ทหารบุกกุฏิเจอผู้หญิง-ถุงยางใช้แล้ว หลวงพี่อ้างสีกาแค่มาปรับทุกข์

ทหารบุกกุฏิเจอผู้หญิง-ถุงยางใช้แล้ว หลวงพี่อ้างสีกาแค่มาปรับทุกข์

ทหารบุกกุฏิเจอผู้หญิง-ถุงยางใช้แล้ว หลวงพี่อ้างสีกาแค่มาปรับทุกข์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชาวบ้านแจ้งทหารบุกตรวจกุฏิ เจอผู้หญิง-ถุงยางใช้แล้ว หลวงพี่อ้างสีกาแค่มาปรับทุกข์ ให้นอนเพราะไม่มีที่ไป

(10 ม.ค.) เมื่อเวลา 21.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก ชาวบ้าน ม.7 ต.เขาท่าพระ อ.เมืองชัยนาท ว่า นางวารี อายุ 44 ปี มีท่าทีไม่ชอบมาพากล เหมือนถูกเล่นของใส่ และถูกโน้มน้าวจิตใจ มีพฤติกรรมที่ผิดแปลกไปจากเดิมที่ต้องไปตั้งร้านขายกาแฟ และเครื่องดื่มตามงานประจำปีต่างๆ แต่พักหลังนี้ไม่ยอมไปตั้งร้านหรือทำงานตามปกติ จ้องที่จะไปที่วัดอย่างเดียว ไปตั้งแต่เช้าจนดึกๆ ดื่นๆ ก็ไม่ยอมกลับบ้าน ซึ่งพอสามีและญาติทวงถามก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันยกใหญ่ จึงหนีไปนอนที่วัดกับหลวงพี่รูปหนึ่ง

จากนั้นเวลา 22.30 น. นายณัฐวุฒิ ตั่งสินชัย ปลัดอำเภอเมืองชัยนาท จึงประสานเจ้าหน้าที่ทหาร พร้อมด้วยฝ่ายปกครองจังหวัดชัยนาท เข้าทำการตรวจค้นวัดเขาท่าลาภ ม.7 ต.ธรรมามูล อ.เมืองชัยนาท พบ พระสมพร อายุ 49 ปี อยู่ที่กุฏิ พบว่าอยู่กับนางวารีจริง แต่อยู่คนละห้อง มีสีหน้าหวาดวิตกกังวล พร้อมยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่มีอะไรไม่ได้ทำผิดอะไร เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังเข้าตรวจค้นห้องที่นางวารีออกมา พบว่าใต้ที่นอนมีถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วซ่อนอยู่ ส่วนที่ห้องของพระสมพร พบกระเป๋าถือและกระเป๋าสตางค์อยู่ในลิ้นชักเก็บของ โดยระหว่างการรื้อค้น ทั้งคู่ให้การบ่ายเบี่ยงโดยเด็กวัด อายุ 12 ปี คนสนิทของพระสมพร ได้รับเป็นเจ้าของถุงยางเอง อ้างว่านำมาฉี่ใส่เล่นๆ ส่วนกระเป๋าของนางวารีนั้นตนก็เป็นคนนำมาเก็บไว้ที่ห้องของหลวงพี่เอง พร้อมนำตัวพระและเด็กวัด ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ

ด้านพระสมพร ให้การว่า นางวารี มาดูดวงและมาระบายความทุกข์เกี่ยวกับครอบครัวจนถึงขั้นเครียดมาก ขอนอนพักที่กุฏิ ตนเห็นว่าไม่มีที่ไปจึงให้นอนด้วยไม่มีอะไรเกินเลยและไม่ได้ทำอะไรผิด ส่วนถุงยางก็ไม่ใช่ของตน ตั้งแต่บวชมา 30 กว่าพรรษาไมเคยมีเรื่องแบบนี้

นางบุญชู อายุ 51 ปี ผู้ที่มาเป็นเพื่อนนางวารี เปิดเผยว่า ตอนที่มานั้นนางวารีชวนมาตนก็มาด้วยเมื่อคืนที่ผ่านมา มานอนอยู่ในห้องเดียวกันสามคน ตนนอนที่เท้าของทั้งคู่ ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีอะไรกันตนก็ไม่คิดว่าจะเลยเถิด ทางเจ้าหน้าที่เห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้องและเสื่อมเสียชื่อเสียงศาสนาพุทธ เพราะหลักฐานทุกอย่างแน่นหนา แม้ว่าทางพระสมพร ยืนกรานว่าไม่ได้ทำ ทางเจ้าหน้าที่จึงพามาสึกที่ วัดศรีวิชัยวัฒนาราม โดยมีพระครูวิชัยกิจจาทร รองเจ้าคณะอำเภอเมือง เป็นผู้สอบสวนและทำการสึกทันทีเพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะว่าการกระทำดังกล่าวผิดวินัยร้ายแรงของวงการพระสงฆ์ที่มิควรกระทำต่อฆราวาสที่เลื่อมใส

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook