ประกาศภาวะฉุกเฉิน! ฝ่ายขวาจัดสหรัฐฯ ประท้วงเดือดตาย 3 คน

ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย ของสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินรับมือเหตุประท้วงรุนแรงของกลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาจัด ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 คน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เทอร์รี แมคออลิฟฟ์ (Terry McAuliffe) ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อรับมือเหตุประท้วงของกลุ่มชาตินิยมผิวขาวในเมืองชาร์ลอตส์วิลล์ ซึ่งลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุรุนแรง

โดยเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนถือคบเพลิงเดินขบวนเข้าไปในมหาวิทยาลัย จนเกิดการประทะกับประชาชนและกลุ่มนักศึกษาที่คัดค้านการชุมนุมดังกล่าว ซึ่งเหตุปะทะลุกลามมาจนถึงเช้าวันเสาร์ ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 15 คน

ล่าสุด มีรายงานเหตุรถยนต์พุ่งชนกลุ่มประชาชนที่คัดค้านการประท้วง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 19 คน โดยเจ้าหน้าที่จับกุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ ชื่อนายเจมส์ ฟีลด์ อายุ 23 ปี ถูกตั้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เเต่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน โดยมารดาของผู้ก่อเหตุยืนยันว่าได้รับข้อความจากลูกชายว่าตนจะไปเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ด้วย แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาลงมือก่อเหตุแบบนี้

นอกจากนี้ ยังมีเหตุเฮลิคอปเตอร์ตำรวจรัฐเวอร์จิเนียประสบเหตุตกในป่า ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบนเครื่องเสียชีวิต 2 นาย เบื้องต้น คาดว่าเจ้าหน้าที่กำลังจะเตรียมลงพื้นที่เพื่อควบคุมฝูงชน แต่ยังไม่มีรายงานระบุแน่ชัดว่าสาเหตุการตกเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงจากการชุมนุมหรือไม่

ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ออกมากล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสีย พร้อมระบุว่าเหตุรุนแรงครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังทางสีผิว อุดมการณ์สุดโต่งทางศาสนา หรือชาตินิยม และความรุนแรงที่มาจากหลายๆฝ่าย อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กลับไม่ได้วิจารณ์กลุ่มชาตินิยมผิวขาวที่เข้ามาจัดการชุมนุมในพื้นที่ และเป็นชนวนเหตุของความรุนแรงในครั้งนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับหลายฝ่าย

สำหรับกลุ่มคนที่มารวมตัวประท้วงในครั้งนี้ เป็นกลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาจัด ที่มีแนวคิดยกย่องเชิดชูคนผิวขาวและต้องการรักษาระบบทาสเอาไว้ โดยเดินทางมาจากหลายๆเมืองทั่วประเทศ เพื่อมาชุมนุมคัดค้านเทศบาลเมืองชาร์ลอตส์วิลล์ที่มีมติให้ย้ายอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของระบอบข้าทาสออกไปจากสวนสาธารณะของเมือง