ไทยเบฟ เข็น''อาชา'' จับนักดื่มรากหญ้า ทุ่มงบ 50 ล.ปรับภาพลักษณ์ใหม่ยกกะบิ

ไทยเบฟ เข็น''อาชา'' จับนักดื่มรากหญ้า ทุ่มงบ 50 ล.ปรับภาพลักษณ์ใหม่ยกกะบิ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ไทยเบฟ ชี้เก็บภาษีเพิ่มกระทบทั้งระบบ ล่าสุดขยับจับลูกค้ารากหญ้า เดินเครื่องรีโพสิชันนิง เบียร์อาชา ใหม่หมดจด หวังปักหลักจับลูกค้าลดกำลังซื้อหันหาเบียร์ราคาถูก พร้อมทุ่มงบกว่า 50 ล้านส่งหนังโฆษณา ควบการประกวดดนตรีสำหรับคนรุ่นใหม่ มั่นใจโกยส่วนแบ่งตลาดทะลุ 15% ของตลาดเบียร์แสนล้าน

นายชาลี จิตจรุงพร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้จำหน่ายเบียร์ช้าง อาชา เฟดเดอร์บรอย เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลมีแนวคิดในการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นนั้น ตามปกติแล้วไม่ว่าจะปรับขึ้นหรือลงภาษี ย่อมมีผลต่อผู้ประกอบการธุรกิจและตัวสินค้าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ดีพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีนั้น เชื่อว่าจะไม่ทำให้คนหยุดดื่ม แต่จะเลือกดื่มมากขึ้น ขณะที่การมีข้อจำกัดห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้น ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น และที่ผ่านมาก็เห็นผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการซื้อ โดยจะซื้อเก็บไว้ก่อนถึงวันห้ามจำหน่าย

อย่างไรก็ดีในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้เชื่อว่ามีลูกค้าในระดับล่าง จะเลือกใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ทำให้สินค้าที่มีระดับราคาถูกมีโอกาสเติบโตได้ ดังนั้นบริษัทจึงเลือกที่จะปรับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของเบียร์อาชา เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น และนำเสนอออกทำตลาดให้กับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว นอกจากนี้บริษัทเตรียมใช้งบประมาณกว่า 50 ล้านบาทในการทำโฆษณา จัดกิจกรรมผ่านสื่อต่างๆ ทั้งในรูปแบบอะเบิฟ เดอะ ไลน์ และบีโลว์ เดอะไลน์ เช่น ภาพยนตร์โฆษณา การประกวดวงดนตรี เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด

ช่วงนี้คนไทย จะเลือกซื้ออะไรก็ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า การใช้จ่ายก็ระมัดระวังมากขึ้น สถานการณ์อย่างนี้ การจะทำตลาด จะนำเสนอสินค้าก็ต้องให้เหมาะสม และเรามองว่าในวิกฤติย่อมมีโอกาส เพื่อคนลดกำลังซื้อ ลดการใช้เงิน สินค้าที่มีระดับราคาถูก ก็เหมาะสมที่สุด

สำหรับเบียร์อาชา ถือเป็นเบียร์ในระดับอีโคโนมี ที่มีราคาต่ำสุด คือในขนาดขวด 640 มล. มีราคา 29 -32 บาท และขนาด 330 มล. มีราคา 19-22 บาท มีกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ชายในวัย 20-25 ปี ชอบความอิสระ ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 12% ของตลาดรวมเบียร์มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท หรือ 2,400 ล้านลิตร

ทั้งนี้ปัจจุบันตลาดเบียร์ แบ่งออกเป็น ตลาดเบียร์ระดับอีโคโนมี หรือเบียร์ราคาถูก คิดเป็นสัดส่วน 80% มีเบียร์ช้าง เป็นผู้นำตลาด ตามด้วยลีโอ และอื่นๆ เบียร์ระดับสแตนดาร์ด มีสิงห์ เป็นผู้นำตลาด และเบียร์พรีเมียม ที่มีไฮเนเก้นเป็นผู้นำตลาด ซึ่งในปีที่ผ่านมาจากวิกฤติเศรษฐกิจ และความเข้มงวดของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ตลาดเบียร์มีการเติบโตเล็กน้อย จากตลาดเบียร์ระดับอีโคโนมี ซึ่งเติบโตเพียง 3%

การแข่งขันในปีนี้ยังทำงานลำบากอยู่ จากภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำให้ทุกค่าย ทุกคนกลัวลำบาก จึงต้องงัดกลยุทธ์ต่างๆ ออกมาสู้ แต่จะดึงยอดขายกลับมาได้หรือไม่ต้องรอดูสถานการณ์ในไตรมาส 3 และ 4 ต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook