"ครูส้ม" เปิดใจหมดเปลือก แค่อยากทวงศักดิ์ศรีคืน เข็ดหลาบผู้ชายแบบ ผอ.

"ครูส้ม" เปิดใจหมดเปลือก แค่อยากทวงศักดิ์ศรีคืน เข็ดหลาบผู้ชายแบบ ผอ.

"ครูส้ม" เปิดใจหมดเปลือก แค่อยากทวงศักดิ์ศรีคืน เข็ดหลาบผู้ชายแบบ ผอ.
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ครูส้ม" เปิดใจหมดเปลือก ประเด็นถูกบังคับให้เป็นทอมเกือบ 10 ปี ย้ำสถานะไม่ใช่เมียน้อย ไม่ได้หวังได้ ผอ.กลับคืน แต่อยากทวงศักดิ์ศรีผู้หญิงคนหนึ่ง

จากกรณีข่าวอื้อฉาวสังคม ผู้อำนวยโรงเรียนแห่งหนึ่งได้แอบคบหามีความสัมพันธ์กับคุณครูสาว แต่ต้องบังคับให้เปลี่ยนตัวเองเป็น "ทอมบอย" เป็นเวลานานถึง 10 ปี แต่สุดท้ายถูกบีบบังคับให้ลาออก เนื่องจากอีกฝ่ายปันใจคบหาครูคนใหม่ ทำให้ต้องมาร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรมเอาผิดวินัยข้าราชการ และต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเอง

ล่าสุด ครูส้ม ร.ต.หญิง ฌณกฐ์ปภัสสญ์ ได้มาออกรายการ โหนกระแส ทางช่อง 3 เอสดี โดยมี หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมกับเปิดใจทุกรายละเอียดของเรื่องราวดังกล่าว

"ก่อนหน้านี้เป็นบุคลากรทางการศึกษา ไม่ได้ทำการสอนค่ะ เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการดูแลงานสารบรรณทั้งหมด งานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และงานที่ได้รับมอบหมาย ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้หญิงแท้แน่นอนค่ะ ไม่ใช่ทอมบอย ก่อนหน้านี้เคยแต่งงานมีลูก 2 คน แต่พบว่าอีกฝ่ายมีเมียน้อย จึงตัดสินใจเลิกกัน ออกมาอยู่กับลูกๆ พร้อมกับเซ็นใบหย่าไปแล้ว เมื่อปี 2552"

"แต่หลังจากนั้นวันครบรอบแต่งงานในปีถัดมา เขาก็กลับมาขอคืนดี ให้จดทะเบียนสมรสกับเขาใหม่ เพื่อลูกๆ เพราะฝ่ายหญิงจะจับเขา ทำให้ต้องเซ็นไป แต่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว และส่วนหนึ่งก็เพราะเขามีสวัสดิการของตำรวจที่ช่วยดูแลเราได้ด้วย เขาบอกว่าเผื่อวันหนึ่งได้เป็นลูกจ้าง ไม่มีสวัสดิการ แต่มีประกันสังคม ถ้าเราหรือลูกไม่สบาย ก็สามารถใช้สิทธิ์ของเขาได้"

>> ครูสาวน้ำตานอง แฉ "ผอ." บังคับเป็นทอม กิ๊กกันนาน 10 ปี สุดท้ายถูกบีบให้ออก

"กระทั่งเดือนกันยายน 2553 เราสอบตำแหน่งไม่ได้ จึงมาบรรจุในเขตพื้นที่การศึกษาแห่งหนึ่ง ที่เป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนของ ผอ. อยู่เครือเดียวกับ ผอ. และแม่บ้าน (ภรรยา) ของ ผอ. เมื่อเราได้เข้าทำงานก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับ ผอ. เขารู้ว่าเราเป็นนักกีฬายิงปืนมาก่อน แต่เขายิงไม่เป็น จึงอยากให้สอน เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่คุยกัน"

"ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะ แค่ปลื้มที่เขาเป็นคนทำงานเก่ง เราก็ชอบทำงานกับคนเก่งๆ เราเคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว ไม่เคยคิดจะแย่งใครมาเลย ปิดกั้นตัวเองทั้งหมด แต่ด้วยความที่เราอยู่ด้วยกันทุกวัน เหมือนน้ำหยดลงหิน ประกอบกับ ผอ.เป็นคนอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นคนมีเสน่ห์ ได้ปรับทุกข์กันบ้าง ก็รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหน"

"ตอนนั้นเหมือนเขายังอยู่ด้วยกัน แต่ ผอ.ทำให้เราเชื่อว่ากับแม่บ้านไม่ได้มีอะไรกัน คือนิสัยเขาจะต่างกับแม่บ้านมาก บางคนคิดสงสาร ผอ. เพราะไม่เคยให้ร้ายใคร อยู่ด้วยก็สนิทกัน ใกล้ชิดกัน และเชื่อด้วยว่าเขาไม่มีอะไรกันมาหลายปีแล้ว"

"ถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเขาเลิกกันแล้ว เพราะคำพูดของเขาค่ะ พูดอะไรมาก็เชื่อหมด เขาน่าเชื่อถือจริงๆ และภาพจากสังคมด้วย เขาไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำตัวเหมือนเป็นคนโสด พอเชื่อเขาแล้วจริงๆ ก็คบหากัน ทุกคนอาจว่าเราได้ว่า ทำไมถึงเชื่อคนง่าย คนอาจมองว่าโง่ แต่ทุกอย่างตอนนั้นมันบอกให้เราเชื่อเขาได้ ต้องสนิทกับเขาก่อนจะตัดสินใจรับรักเกือบปีแล้วนะคะ"

"เดือนมีนาคม 2554 เขาตอบชัดๆ ว่าเลิกกับภรรยาแน่แล้ว ต่อมาเขาก็เริ่มบอกว่า 'น้องเหมือนผู้ชายเลยนะ' ก่อนจะแนะนำให้ตัดผมสั้น ชั่วโมงนั้นเขาพูดอะไรมาก็ยอมหมด ขนาดเขาตะโกนว่า 'เกลียด' ก็ยังเข้าใจว่า 'รัก' สามารถตายแทนได้ ไม่ต้องคิดอะไรเลย แต่ถ้าตอนนี้ไม่คิดแล้ว คนคนนี้ใจร้ายมาก เขาคนเก่าน่ารัก แต่เขาคนนี้เหมือนโดนของ (ร้องไห้)"

"เราตัดผมออกเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีเขา ช่วงแรกๆ เคยไปไหนด้วยกัน โดนครูคนอื่นมอง เราก็กลัวเขาจะเสียหาย เพราะเป็นถึงระดับ ผอ. ยอมตัดผมให้ ยอมกระทั่งไม่มีตัวตนเลยด้วยซ้ำ คือคบกับเขาตกลงกันเลยว่า เราไม่ใช่เมียน้อยนะ เราคบเป็นเพื่อนที่ดูแลกัน ภรรยาของเขาก็รู้เรื่อง แต่มันสองแง่สอง่าม เพราะเขาไม่ได้มีอะไรกับภรยา อยู่บ้านคนละหลังแต่รั้วเดียวกัน แต่ตนก็อยู่ด้วยกับ ผอ.มาถึง 8 ปี"

"หลังจากนั้น ผมก็ตัดสั้น ถ้ามีหน้าอกก็จะดูขัดๆ จึงเปลี่ยนมาใส่สปอร์ตบราแทน ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเราเป็นทอม"

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างพลิกตาลปัตร แตกหักกันเช่นนี้ ทั้งที่เคยเทิดทูนและบอกว่ายอมตายแทนกันได้?

"เริ่มต้นจากปลายปีที่แล้ว เราไปแข่งกีฬา ไม่ค่อยมีเวลา คุยกันแค่ทางโทรศัพท์ กระทั่งมีประชุมใหญ่ที่สำนักงานเขต ครูทุกคนไปทั้งหมด ผอ.นั่งเซ็นเอกสารอยู่ เราอยู่กับครูคนอื่นๆ มีครูผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหยิบเสื้อ ผอ. แล้วร้องอุ้ย ก่อนจะปล่อย แล้วยืนค้ำหัวอยู่ เราก็มองอยู่ไกลๆ เพราะไม่ค่อยเหมาะสม เรายังไม่เคยทำอะไรแบบนั้น"

"เราจึงเดินไปถามว่า ครูคนนั้นคือใคร เขาก็บอกว่าเป็นน้อง รู้จักกันมาหลายปีแล้ว 'แต่เขาดึงเสื้อของพี่นะ มันดูไม่เหมาะ' เขาก็เริ่มโวยวาย ไม่สนิททำไมแบบนี้ แต่ตนก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ก็เลยเริ่มสืบหาต้นตอ เช็กดูโทรศัพท์ ก็พบว่ามีเบอร์โทรหากันตอนเที่ยงคืน"

"ผอ.ก็ยอมรับค่ะ ว่ากำลังคบครูรุ่นน้องคนนั้นจริงๆ เมื่อบอกให้เลิก ก็ไม่มีท่าทีจะเลิก ยอมรับว่าคุยๆ กันอยู่ เขาเปลี่ยนไปเหมือนคนโดนของ จากคนที่น่ารัก กลายเป็นคนที่ใจร้าย โกหกเก่ง ใส่ร้ายเก่ง กลั่นแกล้งเก่ง ทำเหมือนเราเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง (เสียงสั่นเครือ)"

"เราบอกให้เขาเลิก เขาก็ไม่เคย ยังคุยโทรศัพท์กันเหมือนเดิม คุยมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็ตามไปสืบว่าครูคนนี้เป็นใคร พบว่าเขามีพฤติกรรมเรื่องชู้สาวบ่อย ถูกสั่งย้ายมา 2 หนแล้ว เพราะเรื่องแบบนี้กับครูและผอ.โรงเรียน รู้กันทั้งเขตพื้นที่การศึกษา แต่คนนี้เขาไม่ได้สั่งให้ไปตัดผมสั้น เพราะเขาชอบแบบนี้"

"สาเหตุที่ร้องศูนย์ดำรงธรรมก็เพราะว่าเราไม่รู้จะพูดกับใครแล้ว ผอ.ก็ไม่ยอมเคลียร์ ก็โพสต์ระบายลงเฟซบุ๊ก เรื่องไปถึงฝ่ายเขาก็เริ่มรู้สึกอาย ถึงขั้นไปหา รอง ผอ.เขต ที่เป็นเพื่อนสนิท และเป็นคนที่ต่อสัญญาจ้างให้เราทุกๆ ปี ก่อนจะถูกเรียกตัวไปสอบถาม ท่ามก็ถาม ผอ.ว่าต้องการแบบไหน เขาบอกว่าไม่อยากให้เรายุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาอีก"

"สำหรับเราใกล้จะถึงวันต่อสัญญาจ้าง และ ผอ.ก็เป็นคนเซ็นค้ำให้ด้วย คือถ้าเราไม่ยอมคือเขาไม่ค้ำให้เราแน่ๆ เราเลยต้องจำใจยอม แต่พอหลังจากนั้นจะไปขอหลักฐานเพื่อค้ำประกัน แต่ปรากฏว่า ผอ.ประกาศว่าจะไม่ค้ำให้ คล้ายกับถูกให้บีบออก ผู้ค้ำประกันไม่ได้หากันง่ายๆ"

"กระทั่ง ผอ.โรงเรียนที่เราทำงานอยู่ ท่านใจดีมาก ท่านบอกให้เราไม่ต้องคิดมาก ท่านเซ็นค้ำให้เราแทน ทำให้ตอนนี้ยังได้ทำงานอยู่"

"จุดนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไปศูนย์ดำรงธรรม เพราะมีหนังสือออกมาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ช่วงเดือนที่เราถูกเมินฉาย เยาะเย้า กลั่นแกล้งสารพัด หนังสือมีข้อผูกมัดกับเรามากเกินไป ไม่ให้เราไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา จึงจำเป็นต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เราก็อยากเรียกคืนศักดิ์ศรีของเราเช่นกัน นี่ไม่ใช่ประเด็นหึงหวง หรือไม่ต้องการอยากได้ ผอ.คืนมาเลย เพราะนอกจากจะไม่รักกันแล้ว ยังใส่ร้ายกันให้เสื่อมเสียอีก"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook