กกต.ขยาดไม่เปิดลังคดี258ล.หลังจำนวนแฟ้มไม่ตรงกับใบปะหน้า เหลิมอ้างพลตรีซี้ปชปงปูดให้ข้อมูล

กกต.ขยาดไม่เปิดลังคดี258ล.หลังจำนวนแฟ้มไม่ตรงกับใบปะหน้า เหลิมอ้างพลตรีซี้ปชปงปูดให้ข้อมูล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กกต.แหยง ไม่เปิดลังเอกสารปม 258 ล้าน หลังจำนวนแฟ้มข้อมูลไม่ตรงกับใบปะหน้า ขีดเส้นตายดีเอสไอส่งจนท.ร่วมเปิดลัง 25 มี.ค.นี้ แพล็มอาจคืนสำนวนให้สอบเสร็จก่อน ค่อยถึงคิว กกต. เฉลิม โวยรมว.ยธ.แทรกแซง ขรก. ขู่ขัดรธน. ปัดได้ข้อมูลจากดีเอสไอ อ้างพลตรีคนหนึ่งที่ปชป.รู้จักดีให้มา

กกต.ดึงดีเอสไอเปิดกล่อง258ล้าน

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมประสานกรมสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมรู้เห็นการเปิดกล่องเอกสารสำนวนการสอบสวนเงิน 258 ล้านบาท ที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ว่าจ้างบริษัท เมสไซอะ ครีเอชั่น แอนด์ บิซิเนส ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ และฝ่ายค้านนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ใช้เมสไซอะฯฟอกเงินจำนวนนี้ผ่านเข้าพรรค และสำนวนการสอบสวนเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. แถลงภายหลังการประชุม กกต. เมื่อวันที่ 24 มีนาคมว่า สำนักกิจการพรรคการเมืองได้มีหนังสือถึงนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีดีเอสไอได้มีหนังสือให้ตรวจสอบสำนวนดังกล่าว พร้อมส่งกล่องเอกสาร 2 กล่อง และสำเนาสำนวนการสอบสวน 8 แฟ้มมาให้ กกต. แต่มีสำเนาสำนวนส่งมาเพียง 7 แฟ้ม ไม่ตรงกับใบแสดงรายการที่แจ้งไว้ ที่ประชุม กกต.จึงเห็นพ้องมอบหมายให้สำนักกิจการพรรคการเมืองประสานไปยังดีเอสไอเพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมรู้เห็นการเปิดกล่องเอกสาร พร้อมกับบันทึกภาพนิ่ง ภาพวิดีโอ และให้สื่อมวลชนมาเป็นพยานด้วย โดยได้ส่งหนังสือไปยังดีเอสไอแล้วและกำลังรอว่าดีเอสไอจะมีหนังสือตอบรับกลับมาเมื่อไร

โยนดีเอสไอสอบก่อนกกต.

ทางกิจการพรรคการเมืองได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุม กกต.ว่า ดีเอสไอได้สืบสวนสอบสวนกรณีบริษัท ทีพีไอได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2534 รวมถึงความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว จึงเห็นควรให้ดีเอสไอสืบสวนสอบสวนให้แล้วเสร็จ จากนั้นหากพบว่ามีการกระทำผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.พรรคการเมืองจึงค่อยนำผลมาให้กกต.พิจารณา ทั้งนี้ ยืนยันว่า กกต.ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว โดยต้องรอผลการตรวจสอบเอกสารก่อนว่าอยู่ในอำนาจที่กกต.จะดำเนินการได้หรือไม่ รวมทั้งหนังสือที่ดีเอสไอส่งมาก็ระบุให้ กกต. พิจารณาดำเนินการด้วย นายสุทธิพล กล่าว

รับมีสิทธิ์สอบเส้นทางเงิน

นายสุทธิพล ยอมรับว่า แม้ว่า ดีเอสไอ ไม่ได้ส่งเรื่องมา แต่มีการอภิปรายในสภา และกกต.เห็นว่ามีเหตุอันสมควรว่ามีการกระทำความผิด ก็สามารถดำเนินการได้ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยกกต. มาตรา 12 ระบุว่า เมื่อความปรากฏต่อกกต.ว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมีเหตุอันสมควรให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน และดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด เท่ากับว่ากฎหมายให้อำนาจในการใช้ดุลพินิจในการรับเรื่อง ที่ผ่านมา กกต.รับรองงบดุลพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นการรับรองตามมาตรฐานทางบัญชีเท่านั้น เหมือนรับรองผลเลือกตั้งทั่วไปตามระบบ แต่เมื่อมีการร้องเรียนมา กกต.ก็ต้องสอบสวนให้ความปรากฎ

ยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาหรือมีใบสั่งจากใครให้ช่วยเหลือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง และไม่อยากให้ กกต. ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง กกต. คงไม่ละเว้นหรือเข้าข้างฝ่ายใด นายสุทธิพลกล่าว

สดศรีแพล็มไม่สอบปม258ล.

ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง กล่าวก่อนเข้าประชุมถึงกรณีสำนวนได้มาจากดีเอสไอ มีใบแจ้งรายการที่ไม่ตรงกับแฟ้มเอกสาร ว่า เรื่องนี้ระวังมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะคาดว่าจะเป็นประเด็นการเมือง เมื่อดีเอสไอส่งเอกสารมาก็ต้องเปิดเอกสารพร้อมกัน เมื่อไม่ได้ฉีกหรือทำลายกล่องเอกสาร ถ้าเอกสารรั่ว ก็ไม่ใช่รั่วจาก กกต. และปกติการส่งเอกสารต้องผ่านเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารงานกลาง ไม่ใช่มาวางไว้ที่ห้องประธาน กกต. แบบนี้ และถ้าดีเอสไอไม่ส่งคนร่วมเปิดกล่อง กกต.ก็อาจไม่สอบสวนเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต.จะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่เพราะเป็นประเด็นทางการเมืองไปแล้ว นางสดศรี กล่าวว่า เบื้องต้นเอกสารไม่ตรงกัน ถือว่าเป็นอันตรายหากกกต.รับไว้พิจารณา และดีเอสไอก็สอบสวนเรื่องนี้มายาวนานแล้ว

25มีค.ดีเอสไอไม่มาดึงตร.แทน

จากนน นางสดศรี ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า หากภายในวันที่ 25 มีนาคมนี้ ดีเอสไอ ยังไม่ส่งเจ้าหน้าที่มาเป็นพยานในการเปิดกล่องเอกสารสำนวนเงิน 258 ล้านบาท ตนจะขอส่งเรื่องไปที่สถานีตำรวจ เพื่อให้ส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมเป็นพยานในการเปิดกล่องเอกสารสำนวน เพราะหากเปิดกล่องออกมาแล้วพบว่ามีเพียงสำเนาเช็คใบจดทะเบียนบริษัท แต่ไม่มีการสอบสวน และไม่สามารถสรุปประเด็นเสนอให้กกต.พิจารณาได้ ก็จำเป็นต้องส่งเอกสารกลับคืนดีเอสไอ เพราะกกต.ไม่ได้มีหน้าที่สรุปสำนวนให้ใคร ทั้งนี้ หาก กกต.รับดำเนินการก็ต้องมีการตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่ขึ้นมาเพราะเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับ เช่นกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายพรรคการเมือง กกต.ฝ่ายเดียวอาจจะไม่ลึกซึ้งเท่ากับดีเอสไอ

ดีเอสไอยันส่งครบทุกแฟ้ม

พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย รองอธิบดีกรม ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท กล่าวว่า ยินดีที่จะส่งเจ้าหน้าที่ร่วมเป็นคณะกรรมการเปิดกล่องสำนวนตามที่กกต.ร้องขอ อย่างไรก็ตาม ได้สอบถามเจ้าหน้าที่คดีพิเศษที่นำลังสำนวนการสอบสวนไปส่งมอบให้กับกกต. ทราบว่า ไม่มีเอกสารขาดหาย จึงอยากให้กกต.ตรวจสอบให้ละเอียดก่อน แต่อาจจะเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันในเรื่องหมายเลขเอกสาร เพราะภายในลังเอกสารบางส่วนอาจแยกออกเป็น 2 เรื่อง เช่น ในเอกสารแฟ้มที่ 2 จะเป็นเอกสาร 2/1 เจ้าหน้าที่จึงเขียนว่ามี 8 แฟ้ม แต่หากกกต.ตรวจสอบแล้วเอกสารใดหายก็ให้แจ้งมายังอธิบดีดีเอสไอ พนักงานสอบสวนจะทำสำเนาเอกสารในสำนวนที่หายไปให้กกต.อีกครั้ง

ตอนนี้ทุกคนกำลังปัดความรับผิดชอบ เพราะรัฐบาลกำลังตั้งคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบการรั่วไหลของข้อมูลเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของบริษัท ทีพีไอ โพลี ผมในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเรื่องนี้ พร้อมจะชี้แจง ทุกประเด็นสงสัย และตอบคำถามทุกเรื่อง พ.ต.อ.สุชาติกล่าว

พท.ชงกกต.-กลต.สอบทีพีไอ-ปชป.

วันเดียวกัน ที่ห้องคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ในฐานะประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงถึงความคืบหน้าการส่งข้อมูลกรณีบริษัททีพีไอ โพลีน และการนำเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง ให้กับกกต.เพื่อพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ ว่า พรรคเพื่อไทยได้มอบหมายให้นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนกรณีตลาดหลักทรัพย์นั้น มีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่พรรคเพื่อไทย เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งจะได้ข้อสรุปในวันที่ 26 มีนาคมนี้ และวันเดียวกันนั้นนายสุรพงษ์ จะไปยื่นเรื่องให้สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ตรวจสอบกรณีบริษัททีพีไอ โพลีน นำเงินออกมาด้วย เชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดเป็นไพลามทุ่ง เพราะบาดแผลหลังการอภิปรายเท่ากับรอยขวานจาม

ปัดได้ข้อมูลจากดีเอสไอ

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ขอเรียกร้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมการที่ไปตรวจสอบดีเอสไอว่า เป็นผู้ให้ข้อมูลแก่พรรคฝ่ายค้านหรือไม่ โดยขอยืนยันว่าดีเอสไอไม่เคยให้ข้อมูลตนและคณะ พรรคเพื่อไทยมีข้อมูลมาก่อน โดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน เคยอภิปรายเรื่องนี้ในสภาสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วหนึ่งครั้ง และตนย้ำหลายครั้งว่ามีข้อมูลหลักฐานพร้อม แต่ที่ยื่นญัตติล่าช้าเพราะต้องผ่านกระบวนการของพรรค ดีเอสไอไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง

ถ้าดีเอสไอไม่พร้อมก็จะร้องกกต. แต่เมื่อกกต.รับคำร้องจากดีเอสไอ พวกผมจะอยู่ในฐานะคอยให้ข้อมูลเพิ่มเติมให้ครบถ้วน ง่ายต่อการพิจารณา ดังนั้นรัฐมนตรียุติธรรมอย่าไปก้าวก่ายงานของดีเอสไอ ถ้ารัฐมนตรีกดดันอย่างนี้เท่ากับเป็นการสกัดกั้นการทำงานโดยบริสุทธิ์ของข้าราชการ ถือว่ากระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 266 ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

โยนพลตรีเป็นผู้ให้ข้อมูล

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงที่มาของข้อมูลว่า นายประจวบ สังขาว อดีตผู้บริหารบริษัท เมสไซอะฯ ได้ไปขอความช่วยเหลือนายตำรวจยศ ร.ต.อ. โดยนายประจวบได้ไปให้การกับเจ้าหน้าที่และบอกเล่าให้พรรคพวกเขียนบันทึกไว้ จากนั้นนายตำรวจคนดังกล่าวได้พานายประจวบไปพบ พล.ต. ที่เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่ง ที่สื่อและพรรคประชาธิปัตย์รู้จักดี และวันนี้ตนจะไปพล.ต.คนนั้น หากได้รับอนุญาตก็จะเปิดเผยชื่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่า คือ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม ปฎิเสธที่จะตอบคำถาม โดยบอกว่า ถ้าอยากรู้ให้ตามไปดูเย็นวันนี้ รวมทั้งปฎิเสธว่า ไม่ใช่พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนากยรัฐมนตรีที่มีความสุขไปแล้ว

พท.บุกสรรพากรตรวจภาษี258ล.

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า สัปดาห์หน้าตนและฝ่ายกฎหมายจะเดินทางไปกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบการได้มาของเงิน 258 ล้านบาทว่า มีการชำระภาษีถูกต้องหรือไม่ และยืนยันว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ได้รับข้อมูลมาจากดีเอสไอ แต่รัฐบาลกำลังหาแพะ เชื่อว่าไม่เกินภายในสัปดาห์หน้าร่างคำร้องที่ร.ต.อ.เฉลิม ร่างด้วยมือตัวเอง จะนำไปยื่นต่อกกต.โดยมีเดิมพันด้วยการยุบพรรคประชาธิปัตย์

ขณะที่ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่เคยให้สัมภาษณ์ว่า พรรคได้ข้อมูลเงิน 258 ล้านบาทจากดีเอสไอ และไม่มีใครที่เคยเห็นข้อมูลดังกล่าวมาก่อนจนกระทั่งวันอภิปราย

ชวนจี้สอบวินัยขรก.ดีเอสไอ

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เห็นด้วย ถ้ากระทรวงยุติธรรมจะตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าข้อมูลรั่วหรือไม่ ไม่ใช่เพื่อปกป้องพรรคการเมือง แต่สอบเพื่อให้รู้ว่ากระบวนการทำงานของดีเอสไอมีอะไรที่ต้องระมัดระวัง ว่าทำอะไรถูกหรือผิดต่อระเบียบวินัยของข้าราชการหรือไม่

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่า ตนคงไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบ เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายประจำ ส่วนสาเหตุที่สงสัยว่าอาจมีการหลุดรั่วของข้อมูล เพราะข้อมูลบางเรื่องที่ได้รับทราบ เป็นเรื่องที่ดีเอสไอไม่ได้พูดกับใครเลย แม้แต่พนักงานสอบสวน ซ้ำข้อมูลที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอ่านในสภา ความรู้สึกของคนทั่วไปฟังแล้วชัดเจนว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งหากตรวจสอบว่าข้อมูลรั่วจากดีเอสไอจริง ก็มีระเบียบอยู่ เป็นเรื่องวินัย เรื่องกฎหมาย ก็ว่ากันไปตามนั้น

ตั้งรองปลัดยธ.สอบข้อมูลรั่ว

ด้านนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กำกับดูแลดีเอสไอ เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นและกำชับให้รายงานผลมายังกระทรวงยุติธรรมโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ สั่งการให้กองการเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทั้งประเด็นข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจากการถอดเทปคำอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เกี่ยวพันกับคดีบริษัททีพีไอ เพื่อตรวจสอบอีกทางหนึ่งว่า มีมูลคดีบางส่วนรั่วไหลจริงตามที่มีการกล่าวอ้างหรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า หากมีการกระทำผิดวินัยข้าราชการเกิดขึ้น กระทรวงจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร รวมถึงประเด็นข้อกฎหมายที่คณะกรรมการตรวจสอบอาจต้องเข้าไปตรวจรายละเอียดบางส่วนที่มีการนำเสนอต่อสื่อมวลชน โดยจะต้องไม่กระทบต่อรูปคดี และหากความลับในสำนวนคดีรั่วไหลจากบุคคลที่เข้าไปตรวจสอบ บุคคลนั้นจะต้องรับผิดทางอาญา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook