ยิ่งกว่าละคร เลี้ยงลูกชายมา 15 ปี ความเพิ่งแตกไม่ใช่ลูกแท้ๆ

ยิ่งกว่าละคร เลี้ยงลูกชายมา 15 ปี ความเพิ่งแตกไม่ใช่ลูกแท้ๆ

ยิ่งกว่าละคร เลี้ยงลูกชายมา 15 ปี ความเพิ่งแตกไม่ใช่ลูกแท้ๆ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หนุ่มรับเหมาพาลูกชายมาตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง หลังเพิ่งทราบว่า 15 ปี เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ วอนแค่อยากให้รับรองยกให้เป็นลูกบุญธรรม เพื่อเด็กจะได้เรียนต่อ แต่ก็ยังรักเป็นพ่อลูกเช่นเดิม

(28 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ถนนรังสิต-นครนายก คลอง 7 ปทุมธานี นายเอก (นามสมมติ) อายุ 52 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ อาชีพรับเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้า พร้อมกับลูกชาย ด.ช.บอย (นามสมมติ) อายุ 14 ปี เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ

นายเอก ขอความช่วยเหลือให้ช่วยติดตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของ ด.ช.บอย ลูกชายที่เลี้ยงดูแลมาเกือบจะ 15 ปี เสมือนเป็นลูกแท้ๆ แต่เพิ่งมารู้ความจริงว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกจากสายเลือด และการตามหาครั้งนี้ก็เพื่อจะได้ให้ทางพ่อแม่ที่แท้จริงของ ด.ช.บอยนั้น ได้จัดการดำเนินการมอบลูกชายคนนี้เป็นบุตรบุญธรรมให้ถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อที่เด็กจะได้ทำบัตรประชาชนและศึกษาต่อได้

นายเอก กล่าวว่า ตนอาศัยอยู่กินกับ นางโบ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี ภรรยา มานานกว่า 15 ปี โดยมีลูกชายด้วยกันคนเดียว คือ ด.ช.บอย ตนทั้งรักและเลี้ยงดูลูกคนนี้มาอย่างดี แต่เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ภรรยาได้ขอกลับไปเยี่ยมญาติที่ภูเก็ต ส่วนตนตั้งใจจะพาลูกชายไปทำบัตรประชาชน จึงได้ค้นหาเอกสารสูติบัตร ก็พบว่าตู้เอกสารที่ภรรยาเก็บไว้ถูกปิดล็อคกุญแจไว้อย่างแน่นหนา จึงสงสัยและช่วยกันกับลูกงัดกุญแจออก ก่อนจะพบเอกสารจำนวนมาก ทั้งใบสูติบัตร ผลการเรียนของลูก

แต่เมื่อตรวจสอบพิจารณาดูดีๆ ก็ต้องแปลกใจ เพราะเอกสารทั้งหมดมีการแก้ไขชื่อ-นามสกุลของลูกชาย โดยใช้น้ำยาลบคำผิด ก่อนจะนำไปถ่ายเอกสารขึ้นมาใหม่ ซึ่งข้อมูลในสำเนาใบสูติบัตรได้ระบุชื่อ-นามสกุลของเด็กชายอีกคน ที่มีเกิดวัน เดือน ปี เช่นเดียวกับลูกชายของตน ส่วนตรงชื่อพ่อแม่ที่ให้กำเนิดนั้น ระบุเป็นชาว จ.สกลนคร

เมื่อตนสอบถามกับลูกชายก็บอกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่ให้ใช้ชื่อ-นามสกุล คนละแบบกับที่พ่อตั้งให้ โดยแม่ได้กำชับสั่งไว้ว่าห้ามบอกพ่อเด็ดขาด มิฉะนั้นแม่จะอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ได้ ลูกชายจึงต้องเก็บเป็นความลับเอาไว้มาตลอด ทั้งที่ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร

ต่อมาตนได้ลองประมวลเรื่องราวทั้งหมด ถึงได้เอะใจว่า ด.ช.บอย อาจจะไม่ใช่ลูกของตนจริงๆ เพราะเมื่อ 15 ปีก่อน ตนต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดเป็นประจำ ครั้งละนานๆ เป็นเดือน กว่าจะได้กลับมาบ้านสักที กระทั่งวันหนึ่ง นางโบ ได้บอกกับตนว่า ตั้งครรภ์และขอกลับบ้านไปอยู่กับญาติที่ จ.ภูเก็ต เพื่อจะได้มีคนดูแล ซึ่งตนก็เห็นด้วยเพราะตนไม่ได้อยู่ดูแล

จากนั้น นางโบ ก็ให้ตนโอนเงินให้เป็นประจำ ครั้งละ 1-2 แสนบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย เมื่อเวลาจะขอไปเยี่ยมก็ปฏิเสธเสมอๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง นางโบ ก็โทรศัพท์มาบอกว่าคลอดลูกแล้ว ให้ตนไปรับกลับมาบ้าน เมื่อเดินทางไปถึงภูเก็ต นางโบก็ไม่ยอมให้ตนไปรับที่บ้าน กลับให้ไปรับที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ซึ่งตนก็รู้สึกสงสัยเหมือนกัน แต่เมื่อได้เห็นหน้าลูกก็ดีใจจนไม่ได้คิดหรือถามอะไรมาก ก่อนพากันมาอยู่บ้านที่ จ.สมุทรปราการ เลี้ยงดูตามปกติ

ภรรยาได้ดำเนินการเรื่องพาลูกเข้าโรงเรียน พาลูกไปหาหมอเองทุกครั้ง เวลาที่เอาใบผลการเรียนลูกมาให้ดูก็เป็นใบถ่ายเอกสาร แต่ตนก็ไม่ทันได้สังเกต จนกระทั่งเรื่องแดงขึ้นมา ตนก็เกรงว่า นางโบ อาจจะไปขโมยลูกใครมา เพราะเมื่อถามไปก็จะได้รับคำตอบบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง

ล่าสุดอ้างว่า ด.ช.บอย เป็นลูกของเพื่อน ซึ่งทางนั้นมีลูก 6 คน เลี้ยงไม่ไหวเลยยกให้มา ที่ทำไปเพราะตัวเองมีลูกไม่ได้และอยากมีลูกมากและกลัวว่าตนจะไม่รัก ตนสงสารลูกมาก ตั้งแต่รู้ความจริงเรื่องนี้ ลูกชายก็ไม่กล้าไปโรงเรียนเพราะอายเพื่อน และกลัวพ่อจะไม่รัก เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ซึ่งตนก็ได้ปลอบใจลูก และบอกเสมอว่า "ลูกเป็นลูกชายของพ่อ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม"

ขณะที่ภรรยาของตน หลังทุกคนรู้ความจริงก็ได้ขอกลับไปเยี่ยมญาติที่ภูเก็ตและยังไม่เดินทางกลับมา ตนได้บอกเรื่องนี้กับพี่สาวและปรึกษากันก่อนตัดสินใจเข้าร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาฯ ดังกล่าว

นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ กล่าวว่า หลังรับเรื่องได้ประสานกับ นายทศพล สินยบุตร นายอำเภอเต่างอย จ.สกลนคร เพื่อช่วยตรวจสอบชื่อ-ที่อยู่ของพ่อแม่ ด.ช.บอย ที่ระบุในสูติบัตร โดยพบว่าพ่อแม่ของ ด.ช.บอย อาศัยอยู่ใน ต.นาตาล อ.เต่างอย จ.สกลนคร จริง เมื่อเจ้าหน้าที่ไปสอบถามเบื้องต้น ทั้งสองสามีภรรยาก็ยอมรับว่าได้เคยให้ลูกชายกับนางโบไปจริง เนื่องจากมีลูกหลายคน ประกอบกับฐานะยาก กลัวว่าจะเลี้ยงไม่ไหว และพร้อมที่จะดำเนินการรับรอง ด.ช.บอย เพื่อให้ได้ทำบัตรประชาชน และยกเด็กให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายเอกให้ถูกต้องตามกฏหมาย

โดยในวันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคมนี้ นางปวีณาจะได้พาสองพ่อลูกเดินทางไปที่อำเภอเต่างอย เพื่อพบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของ ด.ช.บอย ทำบัตรประชาชน และทำบันทึกการยกลูกให้กับนายเอกให้เรียบร้อย และขอขอบคุณ นายทศพล สินยบุตร นายอำเภอเต่างอยอย่างมาก หลังประสานงานไปก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้หลัง ด.ช.บอย มีบัตรประชาชนก็จะได้มาสมัครเรียนต่อในชั้น ม.2 และได้พบกับพ่อแม่ที่แท้จริง จากนั้นก็จะได้ใช้ชีวิตไปตามปกติ ซึ่ง นายเอก กับ ด.ช.บอย ยืนยันว่า แม้จะไม่ใช่พ่อลูกที่แท้จริง แต่ความรักพ่อลูกที่มีต่อกันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook