เผยขรก.เออร์ลี่ปี ฒ52 พุ่งสูงถึง1.3หมื่นราย ทุ่มงบ1.3หมื่นล.จ่าย ปรับกฎใหม่ห้ามคนต้องอาญาร่วม
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศุภรักษ์ ควรหา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ว่า ครม. เห็นชอบมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด) ในปีงบประมาณ 2553 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เสนอมา โดยให้คงหลักการและสาระสำคัญของโครงการเออร์ลี่รี่ไทร์ตามมติครม. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2550 ไว้ อาทิ การจ่ายเงินขวัญถุงให้ 8-15 เท่า ฯลฯ แต่มีการปรับปรุงรายละเอียดบางส่วน คือการเพิ่มเติมคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการต้องไม่เป็นจำเลยในคดีอาญา ซึ่งไม่ใช่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่กระทำโดยประมาท
นายศุภรักษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังปรับโควตาผู้เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ 1. ส่วนราชการที่ครม. มีมติให้ออกจากระบบราชการ ไม่กำหนดเป้าหมายผู้ร่วมโครงการ และให้ยุบเลิกตำแหน่งทั้งหมดหลังจากนั้น 2. ส่วนราชการที่ประสงค์จะยกเลิกบางภารกิจ ไม่กำหนดเป้าหมายผู้ร่วมโครงการในภารกิจที่จะถูกยุบเลิก และให้ยุบตำแหน่งทั้งหมดหลังจากนั้น 3. ส่วนราชการที่มีอัตรากำลังเกิน กำหนดเป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการไม่เกินร้อยละ 10 และให้ยุบเลิกตำแหน่งหลังจากนั้น 4. ส่วนราชการที่มีอัตรากำลังเหมาะสมกับภารกิจ แต่มีข้าราชการสูงอายุ (อายุ 50 ปีขึ้นไป) เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด เดิมล็อคโควตาผู้เข้าร่วมโครงการไว้ที่ร้อยละ 10 แต่ให้ปรับเกณฑ์ใหม่ ดังนี้
ส่วนราชการที่มีข้าราชการสูงอายุร้อยละ 20 ขึ้นไป ให้โควตาผู้ร่วมโครงการไม่เกินร้อยละ 10 ส่วนราชการที่มีข้าราชสูงอายุร้อยละ 15-20 ให้โควตาไม่เกินร้อยละ 7.5 ส่วนราชการที่มีข้าราชสูงอายุร้อยละ 10-15 ให้โควตาไม่เกินร้อยละ 5 ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นโครงการจะไม่มีการยุบเลิกตำแหน่ง 5.ส่วนราชการที่มีอัตรากำลังไม่เพียงพอ แต่มีข้าราชการสูงอายุเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนด เดิมล็อคโควตาผู้เข้าร่วมโครงการไว้ที่ร้อยละ 5 แต่ให้ปรับเกณฑ์ใหม่ ดังนี้ ส่วนราชการที่มีข้าราชการสูงอายุร้อยละ 20 ขึ้นไป ให้โควตาผู้เข้าร่วมโครงการไม่เกินร้อยละ 5 ส่วนราชการที่มีข้าราชสูงอายุร้อยละ 10-20 ให้โควตาไม่เกินร้อยละ 3 ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นโครงการจะไม่มีการยุบเลิกตำแหน่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานก.พ.ได้รายงานว่าตัวเลขผู้เข้าร่วมโครงการ และประมาณการงบประมาณในปี 2552 ให้ครม. รับทราบ โดยพบว่ามีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 13,883 ราย รัฐต้องรับภาระงบประมาณถึง 13,959 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการจ่ายงบก้อนให้เพื่อเป็นเงินขวัญถุง 7,590 ล้านบาท จ่ายบำเหน็จให้ 1,579 ล้านบาท จ่ายบำนาญ 2,072 ล้านบาท/ปี จ่ายบำเหน็จดำรงชีพ 2,718 ล้านบาท
