5 เหตุการณ์ก่อการร้ายช็อกโลกในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

จากเหตุการณ์คนร้ายก่อเหตุระเบิดภายในรถตู้โดยสารของรถไฟใต้ดิน ย่านใจกลางเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 11 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 45 ราย โดยประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ออกมายอมรับว่าเป็นก่อการร้าย และที่สำคัญประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ก็อยู่ในเมืองดังกล่าวช่วงที่เกิดเหตุด้วย กลายเป็นข่าวช็อกโลกเนื่องจากกว่าภัยก่อการร้ายได้รุกรานเข้ามาในทวีปยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศในทวีปยุโรปเผชิญกับภัยก่อการร้ายยังมีอีกหลายประเทศที่ต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันกับรัสเซียและในรอบปีที่ผ่านมามีประเทศไหนบ้างถูกลอบก่อการร้ายกับ 5 เหตุการณ์ก่อการร้ายช็อกโลก

22 มีนาคม 59 ประเทศเบลเยี่ยม

เกิดเหตุระเบิดสนามบินและสถานีรถไฟในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม โดยเหตุระเบิดเกิดขึ้น 2 ครั้งที่อาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินนานาชาติซาเวนเต็มในกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเป็นการก่อเหตุโดยมือระเบิดฆ่าตัวตาย ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 14 ราย และบาดเจ็บอีก 81 คน

นอกจากนี้ในเวลาต่อมาภายในวันเดียวกันก็มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นอีกครั้งที่สถานีรถไฟใต้ดินมาลบีค ในกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป (อียู) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย บาดเจ็บ 106 คน ซึ่งทั่วโลกต่างประณามผู้ก่อเหตุและกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้

14 กรกฎาคม 59 ประเทศฝรั่งเศส

เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส คนร้ายขับรถบรรทุกสีขาวด้วยความเร็วพุ่งชนฝูงชนและกราดยิงซ้ำผู้คนที่กำลังออกมาดูพลุดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองวันชาติของฝรั่งเศส ‘บาสติล เดย์’ที่บริเวณถนนริมชายหาดพรอมเมอนาด เด ซองเกล (Promenade des Anglais)

ซึ่งเป็นชายหาดชื่อดังยอดนิยมของนักท่องเที่ยว และคนร้ายยังขับต่อไปอีกเป็นระยะทางราว 2 กิโลเมตร ก่อนจะถูกวิสามัญเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ สร้างความโกลาหลให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต 80 ราย สาหัส 18 ราย บาดเจ็บกว่า 100 คน นับว่าเป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ถือว่ารุนแรงที่สุดในประเทศฝรั่งเศสเลยทีเดียว

19 ธันวาคม 59 ประเทศเยอรมัน

เกิดเหตุคนร้ายขับรถบรรทุกพุ่งเข้าไปในตลาดขายของต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส โดยรถพุ่งใส่ฝูงชนที่รวมตัวกันใกล้ๆ กระท่อมไม้ ที่ให้บริการไวน์ร้อน และไส้กรอก บริเวณโบสถ์อนุสรณ์ไกเซอร์วิลเฮล์ม ใจกลางทางตะวันตกของเบอร์ลิน เมืองหลวงของเยอรมนี ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 ราย บาดเจ็บอีก 48 ราย ซึ่งเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นการก่อการร้ายตามแผนที่วางเอาไว้ เนื่องจากว่าคนร้ายก่อลักษณะคล้ายกับเหตุโจมตีที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

1 มกราคม 60 ประเทศตุรกี

เกิดเหตุคนร้ายสวมชุดซานตาคลอสใช้อาวุธปืนกราดยิงผู้คนที่ด้านหน้าของไนท์คลับไรนา ริมแม่น้ำ ย่านออร์ทาคอย เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งขณะเกิดเหตุมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเฉลิมฉลองวันปีใหม่ภายในไนท์คลับเป็นจำนวนมากกว่า 700 คน ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสูงถึง 39 ราย บาดเจ็บอย่างน้อย 69 คน โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

เหตุการณ์นี้คนร้ายใช้เวลาโจมตีประมาณ 7 นาที ยิงปืนไปราว 120-180 นัด ซึ่งคนร้ายพูดภาษาอาระบิกและคาดว่าน่าจะมีอย่างน้อย 2 คน หลังจากก่อเหตุยิงอย่างเลือดเย็นคนร้ายก็หลบหนีไปอย่างลอยนวล สร้างความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลัง

23 มีนาคม 60 ประเทศอังกฤษ

เกิดเหตุการณ์ช็อกโลกอีกครั้งเมื่อคนร้ายขับรถยนต์พุ่งชนผู้คนตั้งแต่บนสะพานเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 40 คน ก่อนที่จะขับรถพุ่งชนรั้วกั้นด้านนอกอาคารรัฐสภาและวิ่งเข้าไปแทงตำรวจเสียชีวิต 1 นาย หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกวิสามัญเสียชีวิต

ซึ่งเหตุการณ์นี้ทางตำรวจนครบาลลอนดอนแถลงการณ์ว่าเป็นการโจมตีของพวกก่อการร้าย โดยลักษณะการก่อเหตุของคนร้ายเลือกขับรถพุ่งชนผู้คนบนสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์  เนื่องจากว่าสะพานแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังและเป็นสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน จากนั้นพอข้ามสะพานไปแล้วเลี้ยวซ้าย ก็คือ Westminster Palace อาคารรัฐสภาอังกฤษ

5 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 5 ประเทศทางยุโรป ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่งที่บ่งชี้ว่าภัยก่อการร้ายสามารถเข้ามาคุกคามได้ทุกประเทศ แม้แต่ประเทศที่เจริญแล้วมีมาตรการที่ปลอดภัยเข้มงวดรัดกุมมากแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นเป้าโจมตีได้เช่นกัน หากทุกประเทศไม่ร่วมมือกันช่วยแก้ไขปัญหาภัยก่อการร้ายแล้วล่ะก็ แล้วประเทศอื่นๆที่ศักยภาพด้อยกว่าจะเหลืออะไร?