รับมือกับช่วงวิกฤต โดนัท มนัสนันท์ ในวันที่รู้ว่าป่วยด้วยโรค SLE

รับมือกับช่วงวิกฤต โดนัท มนัสนันท์ ในวันที่รู้ว่าป่วยด้วยโรค SLE

รับมือกับช่วงวิกฤต โดนัท มนัสนันท์ ในวันที่รู้ว่าป่วยด้วยโรค SLE
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ความสนุกในการทำงาน คือหาตรงกลางให้เจอ" คำพูดสั้นๆ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง จาก "โดนัท มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล" นักแสดงสาวชื่อดังที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมานานนับ 10 ปี เธอได้บอกกับทีมข่าว Sanook! เมื่อถูกตั้งคำถามถึงการทำงานเบื้องหลังในฐานะ "ผู้จัดและผู้กำกับ" จากละครเรื่องแรกในชีวิต "เดือนประดับดาว" ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3

หากย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณ 16 ปีก่อน ชื่อของ โดนัท มนัสนันท์ อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูมากนัก เพราะเธอก็เหมือนกับนักแสดงหลายต่อหลายคน ที่ยังต้องเรียนรู้และพัฒนาฝีมือตัวเองจากการทำงานในหลากหลายบทบาทที่ผู้ใหญ่หยิบยื่นโอกาสให้ แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนที่มีความตั้งใจ และเต็มที่กับทุกๆ ผลงาน ในที่สุด โดนัท มนัสนันท์ ก็สามารถก้าวข้ามคำว่า "ดารา" สู่การเป็น "นักแสดง" ที่ทุกคนให้การยอมรับได้อย่างสมความภาคภูมิ จากผลงานละครเรื่อง "ดงผู้ดี" เมื่อปีพุทธศักราช 2552 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อและผลงานของเธอก็กลายเป็นที่จับตามองในหมู่แฟนละครอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ก็ดูเหมือนว่าความฝันของ โดนัท มนัสนันท์ จะยังไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น เพราะด้วยใจรักในอาชีพการแสดง ทำให้เธอตัดสินใจคว้าโอกาสครั้งสำคัญในฐานะคนทำงานอีกครั้ง และครั้งนี้เธอเลือกที่จะเปลี่ยนสถานะตัวเองจาก "คนเบื้องหน้า" สู่การเป็น "คนเบื้องหลัง" อย่างเต็มตัว ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ "เธอรู้สึกชอบและสนุกทุกครั้งที่ได้ทำงาน"

“โดนัทไม่อยากให้คนโฟกัสกับคำว่าผู้จัดละคร เพราะมันอาจจะฟังดูเกินไปจากสิ่งที่เราเป็น เราแค่เป็นคนที่ชอบทำงานคนหนึ่ง และงานนี้สำหรับโดนัทมันก็คืองานเบื้องหลังที่เราต้องดูแลทุกๆ อย่าง ซึ่งมันอาจจะหนักหน่อย แต่โดนัทก็โชคดีที่โดนัทไม่ได้ทำคนเดียว โดนัทยังมีเพื่อนมาช่วยดูแล ซึ่งละครเรื่อง “เดือนประดับดาว” เป็นละครที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยาย และเราก็มาทำการปรับบทปรับแนวทางการนำเสนอให้ตรงกับช่องและก็ให้ตรงกับตัวเรามากที่สุด นั่นหมายความว่าเราต้องหาตรงกลางให้ได้”

“จากนั้นพอทุกอย่างลงตัว เราก็เริ่มขั้นตอนของการเขียนบท ทีมงานใช้เวลาในการเขียนบท 1 ปีเต็มๆ เพราะตลอดระยะเวลาในช่วงนั้น โดนัทจะขอให้เขาแก้บทอยู่เรื่อยๆ คือแก้ไม่จบ ไม่สิ้น จนสุดท้ายโดนัทต้องตัดสินใจว่าเปิดกล้องเลยเถอะ เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นโดนัทก็จะไม่เลิกปรับบท หลังจากนั้นพอการถ่ายทำต่างๆ เสร็จหมดเราก็ใช้เวลาในการตัดต่ออีก 1 ปี ที่เราใช้เวลาในการตัดต่อนานก็เพราะ ยุคนี้คือยุคดิจิทัล เราก็อยากให้ละครของเราเป็น HD จริงๆ โดนัทอยากให้คนดู ได้ดูงานที่มันคู่ควรกับเวลาที่เขาจะต้องเปิดทีวีมาดูละครสักเรื่อง ถ้าถามว่าผลลัพธ์ที่ออกมา ณ ตอนนี้ ถูกใจโดนัทที่สุดไหม เราถือว่าเราได้มีโอกาสลองมาทุกอย่างแล้ว และมันก็เจอสมดุลของมัน โดนัทไม่สามารถพูดได้ว่ามันสุดยอด แต่โดนัททำเต็มที่แล้ว ทำให้ดีมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ”

“ความแตกต่างระหว่างการเป็นผู้จัดละครกับนักแสดง สำหรับโดนัทไม่ได้แตกต่างเลยนะคะ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เรายังทำงานเหมือนเดิมแค่งานเราหนักขึ้น โอเคมันอาจจะต่างในรูปแบบของการทำงาน ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ตอนเป็นนักแสดงเราไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวยิบย่อยเบื้องหลัง แต่ว่าพอเรามาทำหน้าที่ผู้จัดละคร ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องของเราหมดเลย โดนัทยอมรับนะว่าโดนัทเคยมีบ้างที่จะพยายามทำตัวเองให้เหมือนกับคนหูดับตาบอด แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็ทำไม่ได้อยู่ดี เราอดไม่ได้ ซึ่งจริงๆ การทำเบื้องหลังสนุกนะคะ เราอาจจะมีงอแงบ้างบางครั้ง แต่เมื่อเราหาตรงกลางได้ เราก็จะมีความสุขและก็สนุกไปกับสิ่งที่เราทำ

ในขณะเดียวกันทุกช่วงชีวิตของคนเราก็ไม่ได้มีแต่คำว่า "ความสุข" เสมอไป เพราะสำหรับ โดนัท มนัสนันท์ แล้ว เธอก็มีช่วงเวลาที่ยากจะรับมืออยู่เช่นกัน และช่วงเวลาที่ว่านั้น ก็คือตอนที่เธอตรวจพบว่า เธอกำลังป่วยเป็นโรค แพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus - SLE) หรือที่คนไทยคุ้นหูกันในชื่อ โรคพุ่มพวง โรคที่เข้ามาเป็นอุปสรรคในชีวิตของคนที่รักการทำงานอย่างเธอ

ซึ่ง โดนัท มนัสนันท์ ก็ได้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับทีมข่าว Sanook! ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายจนน่าเหลือเชื่อ เธอบอกกับเราว่า แม้บางครั้งเธอจะรู้สึกแย่และหงุดหงิดกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ แต่ถ้าหากเธอสามารถยอมรับมันได้ และมองหาแง่มุมดีๆ จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้เจอ เธอก็จะสามารถใช้ชีวิตได้ปกติไม่ต่างจากคนทั่วไป

“โดนัทเพิ่งจะเจอโรคนี้เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งตอนที่เจอมันก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างแย่เหมือนกันนะคะ เพราะเกล็ดเลือดลดตลอด และร่างกายก็ไม่มีแรงเลย ช่วงนั้นโดนัทคิดเองว่าอาจจะเพราะเรานอนน้อยก็เลยรู้สึกเพลีย แต่พอสุดท้ายเราตรวจเจอว่ากำลังป่วย โดนัทก็เลยคุยกับคุณหมอถึงเรื่องของการรักษา ซึ่งตัวโดนัทเองยืนยันว่าจะขอไม่ทานสเตียรอยด์ เพราะกลัวในเรื่องของเอฟเฟ็กต์ ดังนั้นการรักษาของโดนัทก็คือการให้ยาอื่นๆ แทน ซึ่งมันก็จะไม่ได้ผลเร็วเท่ากับการทานสเตียรอยด์ แต่ว่าตอนนี้อาการก็ดีขึ้นมาแล้วนะคะ คุณหมอบอกว่าเป็นช่วงอาการสงบ เพราะถ้าเปรียบเทียบกับตอนที่อาการกำเริบ ตอนนั้นโดนัทจำได้เลยว่าร่างกายเราไม่มีแรงเลยจริงๆ แม้แต่แรงลุกขึ้นไปทำงานเราก็ยังไม่มี ตัวมันชา ขยับร่างกายไม่ได้เลย”

โดนัทยอมรับนะว่าช่วงที่ทำอะไรไม่ได้เลย โดนัทก็รู้สึกอารมณ์เสียหงุดหงิดเหมือนกัน คือมันทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ เราอยากจะลุกจากเตียงเพื่อไปทำงานมันก็ทำไม่ได้ แต่เราก็พยายามเข้าใจโรค พยายามคิดบวกกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น และที่สำคัญโดนัทเองก็โชคดีที่มาตรวจเจอว่าเราป่วยโรคนี้เร็ว เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ตัวเร็วแบบโดนัท ถามว่าค่าใช้จ่ายสูงไหมสำหรับโรคนี้ ค่ายาก็เหงื่อตกเหมือนกัน แต่ทุกอย่างมันก็รักษาตามอาการ และเอาจริงๆ นะคะ ไม่ป่วยดีกว่า หรือถ้าหากรู้สึกว่าป่วย ไม่ว่าจะมีอาการแบบไหนก็แล้วแต่ รีบไปหาคุณหมอเถอะอย่าทิ้งไว้ เพราะถ้ารู้เร็วเราก็ยิ่งรับมือกับมันได้ทัน”

“วิธีการดูแลตัวเองของโดนัทก็คือทำตามที่คุณหมอสั่ง คุณหมอสั่งว่า ห้ามเครียด ห้ามนอนดึก ห้ามตากแดดนานๆ ห้ามกินของดิบ ห้ามกินของหมักดอง แต่ว่าโดนัทก็ไม่ได้เคร่งหรือเกร็งอะไรขนาดนั้นนะคะ โดนัทก็พยายามทำทุกอย่างให้มันพอดีมากกว่า อันไหนเราทำได้ก็ทำ อันไหนเราลดได้ก็ลด และก็ไปพบคุณหมอตามเวลานัดตลอด อย่างล่าสุดที่ไปโรงพยาบาล คุณหมอก็บอกว่าโดนัทดูไม่เหมือนกับผู้ป่วย SLE เพราะโดนัทดูปกติมาก ร่างกายปกติทุกอย่าง ตับ ไต ไขมัน ดีหมด และเกล็ดเลือดก็เริ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นช่วงนี้เราก็ต้องพยายามดูแลตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่อาการของโรคมันจะได้ไม่ต้องกลับมากำเริบอีก เพราะโรคนี้ถ้าเป็นแล้วเราต้องเป็นไปตลอดชีวิต”

ไม่เพียงแค่กำลังใจจากตัวเองเท่านั้นที่สำคัญ  แต่ โดนัท มนัสนันท์ ก็ยังมีอีกหนึ่งกำลังใจที่คอยอยู่เคียงข้างในทุกช่วงเวลา นั่นก็คือ ตาม จำนงค์อาษา นักธุรกิจหนุ่มหล่อ ที่ไม่เพียงแค่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลหัวใจ แต่ยังช่วยดูแลเธอในยามที่เธอป่วย คอยเป็นที่ปรึกษาในหลายๆ เรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งการให้คำแนะนำหรือติชมผลงานการเป็นผู้จัดและผู้กำกับละครเรื่องแรกของเธอ โดย โดนัท มนัสนันท์ ได้บอกกับเราถึงเส้นทางความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างเธอและ ตาม จำนงค์อาษา ว่า  แม้เวลานี้เธอจะยังรู้สึกว่าไม่พร้อมกับคำว่า “การเริ่มต้นชีวิตคู่” แต่สำหรับสิ่งที่เป็นอยู่ตัวเธอเองก็รู้สึกสบายใจที่สุดแล้ว

“ช่วงที่ไม่สบายคุณตามเขาก็ดูแลเหมือนปกติเลย หากว่างเขาก็จะไปหาคุณหมอด้วยกัน ไปรับไปส่งบ้างถ้าเป็นเรื่องของการไปพบคุณหมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องของงานละครเขาก็จะช่วยโปรโมท ช่วยวิจารณ์งาน ซีนไหนดีซีนไหนไม่ดี เขาก็จะช่วยออกความเห็นให้เราเพื่อที่จะได้นำไปปรับแก้ได้ทัน ถามว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นยังไง คือเราก็คงตอบไม่ได้หรอกในเรื่องของความสัมพันธ์เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคต โดนัทเองก็เคยได้เห็นจากหลายๆ คนในวงการที่อาจจะมีเหตุให้ต้องเริ่มใหม่ ซึ่งโดนัทเชื่อว่าทุกคนก็คงไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้น แต่เรื่องของความสัมพันธ์มันเป็นอะไรที่เราตอบไม่ได้จริงๆ ดังนั้นทุกวันนี้เราก็ดูกันไปเรื่อยๆ และก็พยายามทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา เผื่อใจไว้เสมอกับทุกๆ เรื่อง ให้ทุกอย่างมีตรงกลางในจุดที่สบายใจ

“เรื่องการแต่งงานในมุมมองของโดนัท ณ เวลานี้ เอาจริงๆ โดนัทไม่ได้มองถึงเรื่องนี้เลยนะ เพราะชีวิตของโดนัทส่วนใหญ่ในช่วง 2-3 ปีมานี้ โดนัทจะโฟกัสไปที่การทำงานมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการทำหนัง ทำสารคดี เปิดบริษัท รวมถึงละคร คือชีวิตมันยังล้มลุกคลุกคลานได้อีกเยอะ เลยยังไม่มีเวลาคิดเรื่องแต่งงานเลยจริงๆ เข้าใจเลยนะว่าเวลาที่คนพูดว่าไม่พร้อมคืออะไร ตอนนี้เข้าใจคำนั้นที่สุด” โดนัท มนัสนันท์ กล่าว

ซึ่งสำหรับทีมข่าว Sanook! แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ โดนัท มนัสนันท์ ถึงเรื่องราวชีวิตและบทบาทหน้าที่ในฐานะคนบันเทิง แต่สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้จากเธอก็คือ เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและมีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจน  นั่นจึงทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไร ชื่อของเธอจึงเป็นที่ยอมรับในหมู่แฟนละครมาอย่างยาวนาน และต่อให้ในอนาคตเธอจะตัดสินใจเลือกที่จะทำงานในฐานะคนเบื้องหลังอย่างจริงจัง แต่เชื่อได้เลยว่าผลงานที่ถูกสร้างสรรค์โดย โดนัท มนัสนันท์ นั้น จะต้องเป็นผลงานที่ไม่ทำให้ใครหลายคนผิดหวังอย่างแน่นอน

รู้จักโรค SLE  - 8 สัญญาณอันตราย โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง SLE ลูปัส หรือโรคพุ่มพวง

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ รับมือกับช่วงวิกฤต โดนัท มนัสนันท์ ในวันที่รู้ว่าป่วยด้วยโรค SLE

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook