ไอเอ็มเอฟคาดศก.ไทยลบ 2-4% กกร.นัดหารือม็อบเสื้อแดงยืดเยื้อกระทบความเชื่อมั่น

ไอเอ็มเอฟคาดศก.ไทยลบ 2-4% กกร.นัดหารือม็อบเสื้อแดงยืดเยื้อกระทบความเชื่อมั่น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
รอยเตอร์ทำวาทะมาร์คระบุพอใจแถลงการณ์ร่วมจี20 - หลายฝ่ายชื่นชม หลังประกาศทุ่ม 1.1 ล้านล้านเหรียญ ฟื้นเศรษฐกิจโลก ไอเอ็มเอฟคาดจีดีพีปีนี้ยังติดลบ 2-4% ประธานแบงก์ไทยพาณิชย์เชื่อช่วยดึง ศก.โลกจากติดลบเป็นบวก สภาอุตฯนัด กกร.หารือรับมือหากม็อบเสื้อแดงยืดเยื้อ ชี้กระทบความเชื่อมั่นโดยตรงต่อประเทศ เตรียมเสนอมาตรการรับมือ

จี20 ทุ่ม 1ล้านล้านดอลล์กู้ศก.โลก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 3 เมษายน ว่า หลังเสร็จสิ้นการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือ จี 20 เมื่อวันที่ 2 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่นที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อแก้ไขวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจโลก ได้ออกแถลงการณ์ว่า กลุ่มจี 20 จะร่วมมือกันทุ่มเงิน 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 38.5 ล้านล้านบาท) เพื่อต่อสู้กับวิกฤตการเงินโลกครั้งนี้ โดยแบ่งเป็น 1.สมทบเงินทุนให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จำนวน 7.5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหา 2.กระตุ้นการค้าโลก 2.5 แสนล้านดอลลาร์ 3.เพิ่มเงินให้กับธนาคารระหว่างประเทศ 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้กับประเทศยากจนที่สุด

แถลงการณ์ระบุว่า ที่ประชุมยังตกลงที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลสถาบันการเงินทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยจะยกระดับเวทีประชุมด้านการเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและเตือนภัยล่วงหน้า เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการเงิน นอกจากนี้ ตกลงที่จะต่อต้านการกีดกันทางการค้า โดยจะสนับสนุนการเจรจาการค้าเสรีรอบโดฮาขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ให้เดินหน้าต่อไป เพราะเชื่อว่าหากสำเร็จจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกได้อย่างน้อยปีะ 1.5 แสนล้านดอลลาร์

นายกฯอังกฤษชี้ระเบียบโลกใหม่

ด้านนายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ในฐานะเจ้าภาพผู้จัดประชุม กล่าวว่า ภายในปลายปี 2553 กลุ่มจี 20 จะใช้เงินรวมกัน 5 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อต่อสู้กับวิกฤตครั้งนี้ ถือเป็น ระเบียบโลกใหม่

ส่วนนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่า ข้อตกลงที่บรรลุในการประชุมครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะถือว่าเป็นความร่วมมือที่กว้างขวางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็ย้ำว่าไม่มีอะไรมารับประกันว่าเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย (รีเซสชั่น) อยู่ในขณะนี้จะไม่ยกระดับไปสู่ความตกต่ำยืดเยื้อ (ดีเปรสชั่น)

รายงานข่าวแจ้งว่า การบรรลุข้อตกลงที่น่าพอใจในครั้งนี้ ทำให้แม้แต่นายนิโกลาส์ ซาร์โกซี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ผู้ซึ่งขู่จะวอล์กเอ๊าต์ออกจากการประชุม ยังยอมรับว่าผลของการประชุมเกินกว่าที่คาดหวัง ส่วนนางอังเกลา เมอร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า ผลของการประชุมดีมากและเป็นการประนีประนอมครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะทำให้สถาปัตยกรรมการเงินโลกมีความชัดเจน

โซรอสชมจี 20 ตัดสินใจเฉียบขาด

รายงานข่าวระบุว่า ผลการประชุมครั้งนี้ได้รับเสียงชื่นชม แม้ว่าสหรัฐและอังกฤษจะไม่สามารถโน้มน้าวให้ที่ประชุมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เยอรมนีและฝรั่งเศสคัดค้านแนวคิดดังกล่าวเพราะต้องการให้เน้นไปที่การปฏิรูประบบการเงินแทน ซึ่งนายโอบามา ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าแม้จะไม่สามารถโน้มน้าวให้ที่ประชุมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เป็นไร

นายจอร์จ โซรอส นักลงทุนชื่อดัง ประธานกองทุนป้องความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) โซรอส กล่าวว่า ผลการประชุมครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาดในการต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรง

ส่วนอ๊อกซ์แฟม ซึ่งเป็นองค์กรเอ็นจีโอที่เคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านความยากจน แสดงความยินดีต่อผลการประชุมครั้งนี้ซึ่งมีมาตรการช่วยเหลือประเทศยากจนให้สามารถต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจ แต่สิ่งสำคัญก็คือการลงมือปฏิบัติจริง

ธปท.เชื่อช่วยศก.โลกฟื้นเร็วขึ้น

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า มาตรการของจี 20 ที่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกได้เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึงประเทศไทยโดยตรง เพราะไทยเป็นประเทศเปิด คาดส่งผลให้สภาพคล่องทางธุรกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น จากอุปสงค์โลกที่หดตัวลงไปก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะภาคส่งออก 2 เดือนที่ผ่านมาชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด

นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในการประชุมจี 20 และที่ไอเอ็มเอฟ ออกมาตรการเพิ่มเงินอีก 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเป็นผลดีต่อความต้องการซื้อของโลก หวังว่ามาตรการในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะติดลบ 1% ให้กลับมาเป็นบวก 2% ได้ เพราะช่วยให้ภาคการส่งออกดีขึ้น

ไอเอ็มเอฟคาดศก.ไทยปีนี้ลบ 4%

นายนิสเซนเก้ วีระซิงห์ ที่ปรึกษาฝ่ายเอเชียและแปซิฟิก ไอเอ็มเอฟ เปิดเผยว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะหดตัวรุนแรง หรือติดลบ 2-4% โดยมีปัจจัยหลักจากเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ภายใต้สมมติฐานว่าการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างกนี้ไปจะไม่เปลี่ยนแปลงและการดำเนินงานมีเสถียรภาพ ส่วนปีหน้าคาดว่าจะขยายตัว 1% ขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมเป็นหลัก ทั้งสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น

นายนิสเซนเก้กล่าวว่า การดำเนินนโยบายของไทยทำได้อย่างเหมาะสม ทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน โดยด้านการคลังคาดว่าจะขาดดุลถึง 4.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อทดแทนการส่งออกที่ชะลอตัว แต่สิ่งที่ท้าทายคือการปฎิบัติตามนโยบายว่าจะสมบูรณ์ต่อเนื่องหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในระยะกลาง คือ 2-3 ปี ประเทศไทยยังจำเป็นต้องลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายที่รัฐบาลประกาศไปแล้ว แม้จะทำให้หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ระดับที่น่าเป็นห่วง ยังอยู่ในกรอบที่ยั่งยืน

นายนิสเซนเก้กล่าวว่า สำหรับนโยบายการเงิน ถือว่าดำเนินการที่เหมาะสมเช่นกัน จากการที่ ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันลดไปแล้ว รวม 2.25% และยังมีช่องทางที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินได้อีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะอัตราเงินเฟ้อผ่อนคลายลงมาอยู่ในระดับต่ำและคาดว่าปีนี้จะต่ำกว่า 1%

อานันท์คาดจีดีพีไทยติดลบ 3%

วันเดียวกัน ธนาคารไทยพาณิชย์จัดประชุมใหญ่สามัญผู้หุ้นประจำปี 2552 ภายหลังการประชุม นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองในขณะนี้จะสร้างความยุ่งยากในการทำงานของรัฐบาลมากขึ้น แต่เชื่อว่าประเทศไทยต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ส่วนเศรษฐกิจของไทยประสบวิกฤตปัญหาหนักกว่าเมื่อปี 2540 ซึ่งไตรมาส 1-3 คงจะหนักบ้าง แต่เชื่อว่าจะดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4

ส่วนทั้งปีน่าจะติดลบประมาณ 3% เช่นเดียวกับทั่วโลกที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้น่าจะติดลบ นอกจากจะมีมาตรการบางอย่างออกมาจากประเทศมหาอำนาจ เช่น การประชุมกลุ่มประเทศจี 20 แต่เชื่อว่ามาตรการที่ออกมาคงยังไม่มีผลต่อเศรษฐกิจทันที นายอานันท์ กล่าว

กกร.นัดถกรับมือม็อบยืดเยื้อ

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ในวันที่ 7 เมษายน จะประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อประเมิณสถานการณ์และดูผลกระทบจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่ามีความยืดเยื้อแค่ไหน หากการชุมนุมนาน กกร.จะเสนอมาตรการรองรับที่ชัดเจน

นายสันติ กล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ทรุดหนักกว่าเดิม อีกทั้งรัฐบาลเพิ่งทำงานได้เพียง 3 เดือน หากต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะยิ่งยากลำบากมากขึ้น และสิ้นเปลืองงบประมาณ นอกจากนี้ความวุ่นวายในประเทศทำให้ต่างชาติตั้งคำถามว่าหากเปลี่ยนรัฐบาลแล้วต้องเปลี่ยนนโยบายด้วยหรือเปล่า ส่งผลต่อความเชื่อมั่นโดยตรงต่อประเทศ

ขณะนี้มาตรการการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่มีเอกภาพ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยว ผู้บริโภคไม่มีความเชื่อมั่น เป็นไปได้ว่าเม็ดเงินจำนวนมากที่อัดฉีดไปจะกลายเป็นศูนย์ ขณะเดียวกันการส่งออกไตรมาส 2 ของประเทศคงติดลบ หวังว่าการเมืองจะไม่ส่งผลกระทบจนการส่งออกแย่ไปกว่านี้ นายสันติกล่าว

ธปท.ช่วยแบงก์ปล่อยสินเชื่อ

สำหรับกรณีผลสำรวจศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าภาคธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงนั้น นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวยอมรับว่า สินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์เดือนกุมภาพันธ์ลดลงเหลือ 6.8 % ขณะที่เงินฝากขยายตัวเพิ่มขึ้น 6 % โดยธนาคารพาณิชย์ยังคงปล่อยสินเชื่ออยู่แต่มีปริมาณที่ลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ความต้องการเชื่อสินเชื่อลดลง และธนาคารพาณิชย์ยังกังวลกับความสามารถการชำระเงินของลูกค้าที่เสี่ยงจะเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) แต่เชื่อว่าภาคธุรกิจจะสามารถปรับตัวได้

นายบัณฑิต กล่าวว่า ธปท.จะติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด และเสนอมาตรการให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้ต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นทำไปแล้ว 2 เรื่องคือ 1.จัดตั้งโครงการค้ำประกันสินเชื่อ วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นกลไกในการบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ และผลักดันให้สินเชื่อขยายตัวต่อเนื่อง และ 2.การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 0.5% เป็น 1.5% นอกจากนี้ จะกำชับให้ธนาคารพาณิชย์ดูแลลูกค้าที่มีปัญหาการชำระหนี้ โดยมีการปรับแผนช่วยเหลือลูกค้าในรูปแบบการจัดวงเงินใหม่ การขยายระยะเวลา และการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งบางธนาคารกำลังจะดำเนินการ เชื่อว่าหลังการปรับตัวผ่านพ้นไปแล้ว จะมีปัญหาสภาพคล่องน้อยลง

บสย.เริ่มค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี

นายทวีศักดิ์ ฟุ้งเกียรติเจริญ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. เริ่มอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางละขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ตามโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ให้กับธนาคารพาณิชย์ 2 แห่ง คือธนาคารกรุงเทพ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วม 10 ราย วงเงินค้ำประกันรวม 32 ล้านบาท และธนาคารกรุงไทย วงเงินประมาณ 14 ล้านบาท คิดเป็นวงเงินค้ำประกันรวมเกือบ 50 ล้านบาท

ทั้งนี้ จะมีพิธีมอบหนังสือค้ำประกันให้ธนาคารทั้ง 2 แห่งในวันที่ 4 เมษายน ในงานไทยรวมพลังกู้วิกฤตเศรษฐกิจชาติ แฃะคาดว่าจำนวนผู้เข้ารับการค้ำประกันจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางเดือนเมษายน เนื่องจากกระบวนการขั้นตอนทางเอกสารต่างๆ เริ่มเป็นระบบมากขึ้น

สาเหตุที่ตอนนี้คนยังเข้ามาขอรับการค้ำประกันน้อย เพราะแต่ละแบงก์ต้องไปปรับกระบวนการเดินเรื่องในแบงก์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอกสาร เรื่องกระบวนการส่งคำขอมาให้กับ บสย. นายทวีศักดิ์กล่าว

มาร์คเชื่อศก.ไทยรับอานิสงส์จี-20

เว็บไซต์สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมจี-20 ว่า ที่ประชุมเห็นพ้องในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องการดูแลระบบการเงินโลกในอนาคตซึ่งจะช่วยให้มีเสถียรภาพมากขึ้น และยังมีข้อตกลงสมทบเงินให้ธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ ไปสนับสนุนด้านสินเชื่อทางการค้าและกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีส่วนช่วยฟื้นตัวการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย

ตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีแรกของปีหน้า โดยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวปลายปีนี้ ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์จากการให้สินเชื่อทางการค้าและการกระตุ้นเศรษฐกิจ นับว่าการประชุมได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เวลา 14.30 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย และแถลงถึงผลการประชุมจี-20 ว่า ผลการประชุมให้ความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนาและเศรษฐกิจของภูมิภาคอื่นๆ มากขึ้น โดยมีมาตรการหรือข้อตกลงที่เป็นรูปธรรม ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นอกจากนี้ ตนมีโอกาสพบกับประธานธนาคารโลก ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ ผู้อำนวยการดับเบิลยูทีโอ และเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งทั้ง 4 คน พร้อมจะเดินทางมาร่วมการประชุมอาเซียนกับคู่เจรจาที่ไทยเป็นเจ้าภาพในสัปดาห์หน้า

สื่อเทศจัดทำวาทะมาร์ค

สำนักข่าวรอยเตอร์จัดทำวาทะสำคัญของผู้นำกลุ่มจี-20 ที่แสดงความเห็นหลังจี-20 บรรลุข้อตกลง โดยมีวาทะของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย ในฐานะประธานอาเซียนรวมอยู่ด้วย มีใจความว่า เรารู้สึกพอใจที่แถลงการณ์ร่วมของที่ประชุมครั้งนี้ครอบคลุมหลายเรื่องและตอบสนองต่อความต้องการของเรา แผนกระตุ้นที่ตกลงกันในครั้งนี้มุ่งไปที่การสร้างงานและสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านสถาบันการเงินระดับโลก ไม่เพียงแค่ความพยายามของรายประเทศเท่านั้น การปฏิรูปหลายอย่างในสถาบันการเงินโลกและเครื่องมือใหม่ๆ ในการต่อสู้กับวิกฤตตอบสนองความต้องการของประเทศกำลังพัฒนาได้ดีกว่า ขณะเดียวกันเราก็ไม่มองข้ามเป้าหมายการพัฒนาในระยะกลางและยาว

รายงานข่าวแจ้งว่า ผลการประชุมจี-20 สร้างความพอใจให้กับตลาดหุ้นและนักลงทุน ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐวันที่ 2 เมษายน ปิดตลาดที่ 7,978.08 จุด เพิ่มขึ้น 216.48 จุด หรือ 2.8% สูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ และช่วงหนึ่งของการซื้อขายดัชนีทะลุ 8,000 จุด ได้เป็นครั้งแรกนับจากวันที่ 9 กุมภาพันธ์ปีนี้ ส่วนราคาน้ำมันดิบไลต์สวีทที่ตลาดนิวยอร์ก ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 4.25 ดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 52.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และขยับขึ้นอีกในตลาดเอเชียไปอยู่ที่ 53.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook