ลูก 7 ขวบบอกพ่อ เห็นผอ.เดินตามไป ก่อนแม่ถูกฆ่าทุบหัว

ลูก 7 ขวบบอกพ่อ เห็นผอ.เดินตามไป ก่อนแม่ถูกฆ่าทุบหัว

ลูก 7 ขวบบอกพ่อ เห็นผอ.เดินตามไป ก่อนแม่ถูกฆ่าทุบหัว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความคืบหน้าคดี คนร้ายทุบศีรษะ นางสาวลัดดา วัย 33 ปี จนเสียชีวิต ที่ห้องน้ำในโรงเรียนบ้านหนองคล้า ต.เขาวิเศษ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง  เหตุเกิดเย็นของวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมานี้  หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลา 3 วัน ก่อนสามารถแจ้งข้อกล่าวหา นายวินิจ ผอ.โรงเรียนดังกล่าว เป็นผู้ต้องหาฐานความผิด “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน”  

หลังตกเป็นผู้ต้องหาและพนักงานสอบสวน สภ.เขาวิเศษ ได้ฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดตรัง โดยญาติผู้ต้องหา ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 5 แสนบาทต่อศาล โดยที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เพราะผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งไม่หลบหนี และไม่เข้าไปยุ่งเหยิงต่อพยานหลักฐานในคดี  

ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐาน โดยเฉพาะหลักฐาน ภาพรถยนต์เก๋งของผู้อำนวยการที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดหน้าโรงเรียน ที่ยืนยันว่าผู้อำนวยการออกจากโรงเรียนเป็นคนสุดท้าย โดยไม่พบคนอื่นๆ อีกเลย

ขณะหลักฐานที่ปรากฏภายในบ้านของผู้ตายที่ระบุถึงความสัมพันธ์ชู้สาวต่อกัน รวมถึงหลักฐานเป็นชิ้นเนื้อบริเวณหนังศีรษะของผู้ตาย ที่ปรากฏอยู่ภายในเล็บของผู้ต้องหา ที่เจ้าหน้าที่กำลังรอผลพิสูจน์ดีเอ็นเอว่าตรงกับดีเอ็นเอของผู้ตายหรือไม่

ล่าสุด   (29 ก.ค.) นายอภิชัย สามีผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากตำรวจว่าจะเข้าทำการสอบปากคำน้องฟิล์ม บุตรชาย วัย 7 ขวบ ร่วมกับทีมสหวิชาชีพเพิ่มเติม เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากในวันเกิดเหตุเกิด น้องฟิล์มไปกับแม่

ทั้งนี้ ได้รับการบอกเล่าจากน้องฟิล์มว่า หลังจากแม่พาตนเองไปเล่นที่โรงเรียน ก็พบกับลุงฉิม  หรือ นายวินิจ ผอ.รร. ผู้ต้องหาในคดีนี้ จากนั้น ผอ.ได้เดินตามแม่ไปเข้าห้องน้ำ จนมืดแม่ไม่กลับมาตนจึงเดินตามไป เห็นแม่นอนอยู่หน้าห้องน้ำ และลุงฉิม ก็ตะโกนบอกลูกชายว่าไม่ต้องเข้าไป เพราะมืด กลัวลื่นล้ม

โดยที่ผ่านมา ทางตำรวจยังไม่ได้สอบปากคำลูกชายของตนเอง จึงได้มีการติดต่อมาว่า เตรียมจะเข้าไปสอบปากคำในเร็วๆ นี้ เพื่อรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ตนเองและครอบครัว หลังจากผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวออกมา ก็เป็นห่วงความปลอดภัย และกลัวจะไปวิ่งเต้นคดี ยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน เกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม และกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น นอกจากทุกคนในครอบครัวแล้ว ยังเป็นห่วงบุตรชายมากที่สุด ซึ่งอาจจะร้องขอให้ตำรวจดูแลความปลอดภัยให้เร็วที่สุด 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทางตำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพคงจะเข้าไปสอบปากคำเด็กชายในเร็วๆ นี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook