ก้าวร้าว เคร่งจิตวิทยา เย็นชา ราฟาเอล เบนิเตซ

ก้าวร้าว เคร่งจิตวิทยา เย็นชา ราฟาเอล เบนิเตซ

ก้าวร้าว เคร่งจิตวิทยา เย็นชา ราฟาเอล เบนิเตซ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าจะกล่าวถึงผู้จัดการทีมที่ดูจะอยู่ในกระแสและมีชื่อปรากฎอยู่บนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ หรือนิตยสารฟุตบอลเกือบทุกยี่ห้อไม่เว้นแต่ละวัน ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นกุนซือหนุ่มเจ้าความคิด จอมแท็กติก หน้าตาย ไร้อารมณ์ ของ สาวก "เดอะ ค็อป" ราฟาเอล เบนิเตซ นั่นเอง ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ไม่ว่าจะเป็นการถล่ม แอสตัน วิลล่า 5-0 สดๆร้อนๆ การผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 4 จาก 5 ปีหลังสุดด้วยการกำหราบ เรอัล มาดริด เจ้าของแชมป์ลา ลีกาสเปนและรายการนี้มากสมัยที่สุดด้วยสกอร์รวมไปกลับชิลๆแค่ 5-0 ต่อด้วยการบุกไปสอนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลถึงถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 4 ต่อ 1 ( ย้ำอีกครั้ง ) บุกไปสอนบอลให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลถึงถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 4 ต่อ 1 ด้วยฟอร์มที่ต้องบอกว่าสู้กันไม่ได้ในเรื่องของแท็กติก และนับเป็นชัยชนะด้วยสกอร์ถล่มทลายที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในการมาเยือนแมนฯยูนับตั้งแต่ปี 1936 อีกด้วย และนับเป็นความพ่ายแพ้เกมแรกในบ้านอีกด้วย ที่สำคัญมันเปิดโอกาสให้การลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล กลับมามีลุ้นมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้แทบจะหมดลุ้นไปแล้ว

ผลงานระดับเมกะโปรเจกต์ยังผ่านพ้นไปได้ไม่ทันไร เบนิเตซ ก็ได้ออกมาส่งสารไปถึงบรรดาสโมสรทั้งหลายเพื่อเป็นการกดดัน แมนฯยู ต่อในทันทีแบบไม่ทันให้ตั้งตัวว่า "เราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแมนฯยูก็แพ้เป็น ขอให้ทีมอื่นอย่าไปกลัว" และดูเหมือนผู้ที่ได้รับความกดดันในทันทีกับคำให้สัมภาษณ์ของ เบนิเตซ ก็คือรอย ฮอดสัน ผู้จัดการทีมฟูแล่มที่มีโปรแกรมต้องพบกับแมนฯยูในนัดต่อไป ก็ต้องยอมรับครับว่าเป็นความชาญฉลาดสำหรับจิตวิทยาของ ราฟา ในครั้งนี้

เพราะจากการคาดเดาของเกจิทุกสำนักทั้งในและต่างประเทศต่างก็เฝ้าจับตามองดูว่า แมนฯยู ไนเต็ด จะเมาหมัด ฟอร์มหลุดหรือไม่หลังแพ้เละเทะมา และแล้วสิ่งที่คาดเดากันต่างๆนาๆ ก็เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบจนได้ เมื่อเกมที่นึกว่าง่ายดายสำหรับแมนฯยูในการเจอกับฟูแล่ม ผลกลับจบลงแบบช็อคสายตาแฟน"ปีศาจแดง" ทั่วโลก พวกเขาพ่ายแพ้อีกเป็นเกมที่สองติดต่อกัน งานนี้ต้องยกเครดิตทั้งหมดให้กับ รอย ฮอดสัน ผู้จัดการทีมฟูแล่ม ที่แม้ปากจะบอกว่า "ราฟา คุณอย่ามาคาดหวังอะไรกับผม" แต่ในความเป็นจริงแล้ว รอย เลียนแบบพฤติกรรมของราฟา ไม่มีผิดเพี้ยน จนกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องรายที่ 2 และเชื่อเหลือเกินว่าราฟา คงอยากที่จะเห็นฆาตกรต่อเนื่องรายที่ 3, 4, 5 ต่อไป อันเป็นผลดีกับ ลิเวอร์พูล ในการกลับมามีลุ้นแชมป์ในปีนี้

จะเห็นได้ว่า ราฟา นั้นดูจะดุดันมากขึ้นจากแต่ก่อนในเรื่องการใช้จิตวิทยาผ่านสื่อ เพื่อเป็นการลดแรงกดดันให้กับทีมรวมไปถึงสร้างความกดดันให้คู่แข่งไปในตัว จากที่เคยสุภาพ ให้เกียรติ มองโลกในแง่ดีกับหลายคนที่เป็นคู่แข่ง แต่มาถึงตอนนี้ราฟา เปลี่ยนไปแล้ว ก้าวร้าวด้วยคำพูดไม่เว้นหัวหงอกหัวดำ แม้กระทั่งอภิสิทธิ์ชนอย่างท่าน เซอร์ อเล็กซ์ฯ, ผู้ตัดสิน หรือแม้แต่สองเจ้าของสโมสรชาวมะกันก็เคยถูกเล่นหัวมาแล้ว ทั้งหลายทั้งปวงนั้นคือทรรศนะคติในการทำทีมที่เปลี่ยนไปของราฟา ในฤดูกาลนี้

วกกลับมาเข้าเรื่องในสนามกันบ้าง ก็ต้องบอกกับคุณผู้อ่านตามตรงครับว่า ผมเองก็เป็นสาวก "เดอะ ค็อป" มานาน และโดยส่วนตัวแล้วผมเห็นความแตกต่างจากหลายปีก่อนชัดเจนสำหรับลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่แพ้ยาก และสามารถชนะทีมบิ๊กโฟร์ได้ซะที หลังจากเป็นลูกไล่มาหลายปี ชนะ เชลซี ไปกลับแบบที่ยอดทีมจากลอนดอนเจาะประตูไม่ได้ กำหราบ แมนฯยู ไปกลับด้วยสกอร์ 6-2 ทั้งที่ทั้งสองนัดตกเป็นรองก่อน หรือแม้แต่การบุกไปเสมออาร์เซน่อล ทั้งที่ตามหลังก่อนเช่นกัน อะไรกันหล่ะที่ทำให้ลิเวอร์พูล เปลี่ยนไปได้ในฤดูกาลนี้
โดยส่วนตัวแล้วนอกจากประสบการณ์ในฟุตบอลอังกฤษที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ผมคิดว่า ราฟา นั้นมีนักเตะในอุดมคติอยู่ในทีมมากพอก็เป็นได้

และถ้าถามว่านักเตะในอุดมคติของ ราฟา เป็นอย่างไร ผมคิดว่าหลายคนคงไม่ปฎิเสธว่า 11 ตัวจริงของ "หงส์แดง" ในแต่ละเกมจะไม่มีผู้เล่นตัวรุกแท้ๆ ( แบบว่ากรูไม่เอาเลยเรื่องเกมรับ ) อยู่เลย ทุกคนที่ราฟา เลือกซื้อเลือกลงสนามคือผู้เล่นประเภทสองคนในร่างเดียว กล่าวคือรุกก็ดีรับก็เด่นเน้นพละกำลัง ไม่จำเป็นที่จะต้องมีฝีเท้าจัดจ้านถึงขั้นเทพอย่างซีดาน, มาราโดน่า หรือคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่ขอให้คุณเชื่อฟังคำสั่งแล้วลงไปทำตามแท็กติกที่ได้ว่างไว้ให้ดีที่สุดเท่านั้นเป็นพอ

และเมื่อมองไปที่ขุมกำลังชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล ณ เวลานี้แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะนอกจาก โฆเซ่ เรน่า แล้วเหนือขึ้นไปจะมีก็แต่ เฟร์นานโด ตอร์เรส คนเดียวเท่านั้นที่ดูจะเล่นเกมรุกเป็นหลักโดยไม่สนใจเรื่องเกมรับเท่าไหร่ ที่เหลือคือนักเตะที่ผมให้คำนิยามว่า "สองคนในร่างเดียว" คือรุกก็ดีรับก็เด่นเน้นพละกำลัง โดยในแต่ละเกมเราจะเห็นพฤติกรรมของ เดิร์ก เค้าท์ วิ่งขึ้นลงไม่มีหยุด ตัดเกม เติมเกม อาจจะขาดๆเกินๆในเกมรุกไปบ้าง แต่เกมรับผมคิดว่าเวลานี้ เค้าท์ คือกองหน้าที่มีสถิติแท็กเคิลคู่แข่งมากที่สุดของโลกในเวลานี้ไปแล้ว แม้ก่อนหน้าที่จะย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล

เค้าท์ เคยเป็นดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ดัตช์สมัยค้าแข้งอยู่กับเฟเยนูร์ด มาก่อน ลิเวอร์พูล ได้ประโยชน์จากนักเตะอย่าง เดิร์ก เค้าท์ เป็นอย่างมากแม้หลายคน (รวมถึงตัวผมเอง ) จะไม่ค่อยชื่นชอบในฝีเท้าของ "เดอะ ดัตช์แมน" รายนี้เท่าไหร่ เพราะไม่ว่าจะดูยังไงแล้วสำหรับตำแหน่งริมเส้นฝั่งขวา ทีมยักษ์ใหญ่อย่างลิเวอร์พูล ต้องมีนักเตะที่ดีกว่านี้ นอกจากนี้เกมรับของลิเวอร์พูลเราจะเห็น อลอนโซ่ และ มาสเชราโน่

รวมไปถึงผู้เล่นปีกอย่าง เค้าท์ และ ริเอร่า หรือ เบนายูน ลงต่ำจนถึงกรอบเขตโทษและจะคอยเป็นตัวสกรีนทำลายจังหวะคู่ต่อสู้ให้กับคู่เซนเตอร์แทบทุกช็อต ขณะเดียวกันยามบุกเราก็จะเห็น อลอนโซ่ หรือ มาสเชราโน่ สอดประสานเชื่อมเกมแดนหลังกับกลาง หรือระหว่างปีกทั้งสองข้างจากซ้ายไปขวา ขวามาซ้ายรวมไปถึงการผ่านบอลสั้นยาวและลูกยิงไกลในการสร้างสรรค์เกมบุกและนี่คือข้อพิสูจน์ว่านักเตะในอุดมคติของราฟา นั้นถ้าไม่ติดโทษแบนหรือบาดเจ็บแล้วมักเป็นตัวจริงตลอด ขณะที่นักเตะที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวมากพอจะค่อยๆหลุดออกจากทีมไปทีละคนไม่ว่าจะเป็น ปีเตอร์ เคร้าช์, เจอร์เมน เพนแนนท์, แดเนี่ยล แอ็กเกอร์ โดยสองรายแรกเกมรับไม่มี ส่วนรายหลังตำแหน่งต้องเล่นเกมรับโดนธรรมชาติแต่ดูเหมือนจะโดดเด่นทางเรื่องเกมรุกมากกว่า

อุดมคติในการทำทีมของราฟา ที่เป็นแบบนี้นั่นเองทำให้ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ถ้าไม่นับเรื่องของเทคนิคและลูกเล่นที่แพรวพราวแล้ว ในเรื่องของแท็กติกต้องบอกว่าเหนือกว่าทุกทีมในลีกเวลานี้ กล่าวคือสามารถปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่นได้ตลอดเวลาแล้วแต่สถานการณ์ ส่วนเรื่องของเกมรุกก็ใช่ว่าราฟา จะไม่มีกึ๋น ถึงแม้ว่าหลายต่อคนจะกระแนะกระแหนว่า ลิเวอร์พูล เล่นบอลน่าเบื่อเน้นเกมรับไร้ซึ่งความสวยงามเหมือนแมนฯยู แต่ ณ เวลานี้คงปฎิเสธไม่ได้แล้วว่าทีมไหนยิงประตูได้มากที่สุด และทีมไหนมีประตูได้เสียดีที่สุดของลีกเวลานี้

เชื่อเหลือเกินว่าหลังจากจบฤดูกาลนี้ไม่ว่าลิเวอร์พูลจะมีแชมป์ใดติดไม้ติดมือหรือไม่ก็ตาม มุมมอง และทัศนะคติในการทำทีมให้ประสบความสำเร็จโดยเน้นเกมรับจะด้วยระบบ 4-5-1, 4-2-3-1 หรืออะไรก็ตามแต่จะเรียก แต่ เบนิเตซ ก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงทิศทางการทำทีมของเขาแน่นอน

เหมือนอย่างสมัยที่เขาเคยพาบาเลนเซียครองความยิ่งใหญ่ในลา ลีกาสเปนเหนือรีล มาดริด และบาร์เซโลน่ามาแล้ว สมัยนั้นขุมกำลังของบาเลนเซียในชุดแชมป์ลา ลีกา 2 สมัย และยูฟ่า คัพอีก 1 สมัยถ้านำมาเปรียบเทียบกับลิเวอร์พูลชุดนี้แล้วต้องบอกว่าลิเวอร์พูลยุคนี้ก็มีสไตล์การเล่นที่ไม่ต่างจากบาเลนเซียของเบนิเตซในยุคนั้นที่มีโรแบร์โต้ อยาล่า คุมแนวรับ รูเบน บาราฆ่า และ ดาบิด อัลเบลด้า เป็นห้องเครื่องในแผงกลาง มี บิเซนเต้ และ ฟรานซิสโก้ รูเฟเต้ เป็นตัวริมเส้น และมี ปาโบล ไอมาร์ เป็นตัวสร้างสรรค์เกมรุกอยู่หลังหัวหอกอย่างมิสต้าหรือมิเกล อังกูโร่ ก็ไม่ต่างอะไรกับที่ทีมของ เบนิเตซ เวลานี้ที่มี เจมี่ คาร์ราเกอร์ ยืนพื้นในแนวรับโดยมี ชาบี อลอนโซ และ ฮาร์เวีย มาสเชราโน่ คุมแดนกลาง มีตัวริมเส้นอย่าง เดิร์ก เค้าท์ และ อัลเบิร์ท ริเอร่า แล ะมี สตีวี่ จี เป็นหน้าต่ำคอยสอดประสานกับ ตอร์เรส ในเกมรุก แต่ที่ต่างไปก็คือฟุตบอลสไตล์อังกฤษเบนิเตซจำเป็นที่ต้องเลือกผู้เล่นแข็งแกร่งในเรื่องของเกมรับมากกว่าหน่อยและที่จะขาดไม่ได้ผู้เล่นเหล่านั้นต้องพร้อมที่ทำหน้าที่เล่นเกมรุกและเกมรับได้ดีพอๆกันด้วย


ฮันนิบาล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook