กรณ์ลั่นมีเงินจ่ายข้าราชการ1.2ล้านคน ยันกระเป๋าคลังฉีกไม่กระทบ-เตรียมกู้2.7แสนล.อัดฉีด

กรณ์ลั่นมีเงินจ่ายข้าราชการ1.2ล้านคน ยันกระเป๋าคลังฉีกไม่กระทบ-เตรียมกู้2.7แสนล.อัดฉีด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยอดเงินคงคลังเหลืออยู่เพียง 5.2 หมื่นล้านบาทจาก ณ สิ้นปีงบประมาณ 51 หรือเมื่อ 30 ก.ย.51 มีอยู่ทั้งสิ้น 2 แสนล้านบาท แม้ว่าเงินคงคลังจะเหลือน้อย ถือเป็นเรื่องปกติของการบริหารเงินสดของกระทรวงการคลัง ที่เกิดจากบางช่วงไม่มีเม็ดเงินภาษีเข้ามา หรือเข้ามาน้อย ถ้าจำเป็นจะต้องกู้ยืมเงินระยะสั้นเพื่อใช้จ่ายตามปกติ โดยในช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงที่รายได้หลัก เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคลจะเข้ามา โดยส่วนใหญ่เข้ามาในเดือน พ.ค.ของทุกปี แต่ยืนยันไม่ได้เป็นปัญหากับการใช้จ่ายในโครงการใดๆ ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเดือนข้าราชการทั้ง 1.2 ล้านคน และการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐแก่เอกชนผู้รับเหมาก่อสร้าง

การบริหารเงินสดของรัฐบาล ก็เหมือนกับการบริหารสภาพคล่องของเอกชน เมื่อฝ่ายที่เกี่ยวข้องบอกว่าไม่มีปัญหา สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องในตลาด ทั้งเงินสดของธนาคารพาณิชย์ยังเหลืออยู่จำนวนมาก กระทรวงการคลังสามารถกู้ยืมเงินได้ทันที แต่ปัญหาหลักที่รัฐบาลกังวลมากกว่า คือต้องเร่งนำสภาพคล่องในตลาด เพื่อปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการนำไปลงทุน และกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป นายกรณ์ กล่าว

นายกรณ์ กล่าวว่า ในวันที่ 3 ก.พ.นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณากรอบวงเงินกู้ 2 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการกู้เงินระยะสั้น หรือเสริมสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจ โดยกรอบวงเงินกู้ดังกล่าวจะยังไม่มีการนำมาใช้จ่ายใดๆ หากไม่มีการกู้ยืมซึ่งแหล่งเงินกูทั้งหมด จะนำมาจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังเตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณากรอบวงเงินกู้จากต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วยการกู้จากธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (ไจก้า) จำนวน 7 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในโครงการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หรือเรียกว่าโปรแกรมโลน เช่น ใช้เพื่อเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ อาทิ ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อเพิ่มบทบาทการช่วยเหลือผู้ประกอบการผ่านการค้ำประกันการส่งออก และค้ำประกันการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ คาดว่าหลังผ่าน ครม.แล้วจะเร่งนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาต่อไป คาดสามารถเบิกจ่ายได้เร็วที่สุดในเดือน เม.ย.นี้

ทั้งนี้ กรณีงบกลางปี 1.167 แสนล้านบาท ที่จำเป็นต้องเร่งให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันกับการภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้คาดการณ์ไว้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีนี้ อาจแย่เช่นที่เกิดกับไตรมาส 4 ของปีก่อนที่ติดลบ 3.5% จึงจำเป็นต้องเร่งนำงบปกลางปีออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook