แก้วสรรชี้กม.ไม่ห้ามส.ส.-ส.ว.ถือหุ้นแต่ห้ามถือสัมปทาน

แก้วสรรชี้กม.ไม่ห้ามส.ส.-ส.ว.ถือหุ้นแต่ห้ามถือสัมปทาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ ถ.วิทยุ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเสียงข้างมากให้ 16 ส.ว. พ้นจากความเป็นสมาชิกภาพ เนื่องจากกระทำการต้องห้ามตามมาตรา 48 ประกอบมาตรา 265 (2) (4) ของรัฐธรรมนูญ ที่เข้าไปถือครองหุ้นในกิจการสื่อและบริษัทที่รับสัมปทานกับรัฐ ว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาในการตีความ เมื่อขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องดูว่าการถือครองหุ้นที่กระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหากพบว่ามีแค่มีหุ้นเพียงร้อยละ 1 จะเป็นการกระทำต้องห้ามไว้หรือไม่ ซึ่งโดยส่วนตัวเคารพการตัดสินของศาล แต่ในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย คิดว่าหลักที่กฎหมายห้ามคือห้ามถือสัมปทานรัฐ แต่ไม่ได้ห้ามถือหุ้นที่ได้รับสัมปทานกับรัฐ และจะต้องดูว่าการถือสัมปทานขนาดไหนถึงจะมีส่วนได้เสียสำคัญโดยไม่ใช่แค่ถือหุ้นเดียวก็พ้นสภาพ

หากผมเป็นศาลก็จะเทียบเคียง โดยหากเป็นนักการเมืองแล้วถือหุ้นเกินร้อยละ5ให้เอาบริษัทหลักทรัพย์ดูแลและห้ามเล่นหุ้นด้วยตัวเอง และผมจะถือว่าคนที่หุ้นเกินร้อยละ 5 จึงจะถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ เพราะได้มีส่วนได้เสียสำคัญในบริษัทนั้นๆ และถ้าบริษัทนั้นถือสัมปทานรัฐด้วย ส.ส.และส.ว.ก็ต้องพ้นจากสมาชิกภาพ นายแก้วสรรกล่าว

นายแก้วสรร กล่าวว่า กกต.ตีความตัวบทกฎหมายมากหรือไม่ เรื่องนี้เจตนารมณ์กฎหมายชัดเจนว่าห้ามถือสัมปทาน แต่ไม่ได้ห้ามถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทาน ส่วนจะเป็นข้อโต้แย้งในกรณีดังกล่าวในชั้นศาลได้หรือไม่ ตนคิดว่าเป็นอำนาจตีความของศาล เราต้องเอาเหตุผลและเจตนารมณ์มาตีความว่าขนาดไหนถึงจะเป็นเจ้าของบริษัท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook