วิปค้านรับมีถกลับนายกฯ ขอแบ่งเค้กงบฯท้องถิ่น-ทางหลวง มาร์คไม่ช่วยติดปัญหา พท.ซัดตัวเลขมั่ว

วิปค้านรับมีถกลับนายกฯ ขอแบ่งเค้กงบฯท้องถิ่น-ทางหลวง มาร์คไม่ช่วยติดปัญหา พท.ซัดตัวเลขมั่ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ประธานวิปฝ่ายค้านยอมรับถกลับนายกฯ ขอแบ่งงบท้องถิ่น-ทางหลวง โอดกระจุกตัวไม่ลงพื้นที่ มาร์คยันช่วยไม่ได้ติดปัญหาเรื่องการค้ำคออยู่ มท.2 ไม่ล้วงงบกรมท้องถิ่น เพื่อไทยแฉเมกกะโปรเจ็กต์ตัวเลขมั่วซัดก่อหนี้ให้ปชช.8หมื่น/หัว เฉลิมแฉงบฯฉุกเฉิน 3.9หมื่นล.หาเสียง

ฝ่ายค้านเจรจานายกฯแบ่งงบปี53

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2553 จำนวน 1.7 ล้านล้านบาท วันแรกเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ปรากฏว่า มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจตลอดทั้งวัน

โดยนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรคคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ยอมรับว่าได้เป็นตัวแทนไปเจรจากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 มิถุนายน ก่อนที่จะเสนอรายชื่อกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 เพื่อขอคำตอบกรณีปัญหาการจัดสรรงบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมทางหลวงชนบทที่กระจุกตัวและไม่กระจายลงพื้นที่ของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านตามที่เคยมีการตกลงเป็นการภายในจริง ซึ่งนายกรัฐมนตรีรับทราบมานานแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะได้ไขปัญหาได้ โดยแนะนำให้ตนไปสอบถามกับผู้ที่มาชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมกระทรวงที่เป็นสาเหตุของปัญหาเอง

ผมได้สะท้อนปัญหาให้นายกรัฐมนตรีรับทราบมาประมาณ 3 เดือนแล้ว แต่ดูเสมือนว่าบางเรื่องแม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ เพราะติดปัญหาเรื่องการค้ำคอกันอยู่ นายวิทยากล่าว และว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ฝ่ายค้านคงจะไม่วอล์กเอ๊าต์และยินดีจะร่วมตั้งกรรมาธิการวิสามัญด้วย

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยได้รับข้อเสนอจากแกนนำพรรคการเมืองพรรคหนึ่งให้ย้ายพรรคเพื่อแลกกับการจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ นายวิทยากล่าวว่า ได้ยินมาเช่นนั้น แต่ไม่อยากจะคิดว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นสาเหตุของปัญหาทั้งหมด เพราะรัฐธรรมนูญก็ห้าม ส.ส.เข้าแทรกแซงเรื่องนี้

พท. จับฉลากโควต้ากมธ.งบฯ

รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย แจ้งว่า พรรคเพื่อไทยได้จัดสรรโควต้ากรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปี 2553 ในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยจำนวน 19 คน เป็นที่เรียบร้อยพร้อมเสนอต่อที่ประชุมสภาในวันที่ 18 มิถุนายน เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่จะตามมา เนื่องจากการชิงตำแหน่ง ทางพรรคได้กำหนดใช้วิธีจัดแบ่งกลุ่ม ส.ส.ตามรายภาค ให้ครบจำนวน ส.ส. 11 คน ต่อ กมธ. 1 คน จากนั้นให้จับฉลากภายในกลุ่มตัวเอง ซึ่งภาคอีสานจะได้โควต้า กมธ.วิสามัญ 6 คน ภาคเหนือ 4 คน ภาคกลาง 3 คน กรุงเทพฯและภาคใต้ 1 คน ยกตัวอย่างเช่น จ.กาฬสินธุ์ รวมกับ จ.นครราชสีมา ผลออกมาเป็นนายวีระวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ ส.ส.กาฬสินธุ์ และนายวาสิต พยัคฆบุตร ส.ส.ลำปาง นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน นายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ ส.ส.เพชรบูรณ์ จากสัดส่วนกลุ่มอื่นๆ เป็นต้น นอกจากนี้มีโควต้ากลางที่ทางพรรคคัดเลือกจากหลายองค์ประกอบ เช่นเป็น ส.ส.ผู้มีประสบการณ์ จำนวน 5 คน อาทิ นายอัสนี เชิดชัย ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทยในฐานะทุนของพรรค

มท.2ทำเถรตรงไม่ล้วงงบกรมท้องถิ่น

ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า มีการใช้งบของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) 25 ล้านบาท เพื่อต่อรองให้ ส.ส. ย้ายมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทยว่า ไม่เป็นความจริง เพราะงบฯอุดหนุนท้องถิ่นทั่วไป ได้จัดสรรเงินงบประมาณลงพื้นที่ทั้งหมดทั้ง 7,893 แห่งทั่วประเทศแล้ว ส่วนงบฯอุดหนุนเฉพาะกิจ 1.2 หมื่นล้านบาทนั้น ท้องถิ่นจะต้องทำโครงการมาเสนอ สถ. เพื่อที่จะของบประมาณไปดำเนินโครงการตามที่วางไว้ ซึ่งงบประมาณตรงนี้ไม่เกี่ยวกับ ส.ส. เพราะ ส.ส. ไม่มีสิทธิที่จะมาใช้งบฯท้องถิ่น เพราะผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 266 เพราะตนในฐานะที่เป็นรัฐมนตรี ที่ดูแลกรมนี้ยังไม่เคยเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ นอกจากรับทราบในการดำเนินโครงการต่างที่ สถ.รายงานมาเพื่อทราบเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่เคยมีการใช้เงินท้องถิ่นไปใช้ในการดูด ส.ส.สิ่งที่พรรคเพื่อไทยระบุ เป็นการวิเคราะห์ของพรรคเพื่อไทยเอง

นายกฯแจงลดงบจากปี52ถึง2.9%

ก่อนหน้านี้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2553 จำนวน 1.7 ล้านล้านบาท วันแรก มีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานประชุม ต้องยืดเวลาการประชุมออกไปเป็นเวลา 10.30 น. จากเดิมที่กำหนดเวลา 09.30 น. วันที่ 17 มิถุนายน เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ เพราะการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 4 แสนล้านเพื่อนำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจ ปิดการประชุมในเวลา 02.00 น.ของวันที่ 17 มิถุนายน ทำให้นายชัยต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกหารือเพื่อรอเวลาให้องค์ประชุมครบเพื่อเริ่มต้นเข้าสู่วาระการพิจารณา

กระทั่งเวลา 10.40 น.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภาผู้แทนราษฎรถึงหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณว่า รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 จำนวนไม่เกิน 1.7 ล้านล้านบาท โดยกำหนดตามแนวนโยบายของรัฐบาล คือ สร้างความเชื่อมั่นและการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างเสถียรภาพอย่างยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจและสังคมไทยตลอดจนสร้างความพร้อมเพื่อการแข่งขันในเวทีโลก คาดว่าปี 2553 เศรษฐกิจจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.0-3.0 อัตราเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 0 ถึง 1 โดยแรงกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญมาจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและการส่งออก การระดมทุนจากแหล่งต่างๆ เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ งบประมาณที่รัฐบาลตั้งขึ้น 1.7 ล้านล้านบาท หากเทียบกับงบรายจ่ายปี 2552 พบว่าจะลดลง 251,700 ล้านบาทหรือร้อยละ 2.9 โดยเป็นวงเงินรายจ่ายที่ขาดดุล 350,000 ล้านบาทหรือร้อยละ 3.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) อย่างไรก็ตามขอยืนยันในความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแก้ไขปัญหาของประเทศทุกด้าน

ฝ่ายค้านแฉเมกะโปรเจ็คต์ตัวเลขมั่ว

จากนั้น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ใช้สิทธิ์ผู้นำฝ่ายค้านอภิปรายว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 เป็นการพิจารณากฎหมายการเงินฉบับที่ 3 ภายในสัปดาห์นี้ หลังจากที่พิจารณา พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 4 แสนล้านบาท และร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 4 แสนล้านบาท ซึ่งในการพิจารณาเมื่อคืนวันที่ 16 มิถุนายน ฝ่ายค้านวอล์กเอ๊าตและไม่ร่วมตั้งกรรมาธิการร่วมด้วย เพราะ พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่มีรายละเอียดในการใช้เงินชัดเจน มั่วตัวเลข อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายงบประมาณตามอำเภอใจ ไม่โปร่งใส และหากฝ่ายค้านร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย จะเกิดการพิจารณา 3 วาระรวด โดยที่ไม่มีการชี้แจงรายละเอียด

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตัวอย่างโครงการที่มั่วตัวเลข อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน เขียนวงเงินลงทุนไว้ 4.1 หมื่นล้านบาท แต่ก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดนายสมัคร สุนทรเวช อนุมัติไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมา 5 พันล้านบาท ยิ่งทำให้สงสัยต่อไปถึงการประชุมครม.นัดพิเศษ ที่อนุมัติงบให้กระทรวงท่องเที่ยว 2 พันล้านบาท และให้กระทรวงมหาดไทยอีกเกือบ 2 พันล้านบาท ว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของโครงการรถไฟฟ้าหรือไม่

ซัดก่อหนี้ให้ปชช.8หมื่น/หัว

นายสุรพงษ์กล่าวว่า หากดูการจัดทำงบประมาณรายรายจ่ายจะเห็นว่าไม่เพียงการกู้แค่ 8 แสนล้านบาท แต่ยังมีตัวเลขการกู้เงินเพื่อนำมาปิดปีงบประมาณ 2553 อีก 3.5 แสนล้านบาท เพราะงบประมาณปี 2553 เป็นงบขาดดุล เมื่อดูจากตัวเลขเงินกู้ของรัฐบาลนี้เมื่อรวมตัวเลขการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลปี 2552 ตามพ.ร.บ.หนี้สาธารณะ มาตรา 21 อีก 4.4 แสนล้านบาทแล้วจะสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท ทำให้รัฐบาลนี้ก่อหนี้สาธารณะต่อหัวเพิ่มขึ้น 30,000 บาท ต่อคน รวมของเดิมแล้วจะเป็น 80,000 บาทต่อคน และรัฐบาลยังหาเงินไม่เป็น เป็นแต่การกู้ ขอเรียนว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่กู้จนแขกหนี เพราะกลัวว่ารัฐบาลจะไปกู้เขาอีก

ทำให้นายอภิสิทธิ์ลุกขึ้นชี้แจงทันทีหลังนายสุรพงษ์กล่าวจบว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ที่ผ่านสภา 3 วาระรวด เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่เคยคิดมาก่อน เพราะได้อธิบายสาธารณะชัดเจนว่า ไม่ทำเป็น พ.ร.ก.เพราะต้องการให้สภาพิจารณา และตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบรายละเอียดการใช้จ่ายเงินเพื่อความโปร่งใส ชัดเจน แต่เมื่อฝ่ายค้านยืนยันไม่ตั้งกรรมาธิการ จึงต้องตั้งกรรมาธิการเต็มสภา

ยันตัวเลขไม่มั่วเป็นค่าประมาณการ

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องตัวเลขที่ปรับเปลี่ยน ไม่ใช่ว่ามั่วตัวเลข แต่เป็นเพราะการจัดทำงบประมาณเป็นการคาดการณ์การใช้จ่ายเงิน ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจผันผวนตลอดเวลา ทุกประเทศก็เป็นแบบนี้ การลงทุนต้องเผื่อเงินเอาไว้หากมีการผันผวน หากเกิดอุปสรรคต้องมีโครงการสำรอง ฉะนั้นไม่ใช่มั่ว และที่เผื่อไว้เพื่อเป็นงบในการดูแลการจัดทำอาชีพ และงบลงทุนต่างๆ อย่างเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่เสนอเข้ามา 4.1 หมื่นล้านบาท จากที่ ครม.สมัยรัฐบาลนายสมัคร อนุมัติไว้ 3.6 หมื่นล้านบาท ก็เป็นการประมาณการ แต่ตนไม่เห็นด้วยจึงสั่งการสำนักงบประมาณให้จัดทำโครงการโดยใช้เงิน 3.6 หมื่นล้านบาททั้งโครงการ ส่วนเรื่องการเพิ่มงบประมาณ 2 เรื่อง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ของกระทรวงมหาดไทย และ เรื่องท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตนเป็นคนปรารภในที่ประชุม ครม. ว่า ให้ทำกรอบการพัฒนาให้ชัดเพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล

ยันไม่อนุมัติเงินเพื่อหวังผลการเมือง

ผมยืนยันได้ว่าโครงการที่อนุมัติจากครม.คำนึงถึงความจำเป็นในการพัฒนาบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่มีโครงการใดที่จะอนุมัติโดยหวังผลทางการเมือง หรือเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคร่วมรัฐบาล และการกู้เงินเพือลงทุนในโครงการ ถือเป็นสิ่งปกติที่รัฐบาลต้องทำในสถานการณ์ภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดีก็ต้องกู้ วิธีคิดมีไม่กี่แบบ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องกู้ทั้งนั้น แต่สำหรับรัฐบาลนี้กู้มาเพื่อปรับโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเป็นหลัก นายอภิสิทธิ์กล่าว

ติงให้งบแก้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้น้อย

ต่อมานายนัจมุดดีน อูมา ส.ส.นราธิวาส พรรคราษฎร อภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า รัฐบาลให้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้น้อยเกินไป และคิดว่ารัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลควรเปลี่ยนนโยบายในการแก้ไขปัญหาจากใช้การการเมืองนำการทหารแต่ควรเปลี่ยนเป็นศาสนานำการเมือง

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า น้อมรับข้อเสนอดังกล่าวในการตั้งคณะกรรมการ ในอนาคตอาจจะตั้งดาโต๊ะขึ้นมาร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย อย่างไรก็ตาม การทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาเน้นการทำความเข้าใจในพื้นที่เป็นสำคัญ มากกว่าเน้นการใช้ความรุนแรงและการปราบปราม โดยรัฐบาลตั้งเป้าว่าในการประชุมรัฐสภาในสมัยสามัญนิติบัญญัติ จะสามารถผลักดันร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งสำนักบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศบ.ชต.) ขึ้นมาเป็นองค์กรถาวรในการแก้ไขปัญหาได้ โดยโครงสร้างองค์กรนี้ ต้องเป็นโครงสร้างที่ฝ่ายการเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาไม่ใช่ให้ทหารมีอำนาจเหนือการเมือง แต่ยังไม่แน่ใจว่าองค์กรนี้จะได้รับการผลักดันให้เป็นทบวงหรือไม่เพราะต้องรอให้มีกระบวนการในการจัดทำกฎหมายก่อน

แฉงบฯฉุกเฉิน3.9หมื่นล้านหาเสียง

เวลา 16.00 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายตำหนิการจัดงบประมาณของรัฐบาลว่า การตั้งงบฯ 1.7 ล้านล้านบาท เป็นงบฯขาดดุลจำนวน 3.5 แสนล้านบาท งบฯแบ่งเป็น รายจ่ายประจำ 84.5 เปอร์เซ็นต์ งบฯลงทุน 15.5 เปอร์เซ็นต์ ใช้หนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่า รัฐบาลจัดงบฯไม่เป็น เพราะจัดงบฯทั้งหมดน้อยกว่าการประมาณการ 2 ล้านล้านบาท แต่งบฯรายจ่ายประจำกลับมากกว่าปีที่แล้ว 2.5 หมื่นล้าน ซึ่งที่จริงต้องจัดงบฯประจำให้น้อย ทำอย่างนี้เท่ากับหายนะ ไม่มีงบฯไปลงทุนมากเท่าที่ควร เพราะลดลงจากปีที่แล้วถึง 50 เปอร์เซ็นต์และยังใช้คืนเงินกู้ได้น้อยลง ก็ต้องเจอดอกเบี้ย นอกจากนี้ รัฐบาลบริหารจัดเก็บภาษีไม่เข้าเป้า เพราะนโยบายไม่ชัดเจน

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า เมื่อดูงบฯต่างๆ อาทิ งบฯรักษาความมั่นคงของรัฐ 1.1 หมื่นล้านบาท แต่เจ้าหน้าที่เสียขวัญ แผนเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศ 1 แสนกว่าล้าน มากไปในภาวะแบบนี้ แผนงานระบบข่าวกรองภาครัฐ 612 ล้าน จะไปทำอะไร ทำไมไม่ให้ความสำคัญกับการข่าวที่จะเป็นส่วนสำคัญในการหาข้อมูลเชิงลึก งบฯแก้ก่อการร้าย 8 พันกว่าล้าน ถามว่า จะแก้อย่างไรเมื่อใน ครม.มีคนที่โดนโจมตีเรื่องปิดสนามบินนั่งอยู่ 1 คน ส่วนงบฯฉุกเฉิน 3.9 หมื่นล้านสงสัยว่าจะเป็นงบฯหาเสียงหรือไม่ เพราะไม่มีเหตุฉุกเฉิน นายกฯเป็นคนถือสามารถจัดเป็นงบฯลับหรืออื่นได้

ขอให้รัฐบาลบริหารบ้านเมืองมากกว่าบริหารการเมือง เพราะกำลังมีโจรใส่สูท เตรียมคิดค่าคอมมิสชั่น ใน 8 แสนล้านบาท ฉะนั้น นายกฯต้องระวัง ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

อภิสิทธิ์โต้เดือดรัฐบาลชุดก่อนดีแต่หาเสียง

จากนั้น เวลา 18.20 น. นายอภิสิทธิ์ลุกขึ้นชี้แจงว่า สิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดไม่ได้เสนออะไรที่ชัดเจน แต่เป็นการอภิปรายทั่วไป ที่บอกว่านโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการจัดงบประมาณและการเก็บภาษีไม่กระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เป็นความจริง ไม่ว่าตำราเศรษฐศาสตร์ฉบับไหนก็ระบุเหมือนกันว่าการเพิ่มงบประมาณและการเพิ่มภาษีถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกัน ส่วนที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่าโครงการเรียนฟรี 15 ปีไม่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ไม่ใช่ เพราะนโยบายเรียนฟรีเจตนารมณ์ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง

นายอภิสิทธิ์ยังชี้แจงกรณีตั้งข้อสังเกตงบฯฉุกเฉิน 39,000 ล้านบาทที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่าเป็นงบฯหาเสียงว่าไม่ได้เป็นตามที่กล่าวหา เพราะเงินดังกล่าวจะเป็นไปเพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ และปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทั้งนี้ รัฐบาลในอดีตก็มีการตั้งงบฯในลักษณะนี้ถึง 50,000 ล้านบาท ปรากฏว่า ผ่านไป 3 เดือน พรรคประชาธิปัตย์มารับช่วงต่อเหลือเพียง 15,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณปรากฏว่าจัดงบกลางไว้อีกยอดหนึ่ง ตั้งไว้ลอยๆ ให้อำนาจของนายกฯจำนวนถึง 56,000 ล้านบาทเช่นกัน งบฯลักษณะนี้จัดทำกันมาทุกยุคทุกสมัย

งบประมาณเป็นไปตามกรอบกฎหมาย เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ยอมรับว่างบฯที่จัดลงไป ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเพราะยังมีอีกหลายอย่างที่อยากจัดงบฯสนับสนุน แต่ต้องรอเวลา นายกรัฐมนตรีกล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook