นายวิทวัส ศรีวิหค อธิบดีกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 เมษายน ถึงการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา และการประชุมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 10-12 เมษายนนี้ ที่พัทยา จ.ชลบุรีว่า ขณะนี้ผู้นำประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจารวม 15 ประเทศ และนายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ตอบรับที่จะเดินทางมาร่วมประชุมที่พัทยา จ.ชลบุรีแล้ว ขาดเพียงแต่ผู้นำอินเดียซึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพโดยได้มอบหมายให้นายคามาล นาธ รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม เดินทางมาร่วมประชุมแทนในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรีอินเดีย ขณะที่ผู้นำองค์กรการเงินระหว่างประเทศหลักทั้ง 5 องค์กร คือธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย องค์การการค้าโลก และอังค์ถัด รวมถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ก็ได้ตอบรับเข้าร่วมในเวทีอาเซียน โกลบอล ไดอะล็อคแล้วเช่นกัน โดยเวทีดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้มีการถกแถลงเกี่ยวกับสถานการณ์การเงินการคลัง เพื่อดูว่าอาเซียนจะมีบทบาทและมีส่วนช่วยเหลือได้อย่างไร รวมถึงหารือเพื่อสานต่อข้อเสนอจากที่ประชุมจี 20 ด้วย
นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้เชิญคณะทูตต่างประเทศในไทยมาฟังการบรรยายที่กระทรวงการต่างประเทศในวันที่ 8 เมษายนนี้ ที่กระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหัวข้อหลักของการบรรยายจะเป็นการสรุปผลการประชุมจี 20 ที่นายกรัฐมนตรีไทยเข้าร่วมในฐานะประธานอาเซียน ตลอดจนบรรยายสรุปเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาและการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่พัทยา จ.ชลบุรี ในปลายสัปดาห์นี้
ส่วนจะมีการชี้แจงคณะทูตเกี่ยวกับการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาดำเนินคดีหรือไม่ นายธานีกล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาจใช้โอกาสนี้ชี้แจงเรื่องอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจของคณะทูตด้วย
เอเอฟพีรายงานโดยอ้างนักการทูตอาวุโสของอาเซียนว่า การประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาระหว่างวันที่ 10-12 เมษายนนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับอาเซียนที่จะเพิ่มน้ำหนักและอิทธิพลขององค์กรต่อกิจการระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นการต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ เนื่องจากเป็นการประชุมระหว่างประเทศที่จัดขึ้นหลังการประชุมจี 20 ซึ่งเอเชียในฐานะภูมิภาคที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลกขณะนี้ สามารถผลักดันความพยายามในการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจให้เกิดความก้าวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากที่จีนและญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนเป็นมูลค่าถึง 2 ใน 3 ของจำนวนเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์เพื่อใช้ในกองทุนเพื่อใช้สำหรับรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่อาเซียนเองจะต้องพยายามหายุทธศาสตร์ใหม่เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจของอาเซียนที่พึ่งพิงการส่งออกท่ามกลางภัยคุกคามของปัญหาการว่างงานและความวุ่นวายทางการเมือง