เปิดชีวิตจริง! "วิทย์ พชรพล" จากเด็กขายพวงมาลัยสู่ศิลปินแถวหน้า

เปิดชีวิตจริง! "วิทย์ พชรพล" จากเด็กขายพวงมาลัยสู่ศิลปินแถวหน้า

เปิดชีวิตจริง! "วิทย์ พชรพล" จากเด็กขายพวงมาลัยสู่ศิลปินแถวหน้า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ช่วงมัธยมปีที่ 6 ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่มีปัญหากับพ่อตลอดและก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ผมทะเลาะกับพ่อหนักมากพ่อตีผมถึงขั้นตัดสินใจผมไม่อยู่แล้วผมเลยหนีออกจากบ้าน”

“วิทย์ พชรพล จั่นเที่ยง” หรือที่รู้จักกันว่า “วิทย์ เอเอฟ” เล่าถึงย้อนไปถึงช่วงเวลาของจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญในชีวิตตัวเองเมื่อหาตัวตนพบในเรื่องของการ “รักในเสียงเพลง” และหวังจะต่อยอดฝันตัวเองที่จะก้าวไปเป็น “ศิลปิน” ในอนาคต แต่ฝันนั้นก็ต้องสะดุดเมื่อวิทย์มีต้นทุนชีวิตในวัยเด็กที่ค่อนข้างยากจน บวกกับคุณพ่อที่ไม่สนับสนุนเพราะมีปมในอดีตเกี่ยวกับการร้องเพลง จึงทำให้เป็นที่มาของการตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อตามหาความฝัน ที่หนุ่มวิทย์เผยว่านับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่หากไม่ได้มีความชอบและรักในงานเพลงจนพัฒนาไปสู่ความศรัทธาตัวเองก็คงไม่มีวันนี้

“เท่าที่ผมจำได้พ่อกับแม่จะบอกว่าอย่าท้อแท้ที่เราเกิดมาจน เกิดมาอย่างนี้ดีแล้วมันทำให้เราแข็งแรงมีภูมิต้านทานเยอะ ผมจำได้ผมเกิดมาผมก็อยู่ในชุมชนและที่บ้านก็เป็นอุตสาหกรรมครอบครัวก็คือขายพวงมาลัยที่ใช้ไหว้พระ พ่อจะขายเดินส่งตั้งแต่เตาปูนไปถึงบางโพ ส่วนแม่ก็ขายที่ตลาดกรมชลประทานเป็นรถเข็นก็ตั้งขาย แต่พอเริ่มอยู่ประมาณช่วง ป.4 เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความสนุกแล้วมานั่งทำชายพวงมาลัยทำเป็นกองพะเนินทำๆ ไปจน ป.6 เริ่มไม่มีความอยากจะทำ ก็เริ่มคิดเลยว่าเราจะต้องเติบโตไปเป็นคนขายพวงมาลัยแบบพ่อหรือเปล่า”

“เจ เจตริน &   ไมเคิล แจ็คสัน” จุดประกายความฝัน

“ช่วงผมขึ้นช่วงมัธยมปี 1 มีศิลปินคนหนึ่งที่ออก แล้วโป๊ะเลยคือ “พี่เจ เจตริน” แนวนั้นยุคนั้นมีเขาคนเดียวเลยหล่อยิ้มเก่งเอ็นเตอร์เทนเก่งร้องไม่เพี้ยนผมก็ฟังเขาร้องสดโลกดนตรี เจ็ดสีคอนเสิร์ต ก็ชอบมากเริ่มบ้าพี่เจ เริ่มฝึกเต้นท่าพี่เจ ผมเทใจบ้าคลั่งนักร้องมาก แต่ก็ยังไม่คิดไกลถึงขั้นจะเป็นนักร้อง และก็มาสู่จุดเปลี่ยนจริงๆ ว่าตัวเองชอบและอยากจะเป็นนักร้องคือเพื่อนผมที่เรียนด้วยกันพ่อเขาเป็นสจ๊วต เราไปเที่ยวบ้านเขาแล้วเขาก็เปิดวิดีโอคอนเสิร์ต “ไมเคิล แจ็คสัน” ผมนั่งดูจ้องไปที่คอนเสิร์ตอย่างเดียวแล้วก็บ้าเข้าไปในเส้นเลือด ฝึกร้อง ฝึกเต้น กลับจากโรงเรียนก็จะมีร้านขายแผ่นขายเทปเพลงสากลดังๆ มีอัลบั้มไมเคิลอยู่ขาย 25 บาท ผมซื้อแล้วเอามาฟัง แอบฟังตอนที่พ่อไม่อยู่เพราะพ่อเขาห้ามไม่ให้เป็นนักร้อง แต่คิดว่าพ่อรู้มั้ยเขารู้เพียงแต่ทำปิดหูปิดตาแต่ก็จะมีดุๆ บ้างว่าไม่อยากให้เป็นนักร้องเพราะเขารู้ว่าเขาไม่มีแรงผลักดันส่งให้ลูกไปถึงฝันอยากให้เรียนดีกว่าและก็ด้วยปมของเขาที่เขาดึงมากระทบเรา ที่นี่ผมก็เริ่มฝึกร้องฝึกเต้นจากไมเคิลและก็พี่เจด้วยผสมกันชีวิตมันก็สนุกดีในวัยนั้น

เส้นทางตามหาฝันกว่าจะเป็น “วิทย์ เอเอฟ”

“ช่วงมัธยมปีที่ 6 ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่มีปัญหากับพ่อตลอดและก็หนักขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความที่ผมและก็ต้าร์ (ต้าร์ ด็อกเตอร์คิส) มีเพื่อนอีกคนก็ได้ไปรู้จักเจ้าของบริษัทที่รับงานโชว์เต้นทั่วราชอาณาจักร เขาชื่อพี่บทซึ่งต้องบอกว่าเป็นผู้มีพระคุณของผมและเพื่อนๆ เพราะว่าผมทะเลาะกับพ่อหนักมากพ่อตีผม ถึงขั้นตัดสินใจผมไม่อยู่แล้ว ผมเลยหนีออกจากบ้าน แล้วต้าร์ก็มีปัญหากับทางบ้านก็เลยขึ้นรถมาลงสนามหลวงมานอนคุยร้องไห้กัน และก็ตัดสินใจนั่งรถมาที่บริษัทพี่บทพี่เขาก็เลยรับอุปาการะเลี้ยงดู และให้ไปรวมทีมมาซัก 5 คน เป็นแดนเซอร์รุ่นเล็กเวลารุ่นใหญ่ไม่ว่างเราก็ไปสวม งานแรกที่ไปเต้นจำได้ว่าเป็นงานเลี้ยงบริษัทแล้วเราออกไปเต้นแร็พคนไม่เอาคนก็โห่

และทุกอย่างมันก็เริ่มดีขึ้นผ่านไปปีแรกพอเข้าปีที่สองเราก็แยกย้ายกัน และผมก็ได้ไปเต้นที่โคราชได้ 6-7 เดือนจากการไปออดิชั่นตามร้านดังๆ แต่ที่นี้เวลาที่เปลี่ยนแปลงไปร้านผับมันก็เริ่มดาวน์ลง ทุกอย่างมันก็ลดค่าใช้จ่ายเราก็ต้องเริ่มหาที่อยู่กันใหม่มาอยู่ที่ปราจีนได้ประมาณปีกว่าก็ย้ายไปพัทยาอีกหนึ่งปีเต็ม ก็กลับเข้ามากรุงเทพอยู่ไม่ถึงสามเดือนวงก็จะไปเล่นที่มาเก๊าเขาก็ดึงผมไปด้วย ผมก็เลยไปเพราะมันได้ประสบการณ์ไปต่างประเทศและรายได้ก็ดี แต่ที่ไหนได้ไปแล้วทำงานหนักมากกว่าเดิมเพราะได้เงินเดือนเยอะก็ต้องทำงานเยอะ แต่ว่าผมมองในมุมประสบการณ์ทำให้เราได้เรียนรู้งานที่มันหนักและมันแป็นภูมิต้านทานทำให้เราแข็งแรง แต่มันก็มีท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง”

เวที AF จุดเปลี่ยนชีวิต

ผมได้ไปเป็นครูสอนเต้นโรงเรียนของ พี่เป็ด วาเนซ่า เขาก็เห็นว่าเราเป็นคนมีฝีมือและมีรายการเอเอฟเข้ามาเขาก็อยากให้ไปสมัครซึ่งผมก็ไม่อยากไปเพราะคิดว่าก็คงเอาแต่หน้าหล่อสวยเลยโดนขู่ถ้าไม่มาจะไม่ได้สอนเต้นที่โรงเรียนก็เลยต้องไป พอไปสมัครได้เข้าไปร้องวรรคแรกยังไม่ทันจบกรรมการก็บอกพอแล้วๆ ผมนึกในใจบอกแล้วว่าเขาไม่เอาเพราะไม่หล่อ ผ่านไปอาทิตย์นึงทางรายการก็โทรมาบอกว่าเราได้เข้ารอบ 50 คน และต้องไปออดิชั่นให้รอบ 12 คน มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากเกิดมาไม่เคยเจอแบบนี้ตื่นเต้นกว่าร้องเพลงกลางคืนเยอะ

ผมก็เริ่มโชว์บีทบ็อกและยุคนั้นบีทบ็อกมันยังไมเข้ามาในเมืองไทยทำบีทบ็อกร้องและเต้นแบบนั้นอยู่ห้านาทีแล้วก็ได้เข้ารอบ 12 คน ก็ต้องเข้าไปอยู่ในบ้าน ชีวิตผมเปลี่ยนไปหลังจากเข้าบ้านเอเอฟมันมีความสุขมันเหมือนอยู่บนสวรรค์มีครูมาสอนเราชีวิตไม่ต้องใช้ตังค์ และเริ่มมีกระแสมากขึ้นจากคนดูพอรายการจบปุ๊บเป็นเดอะวินเนอร์กลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน มันก็สนุกมาก และพ่อก็ยอมรับกับสิ่งที่ผมพยายามพิสูจน์มาทั้งหมดกับงานด้านนี้ที่พ่อมีปมอคติและทิฐิ และทุกอย่างมันก็เหมือนฟ้าเปิดทำอะไรก็สบายใจแล้ว”

ชื่อเสียงความดังนำมาถึงความหลงระเริง

“ชีวิตดูหรูหรามากมีแฟนคลับตามเป็นร้อยมันรู้สึกพองมากหลงระเริงอยู่สักพัก เมื่อก่อนเคยเห็นศิลปินตอนนี้ได้เป็นแล้วความรู้สึกมันเป็นแบบนั้น และมันก็เป็นจุดเปลี่ยนคือผมทำอัลบั้มแรกกับพี่โจอี้บอยทำงานทุกอย่างด้วยความเร่งรัด และมีแฟนคลับมารอที่ข้างหน้าออฟฟิศผมก็พะวงเพราะอัดเสร็จก็วิ่งไปเทคแคร์จนพี่โจ้อี้บอยเรียกนั่งคุยแกบอกว่าให้แฟนคลับกลับ พี่โจ้สอนผมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ดีที่เขามาแห่แหนเราแต่จำไว้นะพี่ผ่านมาแล้วพี่ถึงสอนเมื่อวันนึงรุ่นสองเขามาเขาก็ลืมเองจำไว้ เพราะฉะนั้นกลับไปคิดเป็นการบ้านทำยังก็ได้ให้มันเป็นมหาชนให้คนจดจำเราได้ พี่โจ้ให้ผมเรียนรู้และพร้อมที่จะรับมันให้ได้ตั้งแต่วันนั้นผมก็มาคิดว่ามันจริงที่พี่เขาพูด และอีกจุดคือพี่สาวเขาได้มีโอกาสตามไปดูผมถ่ายรายการหลายที่ เขาก็บอกว่าพี่มีความรู้สึกว่าวิทย์ไม่เหมือนเดิมเขาบอกผมว่าอย่าทำพราวคนเรามีความพราวได้แต่อย่าหลงระเริงกับมาเป็นวิทย์คนเดิม วิทย์ที่ติดดินแล้ววิทย์จะน่ารักมาก วัฏจักรชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลงมันก็เลยทำให้ผมคิดได้ก็เลยกลับมาเป็นคนเดิม”

 

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ เปิดชีวิตจริง! "วิทย์ พชรพล" จากเด็กขายพวงมาลัยสู่ศิลปินแถวหน้า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook