เอส กันตพงศ์ เปิดใจบทบาทนักบรรยาย พ่อหลวงคือผู้นำที่หายากบนโลกนี้

เอส กันตพงศ์ เปิดใจบทบาทนักบรรยาย พ่อหลวงคือผู้นำที่หายากบนโลกนี้

เอส กันตพงศ์ เปิดใจบทบาทนักบรรยาย พ่อหลวงคือผู้นำที่หายากบนโลกนี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นักแสดงหนุ่ม "เอส กันตพงศ์" เผยบทบาทเบื้องหลังจอโทรทัศน์กับการทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้ความรู้กับเยาวชนรุ่นใหม่ ล่าสุดได้มีโอกาสบรรยายหัวข้อ "ศิลปะแห่งการเป็นผู้นำ" ยกพ่อหลวงของคนไทย คือที่สุดของผู้นำในโลกมีครบองค์ประกอบ 5 ข้อ ที่ยากจะหาจากใครได้...

"เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ผมเพิ่งจะไปทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้กับน้องๆ เยาวชนผู้นำทั้งประเทศ ซึ่งจริงๆ ตัวงานเขาตั้งใจว่าจะจัดกันตั้งแต่วันที่ 13-17 ตุลาคม แต่อยู่ดีๆ วันที่ 13 ตุลาคม ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองก็ลังเลว่าจะพูดหรือไม่พูดดี เพราะหัวข้อที่ผมต้องพูดคือเรื่องของศิลปะแห่งการเป็นผู้นำ และทุกครั้งที่ผมพูดผมก็จะยกพระองค์ท่านมาช่วยในการเล่าเรื่องตลอด มันก็เลยกลายเป็นความรู้สึกในใจว่าเราอาจจะพูดไม่ได้ หรือถ้าถึงเวลาที่ต้องพูดเราอาจจะพูดไม่ออกเพราะต้องร้องไห้แน่ๆ"

"ยอมรับครับว่าคืนก่อนที่จะไปเป็นวิทยากรคืนนั้นผมนอนไม่หลับ ผมต้องนั่งทำสไลด์ใหม่ทั้งหมดเพราะผมอยากเน้นเรื่องของพระองค์ท่านให้ได้เยอะที่สุด อยากให้คนที่เขาฟังได้เห็นภาพที่มันชัดเจนจริงๆ และยังจำได้อยู่เลยว่านั่งเลือกภาพยังไงก็ไม่พอใจ"

"ซึ่งในวันนั้นผมก็พูดถึงทฤษฎีการเป็นผู้นำนี่แหละ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายของการบรรยายผมจึงเปิดวีทีอาร์ของพระองค์ท่าน แต่พอวีทีอาร์จบผมไม่สามารถพูดต่อได้เลยครับ นิ่งไปเกือบนาที พูดได้แค่คำว่า ใน... จนน้องที่นั่งอยู่แถวหน้าเขาหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ ซึ่งสุดท้ายผมก็สามารถพูดต่อได้จนจบ คือมันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถช่วยพระองค์ได้โดยการปลูกเมล็ดพันธ์เม็ดเล็กๆ ที่พระองค์ท่านต้องการเพื่อให้ประเทศไทยเราสามารถก้าวต่อได้"

เราพูดหรือบรรยายในฐานะวิทยากรมากี่ปีแล้ว ?

"ผมเริ่มพูดตั้งแต่ผมเรียนจบแล้วครับ แต่ว่าผมไม่เคยบอกใครเลย จะมีก็แค่ครั้งล่าสุดนี่แหละครับที่ช่องโทรมาขอสัมภาษณ์ผมเรื่องในหลวง ผมก็เลยบอกไปว่าผมทำงานด้านนี้อยู่ แต่ที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยบอกสื่อหรือบอกใครๆ ก็เพราะผมยึดถือในพระราชดำรัสของพระองค์ท่านนั่นก็คือ "การปิดทองหลังพระ" ผมรู้สึกว่าการทำดีมันไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้ ถ้าสามารถทำได้เราก็ทำไปเลยและผมก็ทำแบบนี้มาตลอด"

ทุกครั้งที่เราไปทำหน้าที่วิทยากร เราไปในฐานะตัวแทนหรือว่าองค์กรอะไร ?

"ผมไม่ได้เป็นตัวแทนของอะไรครับ ไม่ได้มีสมาคม ไม่ได้มีสังกัดใดๆ แค่พอคนในแวดวงการบรรยายเขารู้ว่าผมสามารถทำหน้าที่ตรงนี้ได้เขาก็จะมาเชิญผมไปพูด ซึ่งผมเคยพูดให้ทั้งสมาคมผู้พิการ เคยพูดให้เด็กๆ เยาวชน และนักธุรกิจ แล้วแต่เขาจะเชิญครับ แต่กับครั้งล่าสุดที่พูดไปผมถือว่าเป็นการพูดที่ประทับใจที่สุดในชีวิต น้องๆ ทุกคนตั้งใจฟังมาก และผมก็บอกเขานะว่าหากสิ่งที่ผมพูดวันนี้มันยากเกินกว่าจะเข้าใจเขาก็ไม่จำเป็นต้องจำ แต่ให้เขาจำแค่ 3 คำนี้ก็พอ "ทำ อย่าง พ่อ" และน้องจะเป็นผู้นำที่ดีได้แน่นอนครับ"

หลังจากนี้เราตั้งใจจะหยิบยกพระองค์ท่านมาเป็นตัวอย่างในการบรรยายต่อไปหรือเปล่า ?

"ผมตั้งใจว่าจะทำให้เยอะขึ้นด้วยครับ และคงจะไม่ต้องรอให้ถูกเชิญแล้ว เพราะผมอยากจะทำเป็นของตัวเองทำให้บ่อยขึ้น จัดงานขึ้นมาเองโดยที่ไม่ต้องรอให้มีสมาคมอะไรจัด จัดเองบรรยายเองเพราะผมตั้งใจจะทำให้มากขึ้นกว่าเดิม"

ทุกครั้งที่เราทำหน้าที่วิทยากร เราอธิบายความเป็นผู้นำของพระองค์ท่านยังไงบ้าง ?

"มันจะมีทฤษฎีของฝรั่งอยู่ทฤษฎีหนึ่งครับที่บอกว่าผู้นำมี 5 ระดับ ซึ่งระดับที่ 5 คือระดับที่ยากมาก ผู้นำทุกคนบนโลกใบนี้แทบจะไม่มีเลย"

"ระดับแรกคือ ระดับผู้นำจากตำแหน่ง ซึ่งพระองค์ท่านมีตำแหน่งอยู่เพราะพระองค์ท่านคือพระราชา แต่พระองค์ท่านไม่เคยใช่ตำแหน่งนี้โดยเปล่าประโยชน์เลย

"อันดับสองคือ ท่านเป็นผู้นำที่ได้ความรักความห่วงใย และมีความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา"

"อันดับสามคือ เป็นผู้นำที่ทำตามทุกอย่างให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดู งานบางงานที่ท่านไม่จำเป็นต้องทำแต่ท่านก็ทำ"

"อันดับสี่คือ ท่านสร้างผู้นำรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าคนที่รับใช้พระองค์ท่านเป็นผู้นำที่สุดยอดทั้งนั้นเลย"

"อันดับห้า อันดับสุดท้ายซึ่งไม่ค่อยมีใครทำได้ คือผู้นำที่ได้รับความเคารพ ซึ่งคำว่าเคารพสำหรับสำหรับฝรั่งคือเรื่องใหญ่นะครับ เพราะเขาไม่มีวัฒนธรรมอาวุโสแบบเรา แต่ความเคารพในความหมายของเขาคือการยอมพลีกายถวายชีวิตให้ได้ ซึ่งสำหรับพระองค์ท่านผมเชื่อว่าทุกคนยอมหมด ฉะนั้นพระองค์ท่านคือผู้นำที่ครบทั้ง 5 อันดับจริงๆ"

การที่เราเป็นคนเบื้องหน้าแต่เราเลือกที่จะปิดทองหลังพระ มันจะดูสวนทางการไหม ?

"เอ่อ...งานเบื้องหน้าผมก็ยังทำต่อไปครับ แต่งานเบื้องหลังที่เราทำอยู่ตั้งแต่แรกผมก็ตั้งใจว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องบอกใคร เวลาจะไปครั้งหนึ่งผมก็เคลียร์งานแสดงให้ได้ก่อน หรือหากไม่ชนกับอะไรมากและขอกองละครได้ก็จะไปเพราะผมอยากช่วยงานการกุศลเป็นหลัก"

"ส่วนเรื่องชื่อเสียงหรืออะไรต่างๆ นั้น ผมกลับมองว่าจุดสำคัญของชีวิตมันคือความสุขจากข้างใน สิ่งข้างหน้าเหล่านี้ความสุขที่ได้คือเวลาคนดูงานเราแล้วเขามีความสุข แต่แก่นแท้ที่จะอยู่กับเราได้ทั้งชีวิตคือความสุขที่เกิดจากข้างใน โอเคงานบางงานอาจจะสามารถทำให้เรามีความสุขจากแก่นแท้ได้ แต่งานที่เราทำเพื่อคนอื่นมันจะเติมเต็มจากข้างในครับ"

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ เอส กันตพงศ์ เปิดใจบทบาทนักบรรยาย พ่อหลวงคือผู้นำที่หายากบนโลกนี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook