เปิดใจหนุ่มไทยดีกรี "วิศวกรแอปเปิ้ล" พิชิตเดินป่าข้ามสหรัฐ เปลี่ยนมุมมองชีวิต

เปิดใจหนุ่มไทยดีกรี "วิศวกรแอปเปิ้ล" พิชิตเดินป่าข้ามสหรัฐ เปลี่ยนมุมมองชีวิต

เปิดใจหนุ่มไทยดีกรี "วิศวกรแอปเปิ้ล" พิชิตเดินป่าข้ามสหรัฐ เปลี่ยนมุมมองชีวิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องราวการเดินป่าตามเส้นทางแปซิฟิก เครสต์ เทรล ของหนุ่มตอง พชร ประภาตะนันท์ ระยะทาง 4,265 กิโลเมตร จากชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก จรดชายแดนสหรัฐ-แคนาดา ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านจำนวนมาก สนุกดอทคอมจึงอยากพาทุกท่านไปรู้จักกับหนุ่มคนนี้มากขึ้น ตั้งแต่ประสบการณ์การทำงานที่แอปเปิ้ล บริษัทด้านไอทีระดับโลก จนถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจเดินป่า จนถึงมุมมองชีวิตที่ต่างออกไป หลังจากพิชิตจุดหมายสำเร็จ

>> หนุ่มไทยสุดแกร่ง! พิชิตเดินป่า "4,265 กิโลเมตร" จากเม็กซิโก ถึงแคนาดา นาน 5 เดือน

ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนสหรัฐ เอาดีด้านไอที

ผมโตในกรุงเทพฯ ครับ เรียนมัธยมที่นวมินทราชูทิศเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า พอขึ้น ม.4 การเรียนตก ตอนนั้นติดเกมส์แร็กนาร็อค และเล่นดนตรีกับเพื่อน บวกกับความที่ไม่ชอบเรียน ผมโดนกดดันเรื่องการเรียนมากเพราะว่าพี่ชายกับพี่สาวและญาติของผมแทบทุกคนเป็นคนตั้งใจเรียน ผมเลยตัดสินใจที่จะหาทางออกกับการไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในสหรัฐอเมริกา

หลังจากจบมัธยมผมได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยในรัฐเคนทักกี คณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้ผมกลับมาตั้งใจเรียนและได้ทุนการศึกษาจนจบ หลังจากที่เรียนจบผมย้ายมาแคลิฟอร์เนียเพื่อมาทำงานเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนียกับภรรยาผม ที่เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นที่ไทย

ครั้งหนึ่งกับการร่วมงาน Apple 

ผมเป็นคนชอบคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ประถม เริ่มเขียนโปรแกรมตั้งแต่มัธยมต้น ความใฝ่ฝันของผมคือได้มาทำงานใน Sillicon Valley หลังจากที่เรียนจบผมทำงานกับบริษัทสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งเกือบ 4 ปี จากนั้นผมลองไปสัมภาษณ์ที่แอปเปิ้ล กูเกิล เฟซบุ๊ก และอเมซอน การสัมภาษณ์แต่ละที่ยากมาก ผมเตรียมตัว 3-4 เดือน ที่ Apple ผมต้องผ่านการสัมภาษณ์กับวิศวกร 15 คน ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสที่จะผ่าน

แต่พอได้อีเมล์จากฝ่ายคัดเลือกคนเข้าทำงาน บอกว่า ผมสัมภาษณ์ผ่าน ผมดีใจมาก ดีใจที่ทำให้พ่อกับแม่ผมภูมิใจ ผมเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ ของทีม Apple TV วิศวกรทุกคนในทีมผมเก่งมาก ผมได้เรียนรู้และสร้างประสบการณ์มากมายจากพวกเขาในระยะเวลา 4 ปี ตอนที่เดินป่า ทุกคนจากทีมรวมทั้งผู้จัดการ (Director) ของทีม คอยส่งข้อความให้กำลังใจตลอดการเดินทาง

ออกค้นหาความท้าทายของชีวิต

Pochara Prapatanant

พูดตรงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ผมตัดสินใจที่จะเดิน หลังจากเดินเสร็จก็ยังหาคำตอบนั้นไม่ได้ ผมไม่เคยเป็นคนที่ชอบกีฬาหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ตอนมัธยมจะโดนล้อว่าตัวเท่า "กล่องไม้ขีดไฟ" 6 เดือนก่อนที่จะเดิน ผมเปิดยูทูบหาว่าการไปแบ็คแพ็คในป่าต้องทำอย่างไรบ้าง

ตอนนั้นแค่อยากจะไปเดินแค่ 2-3 วันกับภรรยาผม เปิดไปเรื่อยๆ แล้วเห็นคลิปเกี่ยวกับแปซิฟิก เครสต์ เทรล (PCT) เลยเกิดความสนใจเห็นว่าท้าทายดี คิดว่าอีก 5-6 ปีน่าจะทำได้ ช่วงนั้นผมเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับการทำงาน บวกกับการที่เป็นคนสมาธิสั้นและเบื่ออะไรง่ายๆ ผมพยายามหาอะไรใหม่ที่ท้าทาย คิดไปคิดมา บอกกับตัวเอง "จะรอทำไม5-6ปี ในเมื่อมีจุดมุ่งหมายแล้วทำไมไม่ลงมือทำเลย"

ลุยทะเลทราย-เขาสูงสุดหนาว-เผชิญไฟป่า

Pochara Prapatanant

แต่ละช่วงของทางเดินมีความยากแตกต่างกันไป ในช่วงทะเลทราย อากาศร้อนมากและไม่ค่อยมีน้ำ ใน Sierra Nevada ทางเดินชันและอยู่สูงประมาณ 2,000-3,000 เมตรตลอดเส้น ทางหายใจค่อนข้างลำบาก ส่วนเส้นทางในรัฐวอชิงตันก็ทั้งหนาวทั้งเปียก แต่ที่ยากที่สุดคือตอนที่เดินผ่านทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย ช่วงนั้นมีไฟป่าที่น่ากลัวมาก ขอบเขตของไฟป่าอยู่ห่างแค่ 50 กิโลเมตรจากเส้นทางเดิน ควันไฟเยอะมากจนทำให้หายใจลำบาก ทัศนวิสัยแย่มาก มองอะไรไม่เห็น เป็นอยู่อย่างนี้เกือบเดือน เป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจที่โหดมาก

ท้อแต่ไม่ถอย ยึด "เพลงพี่ตูน" เสริมแรงใจ

มีวันนึงในรัฐวอชิงตันฝนตกหนักมาก อุณหภูมิตอนนั้นประมาณ 5 องศา เสื้อกันฝนเอาไม่อยู่ ตัวเปียกหมด ผมเป็นคนไม่ถูกกับความหนาว ทั้งเปียกทั้งหนาวตัวผมสั่นไปทั้งตัวจนเดินต่อไม่ไหวต้องตั้งแคมป์ เช้าถัดมาผมตื่นมานั่งนิ่งอยู่ในเต็นท์น้ำตาคลอ คิดกับตัวเองว่า ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผมก็พยายามคิดว่าความลำบากครั้งนี้มันเป็นสิ่งที่ผมเลือกทำ มีคนอีกมากมายที่ลำบากกว่าผม โดยไม่มีทางเลือก และอาจจะไม่มีที่สิ้นสุด

ผมแค่ต้องทนกับความลำบากครั้งนี้เพียงอีกไม่กี่อาทิตย์แล้วผมก็จะไม่ต้องมากังวลกับสภาพแบบนั้นอีก คนที่ลำบากกว่าผมเค้ายังทนได้ ผมก็ต้องทำได้ (ส่วนวันอื่นๆที่รู้สึกท้อ ผมฟังเพลงพี่ตูนครับ โดยเฉพาะเพลง "เรือเล็กควรออกจากฝั่ง" มันย้ำให้ผมคิดว่า "ตัวเล็กควรออกไปเดินเข้าป่า" 555)

ภรรยาร่วมชื่นชมความสำเร็จ

สิ่งแรกที่ทำหลังจากเดินป่าถึงที่หมาย ผมเดินเข้าไปกอดภรรยาครับ เธอเดินเข้าป่า 13 กิโลเมตร เพื่อมารับที่ปลายทาง ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าจะกอดภรรยาก่อนหรือว่ากอดหลักเสา PCT Monument ก่อนดี แต่เพื่อนทุกคนแนะนำว่าให้กอดภรรยาก่อน (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็เปิดแชมเปญที่แบกมา 140 กิโลเมตร เขย่าแล้วเปิดสไตล์ Tour de France เลย

เปิดใจเจอมิตรภาพใหม่ๆ ตลอดทาง

Pochara Prapatanant

ความที่ผมเป็นคนไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้า เป็นคนที่ชอบอยู่ตัวคนเดียว ตอนเริ่มเดินผมบอกกับตัวเองว่าจะเดินคนเดียวทั้งเส้นทาง แต่พอได้มาเจอเพื่อนหลายๆ คน ที่ทั้งคุยสนุก มีความคิดและทัศนคติที่คล้ายกัน ผมเริ่มเปิดใจลองเดินกับคนอื่นดู ทุกคนผ่านความลำบากมาด้วยกัน อยู่ด้วยกันแทบจะ 24 ชั่วโมงทุกวัน ผมเดินกับพวกเพื่อนกลุ่มนี้มาไม่กี่เดือน แต่เหมือนรู้จักกันมาเป็นสิบปี

รู้จักตัวตนมากขึ้น

การเดินป่าครั้งนี้สอนผมหลายอย่าง มันสอนให้ผมมีความอดทนมากขึ้น มันสอนให้ผมเปิดใจกับผู้คนแปลกหน้า ทำให้ผมรู้ว่า คนส่วนมากมีความต้องการที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน มันสอนให้ผมมองข้ามในสิ่งเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญกับจุดหมายในสิ่งที่ผมทำอยู่ มันสอนให้ผมรู้ว่าแต่ละคนมีความฝันต่างกัน อย่าไปดูโซเชียลมีเดียของคนอื่นแล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง เพราะว่าคนที่จะรู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิตคือตัวเราเอง

ใจพร้อม กายพร้อม ลุยเลย!

ถ้ามีโอกาส ทำเลยครับ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เส้นทางนี้เป็นการทดสอบจิตใจล้วนๆ ถ้าใจพร้อม ร่างกายและทุกอย่างมันจะตามมาเอง ถ้าไอ้ "กล่องไม้ขีด" คนนี้เดินได้ หลายๆ คนทำได้แน่นอน แต่ให้จำไว้ว่าประสบการณ์การเดิน PCT มันไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่มันอยู่กับสิ่งที่เราได้สัมผัสระหว่างทาง ผู้คนกับความเอื้อเฟื้อที่เราได้พบปะ ความลำบากที่เราได้ฝ่าฟัน สิ่งเหล่านี้แหละครับที่ทำให้มันคุ้มค่ากับการใช้ชีวิตในป่าเป็นเวลา 5 เดือน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook