รวบหม่อมเก๊ อ้างเป็นทหารใหญ่ ฉ้อโกงเงินกว่า 2 ล้าน

รวบหม่อมเก๊ อ้างเป็นทหารใหญ่ ฉ้อโกงเงินกว่า 2 ล้าน

รวบหม่อมเก๊ อ้างเป็นทหารใหญ่ ฉ้อโกงเงินกว่า 2 ล้าน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (20 ธ.ค.) สภ.เมืองนครสวรรค์ ได้มีการเชิญตัว นายชัยรินทร์ หรือ หม่อมบิ๊ก (ขอสงวนนามสกุล) ชาว อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี มาสอบปากคำ หลังจากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์ก่อนหน้านี้ว่า ถูกนายชัยรินทร์ซึ่งแอบอ้างตัวเองว่าเป็นหม่อม และเป็นนายทหารยศใหญ่ หลอกยืมเงิน โดยมีผู้เสียหาย 4 ราย พร้อมหลักฐานทั้งการยืมเงิน ยอดรวมกว่า 2 ล้านบาท และการพูดคุยผ่านทางออนไลน์ มาส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ใช้เป็นหลักฐานในการเอาผิดฐานฉ้อโกงฯ

ซึ่งในการสอบปากคำ พบว่า นายชัยรินทร์แต่งกายคล้ายชุดทหาร ที่ด้านหน้าอกข้างซ้าย มีป้ายระบุ หน.อก.นสพ.เก้าเหล่าทัพไทย และติดบัตรศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจ งานอำนวยการ 9 เหล่าทัพไทย คณะทำงานตรวจสอบเจ้าหน้าที่ 9 ลทท. ระบุชื่อที่บัตร คือ ผกร.ต.ชัยรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) กร. ตำแหน่ง หัวหน้า ฉก.เก้าเหล่าทัพไทย สังกัด กองบัญชาการเหล่าทัพไทย เดินทางมาแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมเพื่อหญิงสาวไม่เปิดเผยนาม ซึ่งในการนี้ มีกำลังฝ่ายทหาร จาก มทบ.31 ค่ายจิระประวัติ เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย พร้อมกับเตรียมเอาผิดกับชายรายนี้อีกทอดหนึ่งด้วย

ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังสอบปากคำทั้ง 2 ฝ่ายอยู่นั้น ปรากฏว่า นายชัยรินทร์ได้พูดเสียงดังต่อว่ากลุ่มนักข่าวเรื่องการถ่ายบันทึกภาพ พร้อมกับมีการพูดว่า ชุดที่ใส่ให้เห็นนี้ไม่ใช่ชุดทหาร แต่เป็นแบบฟอร์มชุดนักข่าว ที่ตนเองสังกัดอยู่ น.ส.พ.เก้าเหล่าทัพไทย มีสำนักงานอยู่ที่ จ.ชลบุรี

อีกทั้ง ยังมีการชี้ไปที่ปกเสื้อของตัวเองให้ผู้สื่อข่าวดู ว่าตราที่ติดอยู่คอปกเสื้อ เป็นดาว 6 แฉก หมายถึงตำแหน่งหัวหน้าเฉพาะกิจฝ่ายข่าว น.ส.พ.เก้าเหล่าทัพไทย ส่วนการสอบปากคำ นายชัยรินทร์ให้การยอมรับว่าเคยยืมเงินผู้เสียหายบางคนเท่านั้น จึงมีการโต้เถียงกับกลุ่มผู้เสียหายอยู่พักใหญ่ ก่อนที่นายชัยรินทร์จะมีการนำโทรศัพท์มากดเบอร์โทรหาพรรคพวกรายหนึ่ง โดยได้ยินเสียงนายชัยรินทร์เรียกนามผู้รับปลายสายว่า "ท่านนายกฯ"

ทั้งนี้ ในส่วนของทางคดี ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารได้มีการตรวจสอบประวัติ จนพบเจอเฟซบุ๊คของนายชัยรินทร์ ใช้ชื่อ “หม่อมบิ๊ก บิ๊ก” โดยในเฟซบุ๊กดังกล่าว จะพบภาพเจ้าตัวแต่งกายชุดทหารเต็มยศ ไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ และภาพถ่ายร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการอีกหลายคน

โดยเฟซบุ๊กที่พบนี้ เจ้าตัวมักจะโพสต์ข้อความ ทำนองว่าไปปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือประชาชน และตรวจสอบการทุจริตของข้าราชการ แต่สุดท้าย นายชัยรินทร์จึงถูกพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามหลักฐาน 2 ข้อหา ฐานฉ้อโกงทรัพย์ และแต่งกายเรียนแบบทหาร จากนั้น จึงมีการนำตัวนายชัยรินทร์ ไปตรวจค้นรถกระบะ ยี่ห้อฟอร์ด สีส้ม หมายเลขทะเบียน กจ 1712 อุทัยธานี

ภายในรถพบอาวุธปืน 9 มม. ไม่มีทะเบียน 1 กระบอก แม็กกาซีน 2 ตลับ เครื่องกระสุนปีขนาด 9 มม. 32 นัด ชุดแต่งการเลียนแบบทหาร 2 ชุด และบัตรประจำตัวแอบอ้างอีกหลายหน่วยงาน

นอกจากนี้ รถคันดังกล่าว ยังมีการไฟไซเรนบนหลังคารถอีกด้วย จึงถูกดำเนินคดีเพิ่มอีกหลายข้อหา พร้อมกับจะมีการตรวจสอบประวัติเพื่อขยายผลต่อไป ก่อนหน้านี้ เจ้าตัวเคยถูกสำนักสื่อแห่งหนึ่ง แฉพฤติกรรมไปข่มขู่เรียกรับผลประโยชน์ โดยใช้วิชาชีพสื่อมวลชนบังหน้า ในการตรวจสอบการทุจริตของนักการเมืองและข้าราชการ โดยคาดว่า น่าจะมีเป็นขบวนการ

ด้าน นางธนพร อายุ 64 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยพฤติการณ์ของผู้ต้องหารายนี้ว่า ถูกนายชัยรินทร์ พร้อมพรรคพวกอีก 4 คน ทำทีเข้ามาตีสนิทในระหว่างไปทำบุญที่วัดที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2553 โดยตอนนั้นนายชัยรินทร์อ้างตัวว่า เป็นนักข่าวสังกัด นสพ.เบาะแส มาสืบเรื่องคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง ซึ่งก็ได้มีติดต่อพูดคุยกันเรื่อยมา จนมาถูกนายชัยรินทร์ขอยืมเงิน

โดยครั้งแรก มีการขอยืมไป 4,000 บาท และจากนั้นก็ถูกขอยืมอยู่บ่อยครั้งครั้งละหลายหมื่น อ้างเอาไปทำธุรกิจรับเหมา จนถึงขนาดที่ตนต้องนำที่ดินไปจำนอง เพื่อเอาเงินมาให้นายชัยรินทร์ยืม รวมกันทั้งหมดกว่า 2 ล้านบาทแล้ว แต่เมื่อขอทวงเงินคืนกลับถูกบ่ายเบี่ยงเรื่อยมาตลอด

นอกจากนี้ นายชัยรินทร์ยังมีการไปขอยืมเงินบุตรชายของตนอีก 3 แสนบาทด้วย ส่วนพฤติกรรมของชัยรินทร์ หลายครั้งจะมีการอ้างตัวว่าเป็นหม่อม และมีการโชว์บัตรประจำตัวว่าเป็นคนนามสกุลดัง ชอบแต่งกายเครื่องแบบคล้ายทหารด้วย จึงทำให้ตนหลงเชื่อยอมให้ยืมเงินไปดังกล่าว

ขณะที่ผู้เสียหายอีกราย กล่าวว่า เปิดร้านค้าวัสดุก่อสร้างในเขต อ.เมืองนครสวรรค์ ถูกนายชัยรินทร์เข้ามาติดต่อซื้อของที่ร้าน แต่ขอติดเงินไว้ก่อน อีก 2-3 วัน จะมาจ่ายคืน โดยมีการอ้างตัวเป็นหม่อม และเป็นทหารยศใหญ่มาเกลี้ยกล่อมให้ความน่าเชื่อถือ

จึงหลงกลยอมให้ติดหนี้ค่าของรวมกันมูลค่าหลายแสนบาท แล้วหลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อทวงเงินได้อีกเลย กระทั่ง ไปพบกับผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่ถูกนายชัยรินทร์หลอกยืมเงินไม่คืนเช่นกัน จนมีการรวมตัวกันเข้าแจ้งความดังกล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook