เรืองไกรจี้กรณ์ตรวจสอบ ปชป. เลี่ยงจ่ายภาษีเงินสนับสนุนเลือกตั้ง ส.ส. 270 ล้านตามไล่บี้ทุกพรรค
ทั้งนี้คาดว่าค่าใช้จ่ายจำนวน 270,650,000 บาทนั้น น่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมินตรา 39 ประมวลรัษฎากรของผู้สมัครหรือไม่ ซึ่งต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมินของมาตรา 40 ตามประมวลรัษฎากร
"ผมมีข้อสงสัยว่าเงินได้พึงประเมินดังกล่าวได้รับยกเว้นตามมาตรา 42 ของประมวลรัษฎากรหรือกฎหมายอื่นหรือไม่ หากต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากรแล้ว มีใครนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยัง โดยต้องเสียภาษีภายในวันที่ 31 มีนาคม 2551 ที่ผ่านมา เพราะถือเป็นเงินได้ปี 2550 ถ้ายังไม่มีการเสียภาษีให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดจะต้องเสียเบี้ยปรับเงินเพิ่มตามมานายเรืองไกร กล่าวและว่า ทั้งนี้ตนได้แนบสำเนางบการเงินฉบับย่อของพรรคประชาธิปัตย์ประจำปี 2550 เรื่องการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินสนับสนุนที่ได้รับจากพรรคการเมืองไปด้วย
ส.ว.สรรหา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จากการสุ่มตรวจสอบข้อมูลของ ส.ส.บางคนของพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2550 ที่ยื่นแสดงไว้ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ไม่พบว่ามีการแสดงรายการเกี่ยวกับเงินสนับสนุนไว้ ซึ่งตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องแสดงรายการค่าใช้จ่าเสียง รวมทั้งที่มาของรายรับที่นำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) อันจะเป็นหลักฐานที่แสดงยืนยันได้ว่าผู้สมัครแต่ละคนได้รับเงินสนับสนุนหรือถือว่าได้รับเงินสนับสนุนจากพรรคการเมืองเป็นจำนวนเท่าใด
"การตรวจสอบครั้งนี้ควรตรวจงบการเงินของพรรคการเมืองอื่นที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.และผู้สมัครของพรรคการเมืองอื่นก็สมควรจะต้องถูกพิจารณาเรื่องการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมเกี่ยวกับเงินสนับสนุนที่ได้รับด้วย เนื่องจากต้องทำให้เป็นมาตรฐานอันเดียวกัน เพราะหากตรวจสอบแล้วพบว่าเงินได้บุคคลธรรมดาที่ผู้สมัคร ส.ส.ได้รับเงินสนับสนุนจากพรรคการเมืองจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามบทบัญญัติของกฎหมาย กรมสรรพากรได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาดังกล่าวครบถ้วนตามกำหนดเวลาแล้วหรือยังนายเรืองไกร กล่าว