 400 สาขา ทั้งนี้ วงเงินดังกล่าวสามารถกู้ได้ตั้งแต่ระดับม.ปลาย ปวช. ปวท.ปวส. อนุปริญญา และปริญญาตรีตั้งแต่ชั้นปีที่ 1-4

ผู้ที่เคยยื่นความจำนงขอกู้แต่พลาดหวังในชั้นปี่ที่ 1 รวมถึงผู้ที่ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจสามารถยื่นกู้ได้ อย่างไรก็ตาม นักเรียนในระดับม.ปลายกู้ได้เฉพาะค่าครองชีพเท่านั้น เนื่องจากค่าเล่าเรียนรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเรียนฟรี 15 ปีให้แล้ว รัฐมนตรี ศธ.กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ผู้กู้รายใหม่จำนวน 353,000 คนดังกล่าว แบ่งสัดส่วนการให้กู้ตามระดับการศึกษาดังนี้ ระดับม.ปลาย จำนวน 106,000 คน ปวช. 111,000 คน ปวท./ปวส. จำนวน 53,000 คน และอนุปริญญา/ปริญญาตรี จำนวน 83,000 คน นอกจากนี้ เพื่อขยายโอกาสให้กับนักเรียน นักศึกษาชาวไทยมุสลิมที่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากขึ้น ครม.จึงมีมติให้ขยายช่องทางการกู้เงินให้กับนักเรียน นักศึกษามุสลิมได้กู้เงินผ่านทางธนาคารอิสลามด้วย โดยกยศ.จะต้องประสานกับธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามต่อไป

รัฐมนตรีว่าการ ศธ. กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมครม.ยังได้เห็นชอบให้กำหนดระยะเวลาการโอนเงินกู้กยศ.ให้กับนักเรียน นักศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาเด็กได้รับการโอนเงินล่าช้า โดยนับตั้งแต่มีการยื่นสัญญากู้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ นักเรียน นักศึกษาต้องได้เงินกู้ค่าครองชีพภายในวันที่ 31 พฤษภาคม และนักเรียน นักศึกษาที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจะต้องได้รับเงินค่าลงทะเบียนเรียนภายในวันที่ 15 มิถุนายน และงวดสุดท้ายจะต้องได้รับไม่เกิน 3 เดือนนับตั้งแต่วันที่ยื่นกู้ ส่วนเรื่องการเพิ่มโอกาสการชำระเงินกู้คืนนั้น ที่ประชุมครม.ได้เห็นชอบให้มีการเพิ่มทางเลือกในการชำระหนี้คืนจากเดิม 15 ปี เป็น 20 ปี โดยให้ผู้กู้ตกลงกับกยศ.เป็นรายกรณี ซึ่งขณะนี้มีผู้กู้ที่ครบกำหนดชำระหนี้แต่ไม่สามารถใช้หนี้คืนได้ตามกำหนด จำนวนประมาณ 500,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 30 เป็นเงินมูลค่า 7,000 ล้านบาท การขยายช่องทางการชำระหนี้คืนนี้จะทำให้ผู้กู้มีภาระใช้หนี้ลดลงในแต่ละงวด เมื่อได้ทำงานแล้วจะมีเงินเดือนเหลือมาชำระหนี้คืนมากขึ้น

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ศธ.จะร่วมกับกองทุนกยศ.รณรงค์ให้ผู้กู้มาชำระหนี้คืนในโครงการ ใช้หนี้ช่วยน้อง ตลอดจนร่วมมือกับสถานประกอบการหางานให้กับผู้กู้ที่ตกงานด้วย ทั้งนี้ ทางกองทุนกยศ.จะต้องรับมติครม.ทั้งหมดนี้ไปดำเนินการต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook