ชูวิทย์ เปิดใจหลังได้รับอิสรภาพ ลั่น "ชูวิทย์เปลี่ยนไปแล้ว"

ชูวิทย์ เปิดใจหลังได้รับอิสรภาพ ลั่น "ชูวิทย์เปลี่ยนไปแล้ว"

ชูวิทย์ เปิดใจหลังได้รับอิสรภาพ ลั่น "ชูวิทย์เปลี่ยนไปแล้ว"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

(17 ธ.ค.) กรมราชทัณฑ์ได้ปล่อยตัว นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้ต้องขังคดีรื้อบาร์เบียร์ ที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยมี นางสุรัชดา แววศรี พร้อมด้วย น.ส.ดวงตระการ กมลวิศิษฏ์ ภรรยาและลูกสาวคนเล็ก เดินทางมารอรับ โดยนายชูวิทย์ได้โผกอดลูกสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นได้เดินมากราบพระพุทธรูปหลวงพ่อโสธรที่อยู่บริเวณด้านหน้าทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 

นายชูวิทย์ ระบุว่า รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร อย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระราชทานอภัยโทษให้กับผู้ต้องโทษทุกคนให้ได้กลับเนื้อกลับตัว ตนจะพึงระลึกว่า อิสรภาพครั้งนี้เปรียบเสมือนชีวิตใหม่ และจะปฏิบัติตัวเป็นคนดี ขอสังคมให้โอกาส โดยช่วงเวลาที่อยู่ในเรือนจำได้ช่วยงานเป็นเจ้าหน้าที่เก็บศพภายในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ไม่ได้อยู่สบาย หรือเป็นผู้ต้องขังบิ๊กเนมอย่างที่มีใครกล่าวถึง ส่วนสิ่งแรกที่จะทำก็คือ จะเดินทางไปโรงแรมเดอะเดวิส แบงค็อก ซอยสุขุมวิท 24 เพื่อว่ายน้ำเพราะเป็นกิจกรรมที่อยากจะทำมากที่สุด ย้ำไม่คิดกลับไปเล่นการเมืองอีกเพราะกลัวติดคุก แต่ที่อยากทำที่สุดคือเป็นพิธีกรหรือผู้ประกาศข่าว เพราะเชื่อว่าตนเองจะสามารถกระชากเรตติ้งได้

นายชูวิทย์ ยังระบุอีกว่า อยากนั่งคุยกับ คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา แต่ไม่รู้ว่าคุณสรยุทธ์ยังอยู่ไหม หากไม่อยู่แล้วก็คุยกับผู้ประกาศคนอื่นก็ได้ และหลังจากนี้ตั้งใจว่า วันที่ 17 ธันวาคมนี้จะบินไปสหรัฐอเมริกา ไปรับปริญญาลูกสาวคนโต และพักอยู่ที่นั่นประมาณ 1 สัปดาห์ หลักจากนั้นจะกลับเมืองไทยและแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง 

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังได้สัมภาษณ์เปิดใจกับ ไบรท์ พิชญทัฬห์ ผู้ประกาศข่าวสาวรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ภายหลังได้รับอิสรภาพ ว่า ชีวิตในเรือนจำไม่ได้ดีอย่างที่ใครคิด ไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์พิเศษใดๆ ปฏิบัติตัวเหมือนนักโทษปกติทุกอย่าง พร้อมชี้แจงภาพที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นผู้ช่วยผู้คุมนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ยืนยันทำหน้าที่เป็นจิตอาสาเก็บศพ ลั่น "ชูวิทย์เปลี่ยนไปแล้ว" เผยอยากเปลี่ยนอาชีพเป็นพิธีกรหรือผู้ประกาศข่าวกระชากเรตติ้ง พร้อมเผยหนังสือบอกเล่าชีวิตในเรือนจำที่เขียนด้วยตัวเองโดยหวังเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับคนอื่นๆ ก่อนทิ้งท้ายถึงคนที่ทำความผิดให้ยอมรับผิดตามกติกาของสังคม หากแพ้ก็ต้องชดใช้กรรมตามกระบวนการทางกฎหมาย 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook