เปิดใจ "คนขับบีเอ็ม" ขับชนตำรวจกลางทางด่วนแล้วหนี อ้างกลัวคู่กรณีชักปืนยิง

เปิดใจ "คนขับบีเอ็ม" ขับชนตำรวจกลางทางด่วนแล้วหนี อ้างกลัวคู่กรณีชักปืนยิง

เปิดใจ "คนขับบีเอ็ม" ขับชนตำรวจกลางทางด่วนแล้วหนี อ้างกลัวคู่กรณีชักปืนยิง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

(18 ก.ค.62) เมื่อเวลา 14.45 น. นายเอกราช อายุ 38 ปี  นำรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อ BMW สีขาวรุ่น 525i ที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียหายบริเวณกันชนท้ายฝั่งขวาเป็นรอยชนยาว กระจกหน้าแตก ไฟหน้าด้านขวาแตก หลังคารถบุบ และเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ลำลูกกา พร้อมกับแจ้งความเพิ่มเติมในข้อหาทำให้เสียทรัพย์กับ ร.ต.ท.จิตต์เกษม จันทร์รัก ผบ.หมวดกองร้อยที่ 2 กองกำกับการอารักขา 1 กองกำกับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) คู่กรณี ข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ที่พุ่งตัวใส่รถยนต์ตนเองทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหาย

>> บีเอ็มชนแล้วหนี ร่างตำรวจปลิวขึ้นฝากระโปรง ก่อนโดนสะบัดร่วงกลางมอเตอร์เวย์

นายเอกราช ผู้ขับขี่รถยนต์ยี่ห้อ BMW เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุตนเองเป็นเจ้าภาพร่วมทอดผ้าป่าที่ จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากเสร็จสิ้นได้เดินทางกลับโดยขับรถขึ้นถนนกาญจนาภิเษกหมายเลข 9 บางปะอิน-บางนา  มุ่งหน้าเข้ากทม. เวลาประมาณ 10.00 น. ก็ขับมาเรื่อยๆประมาณความเร็ว 110-120 กม./ชม. โดยวิ่งเลนด้านขวา กระทั่งมาเจอรถยนต์คู่กรณีวิ่งอยู่โดยไม่ทราบว่ากม.ที่เท่าไร แต่คาดว่าประมาณกม.ที่ 6-7 โดยเห็นแต่ไกลว่าขับแช่ทางด้านขวาตลอด

กระทั่งตนเองขับทันรถคู่กรณีที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเพื่อจะแซง โดยก่อนจะแซงตนเองรอประมาณ 10 วินาทีเพื่อดูว่าคู่กรณีจะหลบหรือไม่ เมื่อคู่กรณีไม่หลบตนเองก็ไม่ได้เปิดไฟสูงไล่ หรือบีบแตรใส่  แต่เบี่ยงออกซ้ายเพื่อแซง เมื่อแซงเสร็จจึงเข้าช่องทางด้านขวา ซึ่งเป็นแซงปกติไม่ได้มีการปาดหน้าคู่กรณี และขับไปตามปกติ 

จนกระทั่งคู่กรณีขับรถเร่งเครื่องมา ก่อนจะขับปาดหน้าตนเองแล้วเบรก และขับช้าลงเหลือประมาณ 80-90 กม./ชม.  ตนเองคิดในใจแล้วว่าคงไม่พอใจอย่างแน่นอนที่ตนขับรถแซง รอพักนึงคู่กรณีก็ไม่เร่งเครื่องไปตนจึงพยายามแซง แต่คู่กรณีกลับขับส่ายไปมาเพื่อไม่ให้ตนแซง แต่รถตนมีความแรงมากกว่าจึงหาช่องแซงกระทั่งแซงมาได้ แต่คู่กรณีกลับขับเร่งเครื่องมาอีกและชนท้ายรถยนต์ของตน พอชนเสร็จจึงมั่นใจว่าหาเรื่องแน่นอน ตนไม่อยากมีเรื่องจึงเร่งเครื่องหนี และรถคู่กรณีก็ตามไม่ทัน

จากนั้นตนมองกระจกมองหลังพบว่าคู่กรณีเปิดกระจกลงแล้วชูมือขึ้นมาโดยมีอะไรบางอย่างที่มือและกวักเรียก ตนก็ไม่สนและพยายามหนี โดยคู่กรณีได้ขับตามกระทั่งมาใกล้ถึงด่านเก็บเงินธัญบุรีซึ่งมีการแบ่งช่องเก็บเงินเป็นสองช่องใหญ่ๆ ตนเองจึงโยกเปลี่ยนช่องทางกะทันหันเพื่อไม่ให้รถคู่กรณีตามทัน แต่คู่กรณีกับพุ่งชนแท่งแบริเออร์จนได้รับความเสียหายเพื่อไล่ตามตนเอง จากนั้นรถตนเองมาถึงช่องอีซี่พาสจึงชะลอความเร็วเพื่อให้ไม้กระดกเปิดขึ้น  ส่วนคู่กรณีนั้นจอดรถเพราะไม่มีอีซีพาสและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไม้กั้นเปิดขึ้นตนเองจึงเร่งเครื่องหลบหนีเพื่อจะไม่ให้มีปัญหา  

และในจังหวะนั้นเองคู่กรณีกับพุ่งตัวออกมาใส่รถยนต์ตน และตนคิดในใจแล้วว่าคู่กรณีต้องมีปืนอย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ได้เปิดกระจกแล้วใช้อะไรบางอย่างกวักมือเรียก ตนจึงต้องป้องกันตัวและพยายามเบี่ยงซ้ายเพื่อให้คู่กรณีหลุดออก และขับต่อไปเพราะคิดว่าหากลงจอดลงไปอาจจะเป็นอันตรายหากคู่กรณีมีอาวุธปืน

ทั้งนี้ ที่คู่กรณีให้สัมภาษณ์กับทีวีช่องหนึ่งว่าที่ลงมาจากรถเพื่อเจราจรซึ่งไม่เป็นไปตามเป็นจริง ยอมรับว่าจังหวะที่ชนคู่นั้นตนไม่เห็นว่าคู่กรณีวิ่งออกมา เพราะเป็นซอกตู้เก็บเงิน และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ตนเองเร่งเครื่องหลบหนีเพราะตกใจและกลัว

ทั้งนี้หลังเกิดเหตุตนเองจึงขับออกมาเพื่อตั้งสติและจอดรถริมทางแจ้งบริษัทประกันภัยว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้เพื่อเข้าให้ปากคำ หากให้ตนอยู่ ณ เวลานั้นขอไม่อยู่ดีกว่า จริงๆ แล้วไม่อยากจะแจ้งความดำเนินคดีอะไรเพราะรถยนต์มีประกันภัยชั้น 1 แต่การที่คู่กรณีมาชนท้ายรถยนต์ตนเองและมากระโดดใส่รถแบบนี้ จากการที่เช็คค่าความเสียหายคร่าวๆ กว่า 250,000 บาท ก็ต้องว่ากันไปตามบริษัทประกัน ซึ่งหากคู่กรณีมีการพูดความจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนก็พร้อมจะดูแลตามสมควร และขอความอนุเคราะห์จากพลเมืองดีที่วิ่งในเส้นทางวันนั้น หากใครมีกล้องหน้ารถขอให้นำมาให้เพื่อนำเสนอความเป็นจริง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook