ย้อนรอย แฉหมดเปลือกคดีตำรวจยัดข้อหาค้าประเวณี

ย้อนรอย แฉหมดเปลือกคดีตำรวจยัดข้อหาค้าประเวณี

ย้อนรอย แฉหมดเปลือกคดีตำรวจยัดข้อหาค้าประเวณี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปลาเน่าตัวเดียวตายหมดโอ่งวลีเด็ดสะเทือนวงการสีกากีไทย หลังเกิดคดีอื้อฉาวคล้ายตอกย้ำภาพในเชิงลบของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไทย คงหนีไม่พ้นคดี 5 ตำรวจเข้าล่อซื้อการค้าประเวณีในร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง แต่ถูกเจ้าของร้านต่อสายตรงถึง ผบ.ตร. พร้อมร้องเรียนว่าถูกยัดข้อหาโดยมิชอบ แถมดาบตำรวจหนึ่งในสมาชิกยังขู่ปลด ผบ.ตร. ออกจากราชการฐานช่วยผู้ต้องหากระทำผิด ซึ่งเรื่องราวกำลังเข้มข้นเรื่อยๆ เมื่อ 5 ตำรวจถูกย้ายด่วนและมีผู้ใหญ่โทรมาขอเคลียร์คดีอีกด้วย ความจริงจะเป็นเช่นไรต้องให้หลักฐานเป็นเครื่องพิสูจน์และต้องให้ความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย

ย้อนดูปฐมบทคดีอื้อฉาววงการสีกากี

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2559 เวลาประมาณ 19.30 น. ขณะที่ร้านนางฟ้าคาโอเกะเปิดอยู่ได้มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับสั่งเครื่องดื่มชูกำลัง 1 ชวด และเดินเข้าไปหา น.ส.ชนิดา โชคเจริญ พนักงานเสิร์ฟ พร้อมพูดจาหว่านล้อมชักชวนให้ไปนอนด้วยกัน โดยเสนอค่าตัวให้ 2,000 บาท แต่สาวเสิร์ฟได้ปฏิเสธไป พร้อมทั้งบอกว่าร้านนี้ไม่มีการค้าประเวณีแต่อย่างใด ชายคนดังกล่าวจึงเดินเข้าไปหา น.ส.ปราณี พลอยรัมน์ ดีเจสาวพร้อมยื่นเงินใส่มือ จำนวน 2 พันบาท โดยไม่บอกว่าเป็นค่าอะไร

ระหว่างนั้นชายฉกรรจ์อีก 4 คน บุกจู่โจมเข้ามา แสดงตัวว่าเป็นตำรวจ หลังจากนั้นเจ้าของร้านคือ น.ส.ปะระนิสา ไชยนาพาณิชย์กุล และ น.ส.ปะระนิดา ไชยนาพาณิชย์กุล น้องสาวของผู้ดูแลร้านคาราโอเกะ ได้เดินทางมาถึงร้าน ทาง พ.ต.ท.นราวุธ จึงแจ้งข้อกล่าวหาร้านว่าถูกจับในข้อหาค้ามนุษย์และค้าประเวณี

แต่ทางลูกน้องยืนยันว่าไม่ได้ขายตัวซึ่งเงินก้อนนั้นตำรวจยัดมาให้และบังคับให้พูดตามบท เพื่อกล่าวหาเจ้าของร้านเป็นตัวการใหญ่จัดหาการค้าประเวณี และยังแจ้งข้อหาไม่มีใบอนุญาตอีก 1 ข้อหา พร้อมกับเชิญตัวไปโรงพัก และจะใส่กุญแจมือ แต่ทางเจ้าของร้านไม่ยอมพร้อมกับดิ้นรนขัดขืน และทาง พ.ต.ท.นราวุธ ยังบอกอีกว่าข้อหาแค่นี้มีเงิน 20,000 - 30,000 บาทมาเคลียร์ก็จบแล้ว

เจ้าของร้านจึงได้โทรศัพท์ไปปรึกษาญาติผู้ใหญ่ทางภาคใต้ เพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากรู้จักกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.

ต่อมาทาง ผบ.ตร. ได้โทรศัพท์มาหา และขอพูดคุยกับ พ.ต.ท.นราวุธ หัวหน้าชุดจับกุม แต่ พ.ต.ท.นราวุธ ไม่ยอมคุยด้วย เพราะคิดว่าไม่ใช่ ผบ.ตร.ตัวจริง พร้อมท้าทายให้ไปคุยกับนายตัวเอง

กระทั่งผ่านไปประมาณ 5 นาที ได้มีสายโทรเข้ามาพร้อมกับแนะนำตัวว่าชื่อ พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ขอพูดคุยกับหัวหน้าชุดจับกุม แต่ทางสารวัตรรายนี้กลับบอกว่า "ไม่ใช่เสียงของนายกู" และตำรวจที่ชื่อ "ดาบหมู" ยังขู่อีกว่าถ้าเป็น ผบ.ตร. จะปลดออกจากราชการ ฐานช่วยเหลือผู้กระทำความผิด

แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนโทรเข้ามือถือของ พ.ต.ท.นราวุธ พอเจ้าตัวรับสายก็บอกให้ลูกน้องปล่อยตัวเจ้าของร้าน ก่อนรีบไปขึ้นรถปิกอัพเชฟโรเล็ต ไม่ทราบทะเบียน ขับออกไปอย่างรวดเร็ว

15 กรกฎาคม 2559 น.ส.ปะระนิสา ไชยนาพาณิชย์กุล กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ต.พิทักษ์ เนินแสง สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองพัทยา จากนั้นทาง พล.ต.ท.ธเนตร์ พิณเมืองงาม ผบช.ภ.2 ได้มีคำสั่งที่ 170/2559 สั่งย้าย พ.ต.ท.นราวุธ การามหิโต สว.กก.1 บก.สส.ภ.2 กับลูกน้องในชุดจับกุม ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร.ภ.2 โดยขาดจากต้นสังกัดเดิม

18 กรกฎาคม 2559 พ.ต.ท.นราวุธ การามหิโต สว.กก.1.บก.สส.ภ.2 ได้เปิดใจเป็นครั้งแรกว่า ขอพิสูจน์ตัวเอง เบื้องต้นไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะไม่อยากให้เกิดผลกระทบองค์กรตำรวจโดยรวม และมารดาตนเห็นภาพข่าวลูกชายของตัวเองทางหน้าหนังสือพิมพ์ถึงกับเป็นลมล้มพับไปด้วยความตกใจ พอทราบว่าแม่เป็นลมคนเป็นลูกย่อมต้องรู้สึกเสียใจและไม่สบายใจอยู่แล้ว 

ส่วนกรณี ผบ.ตร.โทรมานั้น เรื่องนี้ตนเองไม่เคยได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับท่าน เลยไม่แน่ใจว่าเป็น ผบ.ตร.ตัวจริงหรือไม่ เพราะอาจจะมีคนอื่นโทรมาแอบอ้างก็ได้ ตนขอยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจลบหลู่ดูหมิ่นผู้บังคับบัญชาของตัวเอง และต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ หลังได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ ศปก.บช.ภ.2 ตนก็พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดและพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเอง

18 กรกฎาคม 2559 พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้ทำบันทึกข้อความด่วนที่สุด เรื่องส่งตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจในปกครองมารับทราบข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวน ส่งไปยัง พล.ต.ต.เชษฐา โกมลวรรธณะ ผบก.สส.ภ.2 เพื่อให้ส่งตัว พ.ต.ท.นราวุธ การามหิโต สว.กก.1.บก.สส.ภ.2 กับ ร.ต.ท.จตุภูมิ ลิ้มศิริวัฒนกุล รอง สว.กก.1.บก.สส.ภ.2 พร้อมพวกรวม 6 คน มาพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันพยายามกรรโชกทรัพย์ และร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ก่อนดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พร้อมกับส่งเรื่องไปให้ ปปช.พิจารณาเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย

19 กรกฎาคม 2559 นางสาวปะระนิสา เจ้าของร้านนางฟ้า คาราโอเกะ เปิดเผยว่า หลังจากที่เกิดเหตุดังกล่าวมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ได้โทรศัพท์ติดต่อมาพูดคุยเจรจา พร้อมกับเสนอเงิน 500,000 บาท เพื่อยุติประเด็นดังกล่าวลง แต่ก็ปฏิเสธไปพร้อมยืนหยัดดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เนื่องจากต้องการเรียกร้องขอความเป็นธรรม และอยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างให้กับสังคม เพื่อที่จะได้ไม่เกิดขึ้นกับใครอีก

20 กรกฎาคม 2559 4 หญิงสาวที่อยู่ในเหตุการณ์คือ น.ส.ปะระนิสา ไชยนาพาณิชย์กุล ผู้ดูแลร้านคาราโอเกะ, น.ส.ปะระนิดา ไชยนาพาณิชย์กุล น้องสาวของผู้ดูแลร้านคาราโอเกะ, น.ส.ปราณี พลอยรัมย์ ดีเจในร้าน และน.ส.ชนิดา โชคเจริญ พนักงานเสิร์ฟในร้าน ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมแจ้งข้อหาเพิ่มกับตำรวจที่ยัดข้อหา คือ กักขังหน่วงเหนี่ยว กรรโชกทรัพย์ พยายามทำร้ายร่างกาย และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจของทั้งสองฝ่ายคือ

- จากการตรวจสอบประวัติของร้าน นางฟ้า คาราโอเกะ พบว่าเมื่อเดือนมกราคม 2559 ที่ผ่านมา เคยมีกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สส.2 จับกุมในข้อหาค้าประเวณีมาแล้ว เนื่องจากมีเด็กหญิงอายุ 16 ปี ปะปนเข้ามาด้วย ในครั้งนั้น นางสาวปะระนิสา ได้เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามข้อมูลของคดีนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของร้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ดูแลร้านแทน ซึ่งคดีนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล

- จากการสอบถามนายตำรวจซึ่งรู้จักและเคยร่วมงานกับ พ.ต.ท.นราวุธ สารวัตรนักสืบคนนี้ทราบว่า ปกติจะเป็นคนนิสัยดี เงียบขรึม แต่บางทีเวลาทำงานมักจะเป็นคนขึงขังจริงจังและอารมณ์ร้อนไปหน่อย

แน่นอนว่าหากผู้ใดที่กระทำผิดย่อมได้รับการลงโทษตามกฎหมาย เรื่องราวจะจบลงอย่างไรคงต้องให้ความยุติธรรมเป็นเครื่องพิสูจน์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook